“ไม่ได้หน้าบูดสักหน่อย…”
มูเอนถึงกับไปไม่เป็น เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมหนังสือสองเล่มนั้นถึงทำให้เธอถอยห่างตามสัญชาตญาณ แต่ของพวกนี้มัน… เป็นหนังสือที่เธอสามารถเรียนรู้ได้จริงเหรอ?
ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อเทียบกับชั้นวางหนังสือทั้งชั้นที่ทำให้เธอขนหัวลุก หนังสือสองเล่มตรงหน้าเธอดูจะปกติกว่าเสียอีก
พูดให้ถูก พวกมันดูยั่วยวนจนปรารถนาจะเปิดออกสักครั้งด้วยซ้ำ
แต่ความรู้สึกนี้ทำให้มูเอนระแวง
นั่นแปลว่าแค่มองตรงนี้ หนังสือสองเล่มนี้ก็มีพลังจะโน้มน้าวจิตใจของคนแล้ว
ดังนั้นเด็กสาวจึงถอยไปครึ่งก้าว
ทว่าคำพูดของชายตรงหน้า ‘ของพวกนี้เป็นความรู้พื้นฐานเท่านั้น ยังมีอีกเยอะให้เรียนรู้เลยนะครับ’ เป็นอะไรที่ทำเอาช็อกต่อปัญญากำเสาะที่มูเอนได้รับในสมัยอยู่ในห้องทดลอง
สีหน้าของหลินเจี๋ยนั้นจริงจังยามเอ่ยออกมา และมันดูราวกับว่าเขาได้เปล่งบรรยากาศของศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยที่กำลังเลคเชอร์อยู่อย่างไรอย่างนั้น
อาจารย์เลคเชอร์ประเภทที่น่ากลัวและเข้มงวดจะชอบพูด ‘เอาละนักเรียน ใครอยากจะตอบคำถามง่าย ๆ ข้อนี้ดีครับ ถ้าไม่มีใครยกมือขึ้นละก็ ผมจะสุ่มเลือกจากรายชื่อเอานะ’ ตลอด
นี่จะเป็น… ความรู้พื้นฐานจริงเหรอ
มูเอนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะวางสมุดทะเบียนลงแล้วรับหนังสือสองเล่มนั้นจากอาจารย์หลินผู้ยิ้มแย้มให้กำลังใจอย่างระมัดระวัง
เมื่อเธอรับหนังสือมา มูเอนก็สัมผัสได้ว่าวิญญาณของตนสั่นไหวเล็กน้อย
หลินเจี๋ยลูบหัวเธอด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ “ต้องแบบนี้สิครับ อย่าบ่ายเบี่ยงการเรียนเลย แม้จะเจ็บปวดไปสักหน่อย แต่ความจริงมันมีประโยชน์มากเลยนะครับ การเรียนรู้คือบันไดความก้าวหน้าอันไร้จุดจบแต่เปิดรับเสมอ อย่ามองมันด้วยทีท่าตัดสินเลยดีกว่า บ้านน่ะมีแค่หลังคาไม่ได้หรอกนะครับ มันต้องมีเสาเข็มและอิฐวางเป็นชั้น ๆ เพื่อให้ได้บ้านสมบูรณ์และแข็งแกร่ง
“ลึกลงไปในตัวเธอเอง บ้านแบบนั้นจะเป็นป้อมปราการอันยืนหยัดเมื่อพบเข้ากับปัญหาที่อาจพุ่งมาหาเธอครับ”
หลินเจี๋ยเอ่ยต่อ “ของพวกนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีวันหายไป และจะกลายเป็นตัวหนุนหลังอันเยี่ยมยอดที่สุด มากกว่าแค่สิ่งของนอกกาย มีเพียงปัญญาเท่านั้นที่จะมอบความมั่นใจในตัวเองได้ในยามยาก และมันจะทำให้เธอสมองปลอดโปร่งยามประสบความสำเร็จด้วยครับ”
หลินเจี๋ยจ้องมองไปยังเด็กสาวอย่างหนักแน่น แล้ววางมือลงบนไหล่ของเธอ “นี่แหละครับคือพลังที่แท้จริง”
ครั้งนี้หลินเจี๋ยไม่ได้กำลังเยียวยาจิตใจเธอ แต่กำลังถ่ายทอดความเชื่อและประสบการณ์ส่วนตัวให้อีกฝ่ายได้รับรู้
ชีวิตของเขาในช่วงสามปีมานี้แตกต่างกับช่วงก่อนย้ายมามากถึงมากที่สุด มีความลำบากมากมายที่คนอื่นไม่มีวันเข้าใจ ทว่าหลินเจี๋ยก็ก้าวผ่านทุกอย่างมาได้ และก่อตั้งร้านหนังสืออย่างช้า ๆ จนเป็นร้านอย่างปัจจุบัน
นอกจากคารมของเขา สิ่งที่ชายหนุ่มพึ่งพาอีกคือทักษะและความรู้ที่เขามี ซึ่งต่างบ่มเพาะมาต่อเนื่องหลายปี
หลินเจี๋ยยังสอนสั่งต่อด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “จำไว้นะครับ ทุกอย่างที่เธอได้รับจะไม่มีอะไรที่สูญเปล่า ความพยายามของเธอตอนนี้มีไว้สำหรับอนาคตเพื่อส่งมอบทางเลือกให้เธอเมื่อพบกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เข้าใจไหมครับ?”
มูเอนเข้าใจแค่ครึ่งเดียวแต่ก็พยักหน้าด้วยสีหน้างุนงง “หนูจะเรียนให้ดีค่ะ”
อาจารย์หลินดึงมือกลับและพล่ามต่อ “ลูกค้าวัยรุ่นคนสุดท้ายอายุประมาณเธอเข้าร้านหนังสือผมมา แล้วตกหลุมรักการเรียนจนซื้อหนังสือกลับไปสานต่อเยอะเลยครับ ดังนั้นไม่ต้องห่วงหรอกว่าเธอจะรับมันไม่ไหว หนังสือที่เธอยืมไปมันขั้นสูงกว่าของเธอมาก เพราะงั้นไม่เป็นไรแน่นอนครับ
“ในฐานะผู้ช่วยผมแล้ว การได้อ่านหนังสือพวกนี้ในร้านผมฟรี ๆ ถือว่าเป็นเอกสิทธิ์ดีงามใช้ได้เลยนะ”
มูเอนแทบจะหลับกับบทสวดของอาจารย์หลินเต็มแก่ จนได้แต่พยักหน้าหงึกหงักตามสัญชาตญาณราวลูกไก่น้อยก็มิปาน ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรมาก็ถูกทั้งนั้น
หลินเจี๋ยกระแอม “เอาละ ไปอ่านเถอะครับ ผมว่าคงไม่มีลูกค้ามาอีกในสองสามวันนี้หรอก ไปเรียนรู้พื้นฐานก่อน ผมจะมาตรวจความคืบหน้าเรื่อย ๆ เพราะงั้นอย่าอู้ล่ะ”
มูเอนขยับเก้าอี้สำหรับลูกค้าไปหลังเคาน์เตอร์ก่อนเริ่มชีวิตการเรียนรู้ของเธอ
กระบวนการ ‘การเรียนรู้’ นั้นง่ายกว่าที่มูเอนจินตนาการไว้เสียอีกเนื่องจากมนุษย์เทียมนั้นไม่ได้รับการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบมาก่อน ดังนั้นมันจึงไม่มีปัญหาเรื่องความรู้ลบล้างหรือชนกันเองกับความเข้าใจที่ผ่าน ๆ มา ดังนั้นความรู้ที่รู้มาเพียงน้อยนิดจึงสามารถรวมเข้ากับความรู้ใหม่ที่เข้ามาได้อย่างรวดเร็ว
บางครั้งเด็กสาวก็จะเหลือบมองหลินเจี๋ยและคิดกับตัวเองว่าเขาพูดถูก… กุญแจสู่ประตู : ปัญญา นั้นเป็นความรู้พื้นฐานทุกอย่างจริงเสียด้วย
ทว่าขอบเขตความรู้พื้นฐานพวกนี้มันใหญ่เกินไป
มันรวมความเข้าใจขั้นพื้นฐาน วิทยาศาสตร์ และคุณสมบัติของมนุษย์รวมไปถึงของอมนุษย์ด้วย
อมนุษย์ในที่นี้มีตั้งแต่สัตว์ พืช สิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติทั้งหลาย…
หากมูเอนไม่ได้อยู่ในสภาพดีพร้อมอย่างตอนนี้ เธอน่าจะถูกข้อมูลจำนวนมหาศาลพวกนี้ถล่มเข้ามาจนกลายเป็นผักแน่นอน
และต่อให้เป็นเธอก็เถอะ เด็กสาวคงต้องใช้เวลาหมดสติอยู่นานถึงจะเป็นอิสระในที่สุด
มูเอนจึงคิดวิธีเก็บภูมิปัญญาเหล่านี้ขึ้นมา : สร้าง ‘อ่างความทรงจำ’ ในใจเพื่อกักเก็บข้อมูลซับซ้อนจำนวนมหาศาลโดยการแบ่งเป็นหมวด และเก็บเฉพาะข้อมูลที่เธอย่อยแล้วเท่านั้น
เมื่อต้องการ เธอก็แค่เอามันออกมาจาก ‘อ่างความทรงจำ’ เป็นพอ นี่คงทำให้เรื่องทุกอย่างง่ายน่าดู
ส่วนหนังสืออีกเล่ม พื้นฐานตราสัญลักษณ์ ก็ยังถือว่าเป็นพื้นฐานเช่นกัน แต่แค่เป็นพื้นฐานของนักเวทมนตร์ขาวเฉย ๆ
จากความรู้ของมูเอนในอ่างความทรงจำนั้น ตราสัญลักษณ์พวกนี้คือแหล่งพลังของนักเวทมนตร์ขาว
พลังของนักเวทมนตร์ดำมาจากคำพูด ในขณะที่พลังของนักเวทมนตร์ขาวมาจากภาษาการเขียน
พูดอีกแง่คือ การร่ายคาถาของนักเวทมนตร์ดำนั้นสอดคล้องกับตราสัญลักษณ์ของนักเวทมนตร์ขาวนั่นเอง
ทว่าการพัฒนาพลังของนักเวทมนตร์ขาวไม่ใช่อะไรที่ตราสัญลักษณ์เดียวจะทำได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการรวมสัญลักษณ์เข้าด้วยกัน
อาจารย์หลินเองก็เข้ามาตรวจทักษะการอ่านของเธอด้วย
อาจารย์หลินหยิบสมุดสอนภาษาระดับอนุบาลขึ้นมา พลิกหน้าแบบสุ่ม และชี้ไปยังคำคำหนึ่ง “คำนี้แปลว่าอะไรเหรอครับ”
นักเรียนมูเอนยกมือขึ้นแล้วตอบ “แสงและเพลิงของความร้อนค่ะ”
อาจารย์หลินชะงักไปพักใหญ่ เขาหันขวับไปมองคำที่ตัวเองชี้อยู่ ซึ่งก็คือ ‘ไฟ’ แล้วรู้สึกว่านักเรียนของตนได้พัฒนาจากระดับอนุบาลขึ้นประถมปลายในระยะเวลาอันรวดเร็ว
มันดูผิดแปลก ๆ นะ… แต่ถ้าว่ากันตามตรง มันก็ไม่ผิดเหมือนกันนี่สิ…
“แค่ก… แล้วอันนี้ล่ะครับ” หลินเจี๋ยชี้ไปที่คำว่า ‘ไฟฟ้า’
“แสงสว่างของอัสนีค่ะ” นักเรียนมูเอนตอบอีกครั้ง
“…อันนี้ล่ะครับ” หลินเจี๋ยชี้ไปที่คำว่า ‘ไม้’
นักเรียนมูเอนครุ่นคิดสักพักก่อนตอบอย่างมั่นใจ “รากฐานแห่งสรรพสิ่งค่ะ”
หลินเจี๋ยวางสมุดลงแล้วหัวเราะแห้ง “ไม่เลวเลยครับ นักเรียนมูเอน ท่าทางเธอจะแตกฉานได้ดีทีเดียว”
เขายื่นสมุดลงทะเบียนให้ “ผมรู้สึกผ่อนคลายเลยที่จะให้เธอรับผิดชอบในฐานะผู้ช่วยร้านหนังสือนี่”
มูเอนพยักหน้าพลางรับมันมาด้วยสีหน้าตายด้าน
เธอพอจะเข้าใจว่าทำไมถึงถูกสั่งให้เรียนเรื่องพวกนี้… หัวหน้าคงเห็นเธอหวาดกลัวต่อชั้นวางและหนังสือพวกนั้นแน่ ๆ
นั่นหมายความว่าเธอจะต้อนรับลูกค้าได้ไม่ดี ดังนั้นเขาต้องฝึกเธอเสียก่อน ให้เธอคุ้นเคยกับมันและคอยพัฒนาความสามารถเธอไปด้วย
อื้ม… เขาไตร่ตรองมาถี่ถ้วนแล้วจริง ๆ