” นายกำลังกลัวเหรอ? “
หงเทียนหยาจับสังเกตถึงอาการที่ผิดปกติไปของหลัวเฉิง ก็เลยถามออกมา
ในความสับสนงุนงง เขาก็ยังมีความตกใจแฝงอยู่
หลัวเฉิงเป็นมือวางอันดับเก้าที่มีความสามารถของสมาคมการต่อสู้หมิงจู เวลานี้กลับรับรู้ได้ถึงความรู้สึกหวาดกลัว
เมื่อได้ยินดังนั้น ใบหน้าของหลัวเฉิงก็มีท่าทีลุกลน แต่ไม่นานก็หายไป ก่อนจะกลับมาทำหน้ายิ้ม: ” ไม่มีอะไรครับ “
ขณะนี้ หงเทียนหยายังคงดำดิ่งอยู่ในความรู้สึกเจ็บปวดทรมานที่สูญเสียน้องชายไป สภาวะอารมณ์อยู่ในช่วงหุนหันพลันแล่น ในใจเต็มไปด้วยความแค้นอาฆาต
เขาเกลียดการที่มีคนมาหลอกเขาที่สุด!
ตึ้ง!
แล้วเขาก็ลงมือทันที เขางัดคอของหลัวเฉิง บีบและยกขึ้นสูงเรื่อยๆ
แล้วพูดเสียงเรียบเย็น : ” ถ้านายไม่พูด ฉันก็จะส่งนายไปอยู่ด้วยกันกับหลานชายของนายตอนนี้เลยเป็นไง “
เพียงไม่นาน สีหน้าของหลัวเฉิงก็ดูลุกลี้ลุกลน
เขาไม่กลัวตาย แต่มือสังหารที่ฆ่าหลัวจวินก็ยังหาไม่พบ เขาจะตายได้ยังไง?
” ผมพูด! ผมยอมพูดแล้ว! “
หลัวเฉิงใช้แรงทั้งหมดเพื่อพูดออกมา
” หึ! “
หงเทียนหยาถอนหายใจ แล้วปล่อยเขาลง
หลัวเฉิงชี้ไปยังถังเฉาที่ยืนอยู่บนสังเวียน แล้วพูดว่า : ” ท่านหัวหน้าสมาคม ท่านอย่าไปล่วงเกินเขาด้วยนะครับ! “
” หืม? ทำไม? “
หงเทียนหยาหันไปมองถังเฉา แล้วพูดอย่างไม่พึงใจ
คนที่ชื่อ ‘ เจ้ามังกร ‘ ทำให้น้องชายแท้ๆ ของเขาต้องตาย เขาจะไม่ล้างแค้นได้อย่างไร?
” ท่านหัวหน้าสมาคม หากท่านจะแก้แค้นเขาแล้วล่ะก็ ความพินาศย่อยยับแน่ จะต้องเกิดขึ้นกับทั้งสมาคมการต่อสู้แห่งเมืองเจียงเฉิงแน่! “
หลัวเฉิงพูดโดยเพ่งประเด็น น้ำเสียงดูนิ่งสุขุม ไม่เหมือนกับการพูดเล่นเลยสักนิด
สีหน้าของหงเทียนหยาดูนิ่งขรึมมากกว่าเดิม แล้วตะคอกออกมา
” พอแล้ว! “
แววตาของเขานิ่งสนิทขณะที่มองไปยังหลัวเฉิง : ” คำพูดพวกนี้ ถ้าครั้งหน้าอย่าพูดให้ฉันได้ยินอีก มันฆ่าน้องชายของฉัน พูดง่ายๆ ฉันจะไม่มีวันปล่อยมันไว้แน่ “
” ท่านหัวหน้าสมาคม…… “
” ไสหัวไปซะ! “
หงเทียนหยาตะคอกแล้วเดินจากไป
แววตาของหลัวเฉิงดูสับสน ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
มีหลายคราที่เขาอยากจะพูดสถานะที่แท้จริงของ ‘ เจ้ามังกร ‘ ออกมา แต่ว่าถ้าหัวหน้าสมาคมก็ไม่มีโอกาสให้เขาได้พูด
ท่านหัวหน้าสมาคมในตอนนี้ได้ถูกความเกลียดชังและการแก้แค้นหมกมุ่นอยู่เต็มหัว
เวลาผ่านไปได้ไม่นาน เมื่อรู้ว่าหลานชายเพียงคนเดียวที่ชื่อว่าหลัวจวินของเขา ถูกสังหารโดยวิธีการที่เหี้ยมโหด เขาเองก็โมโหเป็นฟืนเป็นไฟเช่นเดียวกับหงเทียนหยา
หากแต่ว่า ตั้งแต่รอบตัดสินนัดเยาวชนที่แข็งแกร่งนั้นผ่านไป เขาก็รู้ว่ามือสังหารที่ฆ่าหลานชายของเขา ไม่ใช่ผู้ชายคนนั้นอย่างแน่นอน
แล้วสุดท้ายเขาก็ไม่ได้ถูกความเคียดแค้นกัดกินในหัว
หลัวเฉิงมีลางสังหรณ์ ว่าสิ่งที่ท่านเจ้าของสมาคมกำลังจะทำ อาจส่งผลให้สมาคมการต่อสู้นั้นพังพินาศและล่มสลาย
การประชุมแดนเหนือวันแรกก็สิ้นสุดลงเช่นนี้ ตระกูลที่ได้เลื่อนขั้นมี : ราชนิกุลสี่ตระกูลใหญ่แห่งในเยี่ยนตู ตระกูลต่ง ตระกูลซ่ง และสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองเจียงเฉิง
พรุ่งนี้ จะเป็นการเริ่มพิธีการตัดสิน
รอเวลาให้ถึงพรุ่งนี้ ก็จะถึงช่วงพิจารณาและคัดเลือก ‘ ผู้พิทักษ์แห่งแดงเหนือ ‘
ผู้คนเริ่มทยอยกันออกจากสนาม
แต่ว่า ก็ยังคงมีคนที่อารมณ์ค้างกำลังพูดคุยกันเกี่ยวกับการแข่งขัน
หนึ่งในนั้น หัวข้อเกี่ยวกับรอบตัดสิน’เจ้ามังกร’และหงเทียนเฉินเป็นหัวข้อใหญ่
ผู้คนเองต่างก็จำเจ้ามังกรคนนี้ได้
การใช้ชื่อว่าเจ้ามังกร ขณะเดียวกันก็โชว์ศักยภาพที่แข็งแกร่ง จึงได้รับการขนานนามว่าเป็นม้ามืดของการแข่งขัน
แต่ว่า ตระกูลที่พอมีทุนก็ไม่ได้มองว่าเจ้ามังกรจะเป็นที่หนึ่งเสมอ
ทั้งที่จริงแล้ว มือฉกาจของสี่ตระกูลใหญ่ราชนิกุลแห่งในเยี่ยนตู ยังไม่ทันได้ออกโรงเลยด้วยซ้ำ!
ดังนั้นทุกตระกูล แค่ขึ้นบนสังเวียน ยืนอยู่อย่างนั้นสักพัก ฝ่ายตรงข้ามต่างก็ยอมแพ้กันแล้ว
ไม่ใช่เพราะการควบคุมขณะแข่งขัน แต่เป็นเพราะชื่อเสียงอันเลื่องลือของราชนิกุลแห่งในเยี่ยนตูต่างหาก
ใครที่กล้าประชัน ต่างต้องกลายเป็นพวกขี้ขลาดตาขาวกันทั้งนั้น
ใครจะรู้ว่ามันทำให้ผู้คนต่างจินตนาการกันไปไกล
แม้ว่าเจ้ามังกรจะแข็งแกร่งกว่านี้ แต่เมื่อต้องเจอกับตระกูลใหญ่แห่งในเยี่ยนตู คงไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมได้
ช่วงเวลาที่กลางคืนมาถึง ถังเฉาได้ออกมาจากโรงยิม และเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ใช้ขึ้นสังเวียนและหน้ากาก จากนั้นก็ยื่นให้กับผู้ดูแลของเย่หรูอี้ แล้วเขาก็กลับไปหาหลินชิงเสว่
” ทำไมกลับมาช้าแบบนี้ล่ะ คุณพลาดดูการประชุมแดนเหนือตั้งแต่ต้นจนจบเลยนะ “
หลินชิงเสว่พูดกับถังเฉา
” ใช่เลยใช่เลย พี่เขยพลาดแล้ว น่าเสียดายจริงๆ ! “
หลินจ้าวหยูนที่ยืนอยู่ข้างๆ พูดด้วยความตื่นเต้น : ” คนที่ชื่อเจ้ามังกรนั้นเก่งเกินไปแล้ว แม้แต่มือวางอันดับสองของสมาคมการต่อสู้แห่งเมืองเจียงเฉิง แค่ตายก็คงชดใช้ไม่ถึงใจหรอก! “
” ใช่ไหมล่ะ เขาทำลายแขนของเย่เทียนหลงไปข้างหนึ่ง มันเกินไปแล้ว! “
หลินฉ่ายเวยที่ยืนอยู่อีกฝั่งก็พูดเสริมขึ้นมา
เมื่อเห็นพวกเธอพูดคุยกันอย่างเมามัน ถังเฉาก็ยิ้มน้อยๆ แล้วพูดกับถังเฉาว่า : ” ปัญหาของบริษัทได้รับการแก้ไขแล้วล่ะ “
” ถ้างั้นก็ดีค่ะ “
หลินชิงเสว่ยิ้มๆ เหมือนกำลังจะพูดอะไรออกมา แต่สายตาของเธอก็เปลี่ยนไป เธอขยับเข้าไปใกล้ถังเฉา
จากนั้นก็ยกมือขึ้นมา แล้วคว้าข้อมือของถังเฉาเบาๆ
บนมือนั้น ทิ้งเป็นรอยเลือดแห้งๆ เอาไว้
” นี่มันมาจากไหนเหรอคะ? “
” คุณไม่ได้ไปจัดการปัญหาที่บริษัทหรอกเหรอ? ทำไมถึงมีรอยเลือดได้? “
แววตาของหลินชิงเสว่ดูเปลี่ยนไป
ถังเฉาก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
เลือดบนมือนั้น ไม่ได้เป็นเลือกของเขา คงจะเป็นตอนที่ต่อยหมัดเข้าไปบนหน้าของหงเทียนเฉิน เลื่อนเลยกระเด็นขึ้นมา แล้วก็ไม่ทันได้ล้างออก
ถังเฉายิ้มๆ : ” นี่ไม่ใช่เลือด แต่เป็นหมึกแดงน่ะ “
” เหรอคะ…… “
หลินชิงเสว่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
บนใบหน้าของเธอยังคงมีรอยยิ้มเช่นเดิม ในช่วงเวลาแป๊บเดียว ก็กลับมาเป็นใหม่หน้าที่ดูเย็นชาเหมือนก่อนหน้านี้
” เป็นอะไรไปเหรอ? “
ถังเฉาแสร้งถามขึ้นพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ
เขารู้ว่า หลินชิงเสว่ต้องรู้สึกสงสัยแน่นอน
หลินชิงเสว่ส่ายหน้า : ” ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ฉันแค่ไม่ค่อยชอบพวกอะไรที่ทุบตีกันแบบนี้ “
” บอกว่าเป็นการส่งเสริมการต่อสู้ และยังเป็นการเลือกผู้พิทักษ์แห่งแดงเหนือคนใหม่อีก แต่ฉันคิดว่ามันก็แค่ความอาฆาต “
ถังเฉาไม่ได้พูดอะไร แล้วยังคงเงียบอยู่อย่างนั้น
บางทีในสายตาคนอื่น อาจจะเป็นเรื่องปกติ
แต่ในสายตาของหลินชิงเสว่นั้น จนถึงขั้นผิดหลักมนุษยธรรมเลยก็ว่าได้
เธอเป็นคนที่มีจิตใจโอบอ้อมอารีเกินไป จิตใจดีจนทนเห็นคนอื่นโดนทำร้ายไม่ได้
ถึงแม้จะเป็นสตูได้รับบาดเจ็บก็ตาม เธอก็ไม่ยอมเช่นกัน
ในขณะนั้น ก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา
นั่นก็คือหลินรั่วหวีกับเว่ยหมิงจวิน
” ชิงเสว่ พรุ่งนี้นัดตัดสินของฉัน เธอจะมาไหม? “
หลินรั่วหวีหันไปมองถังเฉาก่อน จากนั้นก็หันไปยิ้มให้หลินชิงเสว่
หลินชิงเสว่เหมือนจะรู้สึกอ่อนล้าเล็กน้อย
” พรุ่งนี้ฉันคงไม่ไปแล้วล่ะ ฉันจะเข้าบริษัทเสียหน่อย “
” หา? พี่ พี่เขย พวกพี่ไม่ไปกันหมดเลยเหรอ? ถ้างั้นฉันไปคนเดียวก็ต้องเบื่อน่ะสิ! “
หลินจ้าวหยูนเริ่มโวยวาย
หลินชิงเสว่หันไปทางหลินฉ่ายเวย : ” พรุ่งนี้ฉ่ายเวยจะไปกับเธอเอง “
หลินรั่วหวีได้ยินดังนั้น ก็พยักหน้าหงึกหงัก แล้วก็เดินจากไป
ถังเฉาหาร้านอาหารแห่งหนึ่ง พวกเขาก็พากันไปกินมื้อค่ำ จากนั้นก็แยกย้ายกันกลับโรงแรมเพื่อพักผ่อน
เจียงไป๋เสว่เองก็อยู่ข้างใน ก็เลยกลับไปพร้อมถังเฉา
คืนนี้มีฝนตกประปราย ทำให้ทั่วทั้งเมืองเจียงเฉิงในยามค่ำคืนดูมืดครึ้ม
บนถนนใหญ่ที่ดูเจริญหูเจริญตานั้น ทั่วทุกที่เต็มไปด้วยผู้คนที่กางร่มและเดินไปเดินมาขวักไขว่
เจียงไป๋เสว่หยิบร่มขึ้นมากาง เตรียมที่จะข้ามถนน
มีชายร่างสูงคนหนึ่งเดินผ่านเธอไป ทั้งสองเฉียดไหล่แล้วเดินสวนกัน
ผู้ชายคนนั้นยกร่มแล้วเดินต่อไป
แต่ว่าเจียงไป๋เสว่กลับชะงักฝีเท้า แล้วยืนอยู่บนถนนนั้นนิ่งๆ
รวมที่อยู่ในมือนั้น อยู่ดีๆ ก็ลอยหายไป
เจียงไป๋เสว่หันตัวกลับไปด้วยร่างกายที่เกร็งทื่อ ลูกตาเบิกกว้าง มองไปด้านหลัง
แต่ทว่า ชายผู้นั้นได้หายเข้าไปกลางผู้คนเสียแล้ว
ปี๊นปี๊นปี๊น!
ทันใดนั้น ก็มีเสียงแตรที่แสบเหยื่อแก้วหูดึงให้เจียงไป๋เสว่กลับมาสู่โลกความจริง
เจียงไป๋เสว่ได้เดินไปถึงถนนอีกฝั่งแล้ว ก็หันมาตะโกนเรียกเธอ
” ระวังรถ! “
เจียงไป๋เสว่จึงหันกลับไปดู
เอี๊ยด!
มีรถคันหนึ่งที่ส่งเสียงเครื่องยนต์เต็มกำลังพุ่งเข้าหาตัวเจียงไป๋เสว่ด้วยความเร็ว
” ระวัง! “
” อ้า! “
……….
ผู้คนที่อยู่โดยรอบบริเวณถนนต่างร้องออกมาด้วยความกลัว
ส่วนผู้หญิงพวกนั้น ก็กรีดร้องออกมา
เหมือนคนขับจะมีอาการเมาเหล้าเล็กน้อย เลยไม่ได้เห็นว่ากำลังถนนมีเจียงไป๋เสว่ยืนอยู่
รอให้เขาเห็น ก็สายไปแล้ว
เอี๊ยด!
เขารีบเหยียบเบรกทันควัน แต่หัวรถก็ควบคุมไม่อยู่จึงพุ่งไปทางเจียงไป๋เสว่
หลินชิงเสว่ตกใจจนหน้าซีด แต่ว่าเจียงไป๋เสว่ไม่ได้เกรงกลัวแต่อย่างใด เธอกระโดดขึ้นสูงภายในเสี้ยววินาที
ตั้งแต่รถส่งเสียงขับใกล้เข้ามาแล้ว!
เจียงไป๋เสว่รออยู่บนอากาศ แล้วเอาฝ่ามือยันตัวเองเอาไว้ แล้วดันไปที่หน้ากระโปรงรถอย่างแรง
ตึ้ง!
กระโปรงรถถูกเจียงไป๋เสว่ทุกเข้าอย่างจังจนเป็นรอยเว้าลึกลงไป
เจียงไป๋เสว่ขึ้นไปกลิ้งอยู่บนหลังคารถรอบหนึ่ง
กรึก กรึก!
เจียงไป๋เสว่ก็ร่วงลงไปอยู่บนพื้น
ผู้คนโดยรอบตอนนี้ได้ตื่นตะลึง สีหน้าช็อกทำอะไรไม่ถูก
พวกเขาคิดว่าต้องมีใครตายแล้วแน่ๆ นึกไม่ถึงเลยว่าเจียงไป๋เสว่จะกระโดดข้ามหลังคารถมาได้
ฉากตรงหน้านี้ ทุกคนต่างเคยเห็นในภาพยนตร์เท่านั้น
เจ้าของรถหรูอ้าปากค้าง กระโดดลงมาจากรถแล้วรีบขอโทษขอโพยยกใหญ่
เจียงไป๋เสว่ก็ลุกขึ้นมา แล้วพูดเนิบๆ : ” ไม่เป็นไร ฉันเหม่อไปเองแหละ “
พูดจบแล้ว ก็ไปยืนข้างๆ ถังเฉา
” เธอเป็นยังไงบ้าง? “
ถังเฉาดูออกว่าเจียงไป๋เสว่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เจียงไป๋เสว่นิ่งไปสักพักใหญ่ จากนั้นก็มองเจียงไป๋เสว่แล้วพูดว่า : ” ฉันว่าฉันเห็นหลี่เห้าแล้วล่ะ “
” ……. “
หลังจากที่เจียงไป๋เสว่พูดจบประโยค ถังเฉาก็อึ้งไปเสี้ยววินาที
สีหน้าของหลินชิงเสว่ที่ยืนอยู่ด้านข้างก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
เมื่อคบกับถังเฉามานานแล้ว เธอก็พอจะรู้อยู่บ้างว่าถังเฉามีพี่ชายที่หายสาบสูญไปอยู่คนหนึ่ง
เมื่อกลับมายังเมืองหลวงแล้ว เป้าหมายอีกอย่างหนึ่งก็คือ การตามหาพี่ชายของเขา
” เธอแน่ใจเหรอว่าเป็นเขา? “
แววตาของถังเฉาเปลี่ยนไปในทันที เขามองไปที่เจียงไป๋เสว่แล้วถาม
เจียงไป๋เสว่พยักหน้าอย่างเอาจริงเอาจัง : ” ไม่ผิดแน่ ฉันกับเขาถึงแม้จะไม่ได้เจอกันนาน แต่หน้าตาของเขาฉันไม่มีวันลืมแน่นอน! “
และความที่ตื่นเต้นมากเกินไป เจียงไป๋เสว่จึงฟังดูสั่นเครือ
ถังเฉาเงียบไปเป็นเวลานาน ดูเหมือนจะยังไม่กล้าเชื่อ
” หรือว่าจะเป็นคนที่หน้าตาคล้ายกัน? “
เจียงไป๋เสว่ส่ายหน้ารัว ” เป็นไปไม่ได้ ฉันคุ้นเคยกับกลิ่นบนร่างกายของเขา “
ถังเฉาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วหันไปทางหลินชิงเสว่
” ไปเถอะ แล้วรีบกลับมาด้วยนะ “
หลินชิงเสว่อุ้มถังเสี่ยวลี้แล้วกลับไปก่อน
” ไปเถอะ “
ถังเฉากับเจียงไป๋เสว่ข้ามไปถนนอีกฝั่งด้วยกัน
” แยกกันหาเถอะ “
หลังจากที่ตามหากันเป็นเวลานานๆก็ไม่เคยเจอ
ถังเฉาจึงพูดกับเจียงไป๋เสว่ว่า
” อื้ม! “
เจียงไป๋เสว่ก็วิ่งหายเข้าไปในถนนนั้น
เธอ ถังเฉาและหลี่เห้าทั้งสามคน คือนักสู้ของกองทัพปราณมังกรผู้แข็งแกร่ง
ไม่ว่าจะสะกดรอยตามหรือสืบเสาะ ก็ไม่เห็นร่องรอยของการเดินที่ชัดเจนเลย การที่จะหาเจอได้ก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด
เจียงไป๋เสว่ก็ตามหาโดยที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ทุกนาทีที่ผ่านไป
เจียงไป๋เสว่ก็เริ่มที่จะถอดใจแล้ว
เธอของตัวแล้วเอามือยันเข่าทั้งสองข้าง หอบแฮ่กๆ
แต่พอนึกถึงความกังวลของสามปีที่ผ่านมา ก็แปลงกายเป็นคนที่อยู่ในลัทธิไสยศาสตร์ เจียงไป๋เสว่จึงไม่ยอมจำนน
สามปียังทนได้เลย ทำไมแค่นี้จะทนไม่ได้ล่ะ?
เจียงไป๋เสว่กัดฟันแน่น ตัดสินใจว่าจะตามหาต่อไป
วืด!
มีแสงไฟรถสาดเข้าตา เจียงไป๋เสว่ทนไม่ไหวจนต้องยกมือขึ้นมาบังเอาไว้
รถสีแดงคันใหญ่คันหนึ่งขับมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ
ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยนั้น มองเธอด้วยสายตานิ่งๆ
ณ เวลานั้น เจียงไป๋เสว่จ้องไปที่เขาจนตาค้าง
” หลี…..เห้า….. ”