ภาพนี้ กระตุ้นเข้าจิตใจของพนักงานทุกคนในแผนก หัวใจของพวกเธอเต้นแรก เหมือนกับว่าจะกระโดดออกมา
หัวหน้าหวังวี่ที่หยิ่งยโส คุกเข่าตรงหน้าถังเฉาเหมือนกับหมา ขอร้องให้เขายกโทษให้ ความคิดของพวกเธอกระจัดกระจาย ตามไปกับการคุกเข่านี้
โดยเฉพาะพวกลูกน้องของหวังวี่ ก็ตกใจจนไม่กล้าพูดจา
ที่ๆมีคนก็มีตำแหน่ง ที่ๆมีตำแหน่งก็มีการแย่งชิง รังแกคนอ่อนแอ คือความเลวของคน….พวกเธอไม่ได้ทำผิด ก็แค่เยินยอคนมีอำนาจเท่านั้น เพียงแต่ว่า ไปมีปัญหากับคนที่ยิ่งใหญ่กว่า
“ผู้นำคะ ขอร้องละ ครั้งนี้ปล่อยฉันไปเถอะค่ะ ฉันไม่กล้าอีกแล้ว”
หวังวี่ก้มหัวขอร้อง กลัวจนไม่กล้าเสียงดัง เหลือเพียงแค่คุกเข่าให้ถังเฉาเท่านั้นแล้ว
มองดูสภาพหวังวี่ที่น่าอนาถขนาดนี้ ทุกคนคิดว่าถังเฉาจะให้อภัยเธอไม่มากก็น้อย ไม่คิดเลยว่าสายตาถังเฉาก็ยังเย็นชาเหมือนเดิม “รู้ว่าผิดในตอนนี้ ไม่คิดว่าสายเกินไปหรอ?”
ทุกคนตกใจ ผู้นำคนใหม่ของพวกเธอ ตั้งใจจะจัดการทิ้งให้หมดงั้นหรอ?
คำพูดต่อมาของถังเฉา ยืนยันความคิดของพวกเธอ
“เป็นถึงหัวหน้า ควรจะรวมใจเป็นหนึ่งเดียว รวมกำลังของทุกคน และทำให้แผนกดีขึ้น ไม่ใช่แบ่งพรรคพวก และใช้วิธีที่ไม่ดี รังแกเด็กฝึกงานที่เพิ่งเข้ามาใหม่ และยิ่งไม่ควรทำร้ายผู้อื่น!”
“ถ้าหากว่าหลินฉ่ายเวยทำผิดก่อนก็ว่าไปอย่าง แต่ว่าเธอไม่ผิดสักนิด การทำงานก็ดีมาก แล้วเธอมีสิทธิ์อะไรถึงบอกว่านี่คือขยะ?”
แต่ละคำ เหมือนกับค้อนหนัก ที่ทุบลงในใจของหวังวี่ และทุบเธอลงเหวทีละนิด
เมื่อเงยหน้าขึ้น สบเข้ากับสายตาเย็นชาของถังเฉาพอดี ตกใจจนรีบก้มหัว
ถังเฉาเห็นอย่างนั้นก็ไม่คาดคั้นอีก และพูดไปว่า “งานนี้ไม่เหมาะกับเธอ เขียนใบลาออกเอง ยังได้เงินเดือนที่ฝ่ายบัญชี ถ้าให้ฉันไล่ออก ก็จะไม่ได้อะไรเลย ประวัติงานยังจะมีมลทินด้วย!”
คำนี้ก็ไว้หน้าหวังวี่มากพอแล้ว แต่ว่าหวังวี่ได้ฟัง กลับเหมือนกับถูกฟ้าผ่า คุกเข่าคลานไปที่เท้าของถังเฉา ขอร้องว่า “ไม่เอานะคะ ผู้นำคะ ให้โอกาสฉันอีกครั้งเถอะค่ะ ให้ฉันทำอะไรก็ได้แต่อย่าไล่ฉันออกเลยนะคะ!”
เพื่อที่เธอจะได้ตำแหน่งหัวหน้านี้มา ส่งมอบของขวัญไปไม่รู้เท่าไหร่ จะยอมให้ถูกไล่ออกไปอย่างนี้งั้นหรอ?
พวกเดียวกันมองหวังวี่ถูกไล่ออกอย่างเสียใจ และพนักงานหญิงที่เคยหัวเราะเยาะหลินฉ่ายเวยเองก็ทำตัวไม่ถูก แอบอ้อนวอนขอพรไม่ให้ถังเฉาคาดคั้นความผิดของพวกเธอ
แต่ว่า กลัวอะไรก็ได้อย่างนั้น ทำเหมือนไม่ได้ยินคำพูดของหวังวี่ และถังเฉาก็มองไปที่พวกเธอ “พวกเธอก็เหมือนกัน เขียนใบลาออกเอง อย่ารอให้ฉันไล่ออก ไว้หน้าตัวเองไว้บ้าง”
ฮึ่ม!
เมื่อประโยคนี้ออกมา พนักงานหญิงพวกนั้นก็ล้มตัวลงบนเก้าอี้อย่างเหม่อลอย เสียใจเป็นที่สุด
ในตอนนี้ หวังวี่เหมือนว่าเข้าใจอะไรบางอย่าง รีบไปจับมือหลินฉ่ายเวยไว้ “ฉ่ายเวย เห็นแก่ที่เราเคยเรียนมหาลัยเดียวกัน ช่วยฉันหน่อยนะ ฉันเสียงานนี้ไปไม่ได้จริงๆนะ!”
พนักงานหญิงพวกนั้นที่เคยหัวเราะเยาะหลินฉ่ายเวยก็รู้สึกตัว ต่างเข้าไปหาหลินฉ่ายเวย และขอร้อง
“ฉ่ายเวย เมื่อก่อนพวกเราไม่ดีเอง เธออย่าใจกว้างหน่อยนะ อย่าใส่ใจเลยนะ”
“ฉ่ายเวย ต่อไปเธอถือเป็นพ่อแม่อีกคนของฉันเลย ฉันคุกเข่าให้เธอ…..”
“พวกเรารู้ว่าผิดไปแล้ว!”
หลินฉ่ายเวยที่ถูกล้อมไว้ตรงกลางก็เหมือนกับว่าฝันไว้ ไม่ได้สติอยู่นาน
แต่ว่าไม่นาน สายตาของเธอก็เปลี่ยนเป็นได้สติ มองพวกเธออย่างเย็นชา “ไม่มีทาง!”
หวังวี่และคนอื่นตกใจ มองดูหลินฉ่ายเวยที่อยู่ไปก็ใส่อารมณ์ ก็ถึงกับนิ่งค้างไป
“ฉันเข้าทำงานวันแรกก็ถูกพวกเธอหาเรื่อง เพียงเพราะช่วงมหาลัยแฟนของเธอมาจีบฉันแล้วทิ้งเธอ นี่มันยุติธรรมกับฉันหรอ!”
“ฉันไม่มีทางให้อภัยความรุนแรงในที่ทำงานแบบนี้ ถ้าหากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ก็จะถูกพวกเธอกดดันจนไม่มีหนทางใช่มั้ย?”
“ฉันไม่เชื่อว่ามีเทพเจ้าคอยเห็นการกระทำของเรา แต่ฉันเชื่อว่า ทำเรื่องเลวไว้เยอะ ก็จะได้เจอกับคนที่สามารถจัดการทิ้งได้!”
“……..”
ทั้งห้องทำงานเงียบกริบ มีเพียงเสียงทุ้มมีน้ำหนักของหลินฉ่ายเวยที่สะท้อนอยู่
เธอในตอนนี้ เต็มไปด้วยความยุติธรรม ร้องเรียนแทนทุกคนที่ได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมในที่ทำงาน
โดยเฉพาะประโยคสุดท้าย พนักงานส่วนใหญ่ในเหตุการณ์รู้สึกตื่นเต้นขอบคุณ
หลินฉ่ายเวยไม่ได้เจอเรื่องแบบนี้คนเดียว หลายคนก็เคยเจอ เพียงแต่ว่า ส่วนใหญ่แล้วพวกเธอเป็นคนขี้ขลาด เลือกที่จะเงียบไว้
โลกนี้ พวกคนตัวเล็กมีมากกว่าเสมอ และเพราะอย่างนี้ ถึงได้ดูไม่ยุติธรรมแบบนี้
ถังเฉาเหลือบมองหลินฉ่ายเวยด้วยความชื่นชม นิสัยเมื่อก่อนถูกขัดเกลาแล้ว เธอได้รับการเติบโตอย่างแท้จริงแล้ว
หวังวี่นิ่งค้างอยู่นาน แตกต่างจากพนักงานหญิงพวกนั้น ถึงจะได้สติมา สีหน้าซีด ไม่ใช่เพราะว่ากลัว แต่เพราะโมโห…..ตัวเองทิ้งศักดิ์ศรีขอร้องเธอแล้ว เธอมีสิทธิ์อะไรที่จะหยิ่งทะนงอย่างนี้?
ตอนมหาลัยก็เหมือนกัน ตอนที่เธอถูกทิ้ง และขอร้องท่ามกลางสายฝน ความน่าสมเพชนั้น ความรู้สึกที่ถูกเหยียบย่ำ เธอยังจำได้จนถึงวันนี้!
หวังวี่มองหลินฉ่ายเวย สีหน้าค่อยๆเปลี่ยนเป็นดุร้าย ความโกรธในแววตา แทบจะอยากกลืนกินเธอ
“หลินฉ่ายเวย เธอแค่พึ่งพาร่างกายร่านของเธอ ปีนขึ้นเตียงของเขา ประธานถังถึงได้ช่วยเธอขนาดนี้ ถ้าไม่มีเขา เธอนับว่าเป็นอะไร!”
เมื่อคำพูดโหดร้ายขนาดนี้ออกมา สีหน้าของหลินฉ่ายเวยก็เปลี่ยนไปทันที ในสายตาของถังเฉา ก็มีความโหดร้ายแวบเข้ามา
“ฉันบอกแล้วไง เขาไม่ใช่แฟนของฉัน และฉันก็ไม่ได้ปีนขึ้นเตียงของเขา!” หลินฉ่ายเวยโมโหเถียงหน้าแดงก่ำ แต่ว่าในสายตา กลับมีความละอายใจอยู่
ถ้าหากว่าจะให้พูดถึงความรู้สึกจริงๆ เป็นเธอที่รู้สึกผิดและคิดไปเองฝ่ายเดียว
และนี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเธอถึงได้เลือกลี่จิงกรุ๊ป เพราะถึงแม้ไม่ได้มา แต่ได้มองจากที่ไกลๆ ก็ถือว่าดีแล้ว
“จนถึงตอนนี้แล้ว เธอยังจะเสแสร้งทำไม?”
หวังวี่ที่รู้ว่าไม่มีหวังแล้ว จึงไม่แก้ไขให้ดีขึ้น ชี้หน้าหลินฉ่ายเวยพูดอย่างเย็นชา “เธอมันก็แค่นังมารยาหลายใจ เธอคิดว่า มีประธานถังอยู่เบื้องหลังแล้วฉันจะกลัวเธอ?”
“ฉันจะบอกให้ว่าฉันไม่มีทางไปแน่ คนที่จะต้องไป คือเธอ!”
ถึงแม้ว่านิสัยของหลินฉ่ายเวยจะไม่ได้ร้อนเหมือนเมื่อก่อน แต่ว่ารับความดูถูกแบบนี้ไม่ได้ จึงโมโหขึ้นมาในทันที
กำลังจะพูด แต่กลับถูกถังเฉาขวางไว้
เขาดื่มชาอย่างไม่หวาดกลัวสักนิด พูดอย่างเชื่องช้าว่า “ทั้งแผนกมีฉันรับผิดชอบ เธอรู้ได้ยังไงว่าเธอจะไม่ได้ไป?”
หวังวี่เหลือบมองถังเฉานิ่งๆ และก็ไม่ได้เคารพเขาเหมือนก่อนหน้านี้ “ไล่หัวหน้าระดับกลางออก นอกจากประธานหลินที่มีอำนาจนั้น คนอื่นก็ไม่มีแล้ว เรื่องนี้ จะต้องให้รองประธานอีกสองคนรับรู้!”
พูดจบ เธอก็เดินออกมาห้องทำงาน
หลี่ถาวเห็นอย่างนั้น สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย “เธอจะต้องไปหาประธานเฉิงแน่เลยค่ะ”
ถังเฉากลับยิ้มอ่อนๆ “งั้นก็ปล่อยให้เธอไปเรียก”
สีหน้าหลี่ถาวเต็มไปด้วยความตกใจ ยังไงซะเฉิงเพ่ยก็เป็นรองประธาน แต่ถังเฉากลับไม่ใส่ใจเลยสักนิด
ไม่นาน เสียงรองเท้าส้นสูงที่ดุร้ายก็ดังขึ้นจากที่ไกลๆเข้ามาใกล้ เฉิงเพ่ยเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่มืดขรึม
“ใครจะไล่คนของฉันออก?”