ว้าว!
ฉินโช่ววง พูดสิ่งที่เขาต้องการออกมาด้วยเสียงแหบแห้งของคนแก่ ภายในห้องพิเศษเงียบจนแม้เข็มตกยังได้ยิน บรรยากาศเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นเขย่าขวัญ
ไม่ว่าจะเป็นฉินผู่หยาง ฉินเจียนเวย หรือแม้แต่ฉู่หยางที่ฟื้นจากเมาเหล้าแล้ว ต่างมองหน้าฉินโช่ววงด้วยสีหน้าฉงน
มองไปมองมา สายตาหยุดตกที่ถังเฉา จิตใจของพวกเขาจดจ่อ แต่ละคนตึงเครียดไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย—-พวกเขาต่างมีสังหรณ์ใจกันว่าสถานการณ์ขณะนี้เป็นความนิ่งงันของบรรยากาศก่อนพายุฝนระห่ำบ้าจะมาถล่ม
เรื่องที่ยิ่งกว่าใหญ่ยิ่งกว่าน่ากลัวกำลังเข้ามาแล้ว
เปลี่ยนแซ่!
ฉินโช่ววงถึงขนาดจะให้ถังเฉาเปลี่ยนแซ่ แล้วมาเข้าอยู่ในตระกูลฉินเลยหรือ?
เงื่อนไขอันนี้ฟังเหมือนไม่มีอะไร แต่ดูเข้าในส่วนลึก ๆ ก็จะพบว่า เงื่อนไขนี้—-โคตรจะผิดจรรยาคุณธรรมเลย
เท่ากับจะให้ไปขุดเอาหลุมฝังศพโคตรตระกูลเขาทิ้งเลยก็ไม่ปาน
สกุลแซ่เป็นสิ่งสำคัญมากของการเป็นหนึ่งชีวิต
ไม่ใช่เพียงเป็นของใครคนเดียว เพราะยิ่งกว่านั้นยังเป็นของทั้งหนึ่งตระกูล
มันเป็นหน้าตา!
มันเป็นศักดิ์ศรี!
โบราณว่า “เชิดชูวงศ์ตระกูล”
คนเราทุกข์ยากลำบากทั้งชีวิต เกิดไม่มีพาอะไรมา ตายไม่ได้เอาอะไรไป ที่อยู่ ๆ กันไปก็ไม่เพราะเพื่อหน้าตาวงศ์ตระกูลนี่หรือ?
แม่ของถังเฉาอุ้มท้องเกือบสิบเดือนทนทุกข์ทรมานในการเบ่งคลอด เพื่อให้ถังเฉาได้รอดออกมา ก็ไม่ใช่เพราะจะให้มาสืบทอดไอ้ที่เรียกว่า ‘สกุลแซ่’ นั่นหรือ?
ถ้าหากเพียงเพื่อการรอดชีวิตแล้วยินยอมเปลี่ยนแซ่ทิ้ง นั้นมันวิถีของคนขี้ขลาดชัด ๆ
อย่าว่าแต่ถังเฉาเลย ให้ผู้ชายทั่ว ๆ ไป ก็คงไม่มีใครยอมตกลง
จะพูดไปอีกที—-ถังเฉายังไม่เห็นหน้าค่าตาพ่อแม่ตัวเองเลย ถ้าเขาจะไปพบพวกเขา เขาก็ต้องใช้แซ่ถังตลอด มิฉะนั้นแล้ว เขาคงจะไม่มีหน้าพอที่จะแบกไปพบพวกเขาได้
“ท่านมีสามวินาทีที่จะเก็บคำพูดนี้กลับคืนไป แล้วเปลี่ยนเงื่อนไขมาใหม่”
ถังเฉาจ้องหน้าฉินโช่ววงด้วยสายตาราบเรียบ พูดเสียงไม่ยินดียินร้าย ฟังไม่ออกว่าจะมีความเคืองโกรธเก็บอยู่แค่ไหน
แต่ทว่า คนที่รู้จักมักคุ้นกับเขาดีล้วนรู้อยู่แก่ใจว่า ในลักษณะที่เป็นอยู่ของถังเฉาในขณะนี้ จึงเป็นที่น่ากลัวที่สุด
ฉินโช่ววงส่ายหัว พูดชัดถ้อยชัดคำ “ก็นี่แหละ ไม่งั้นไม่ต้องคุย”
ไม่ว่าเรื่องอะไรที่เกิดจะต้องมีชื่อเสียงเรียงนามของตัวต้นเหตุ ถังเฉาถล่มจนขาฉินผู่หยางหักเสียไปเมื่อห้าปีก่อน แล้วก็เงียบไปไม่มีข่าวคราว มันเป็นไฟแค้นที่สุมอยู่ในตระกูลฉินมาแต่ต้นแล้ว
“เพื่อแก้แค้นให้กับการหักขาหลานคนรองของข้า”
เหตุผลอันนี้ จัดว่าสมบูรณ์ชัดเจน
ต่อให้ว่าจัดการสังหารถังเฉาไปแล้ว กลุ่มอิทธิพลในสังกัดของถังเฉาก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะใช้นำไปแก้แค้นคืนได้เลย
แต่เพียงลำพังตระกูลฉิน คงไม่มีความอาจหาญพอ ที่กล้าจะลงมือกับถังเฉาได้ง่าย ๆ
ที่พึ่งพอจะเป็นหลักได้ ยังคงต้องเป็นหนุ่มกลางคนเสื้อเขียวคนนั้น
เขามาจากตระกูลฉินในราชวงศ์ พลังฝีมือ—-แน่นอน ฉินโช่ววงไม่ได้คิดหวังจะให้หนุ่มวัยกลางคนเสื้อเขียวฆ่าถังเฉา
เขาเป็นคนรักสติปัญญาความรู้ ยิ่งกว่านั้นคือรักทรัพยากรแห่งสติปัญญาความรู้
ถังเฉาเป็นทรัพยากรบุคคล พลังฝีมือแข็งกล้า ความคิดอ่านละเอียดอ่อน ที่สำคัญเขามีเบื้องหลังที่หนาหนัก หากถ้าได้มาไว้ใช้ นั้นต้องเปรียบได้อย่างเสือติดปีก
แววตาของถังเฉาค่อย ๆ อึมครึมลง สาดส่องประกายการฆ่าดูน่ากลัว
ในเมื่อการเจรจามาถึงขั้นแตกหัก ก็ไม่มีอะไรต้องคุยอีกต่อไป
“เจ้าหนุ่มน้อย ยังไงก็รับน้ำใจหวังดีจากพวกเราเถอะ ให้ได้อย่างนี้จะได้ไม่ต้องมีการเสียหายกันทั้งสองฝ่าย”
ขณะนั้นเอง หนุ่มวัยกลางคนเสื้อเขียวที่ยืนอยู่หลังฉินโช่ววงเอ่ยปากออกพูดบ้าง
สายตาที่เหมือนแร้งหัวโล้นจ้องมาที่ถังเฉา พูดว่า “คุณคงคิดไม่ถึงนะ ชื่อเสียงของคุณตอนนี้ดังเข้าไปถึงในกลุ่มตระกูลราชวงศ์แล้ว ในฝ่ายตระกูลราชวงศ์เย่ ตระกูลราชวงศ์ถังต่างก็จ้องจะสังหารคุณ—-คนยังไปไม่ทันไปเกี่ยวพันกับตระกูลราชวงศ์ ก็ป่วนถึงเรื่องฆ่ากันไปทั้งเมือง ถ้าคุณไม่มีร่มไว้คุ้มหัว คงจะต้องถึงที่ตายเร็วมากขึ้น”
แชว๊ป!
พอคำพูดนี้หลุดออกไป แม้แต่ฉินโช่ววง ก็ยังต้องมองถังเฉาด้วยสีหน้าตื่นเต้น
ชื่อที่เรียกว่าถังเฉา ได้ดังสะท้านไปทั่วทั้งราชวงศ์ต้าเซี่ยแล้วหรือนี่?
เรื่องถังเฉาเกือบจะสังหารเย่จงซือนั้น คนทั้งเมืองซื่อจิ่วต่างก็รู้อยู่ ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเย่จงซือ ไม่เพียงเย่จงเวิ่น ยิ่งไปกว่านั้นอีกคือพระอริยมารดรที่สาม การต้องการจะฆ่าถังเฉาจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่ทว่า ตระกูลถังในตระกูลราชวงศ์ทำไมต้องการฆ่าถังเฉา?
ฉินโช่ววงหรี่ตาเฒ่าแสนเจ้าเล่ห์ จ้องมองถังเฉาอย่างใช้ความคิด
เหมือนว่าคิดอะไรขึ้นมาได้ หัวเราะดังฮา ๆ ออกมาในทันใด
“เพราะเป็นอย่างนี้เอง เพราะเป็นอย่างนี้นี่เอง!”
“ตัดหญ้าต้องถอนโคน มิฉะนั้น ปล่อยทิ้งไว้แล้ววันหลังจะงอกลามออกไป รากเกาะติดราก โคนเกี่ยวพันโคน มันก็จะเป็นเรื่องยากในการจัดการต่อไปแล”
“……”
ทุกคนที่อยู่ต่างมองไปที่ฉินโช่ววงอย่างมึนงง ไม่เข้าใจว่าเขาพูดเรื่องอะไร
แววตาของถังเฉา กลับยิ่งอึมครึมลง แต่เพียงชั่วพริบตาเดียว เขาก็หัวเราะร่าออกมา
“ที่คุณพูดนี่มีเหตุผลนะ มีเพื่อนเพิ่มมากอีกคน ย่อมต้องดีกว่าสร้างศัตรูอีกคน แต่ทว่า คุณใช้อะไรมามองว่า ผมตัวคนเดียวจะรับมือไม่ไหว?”
ถังเฉาจ้องหนุ่มวัยกลางคนเสื้อเขียวด้วยสายตาเหยียด ๆ พูดเสียงทุ้มลึกว่า “ผมไม่เคยมองที่เรียกว่าตระกูลราชวงศ์อยู่ในสายตา ตอนนี้ก็มีตระกูลถังกับตระกูลเย่แล้ว เพิ่มตระกูลฉินพวกคุณเข้ามาใช่ว่าจะเพิ่มมากขึ้นอีกหนึ่ง ลดตระกูลฉินของพวกคุณไปก็ใช่ว่าจะลดน้อยลงไปหนึ่ง”
“……”
พูดคำพูดแบบนี้ออกมาได้จะว่าไม่โอหังไม่ได้เลย แม้หนุ่มวัยกลางคนเสื้อเขียวหน้ายังอึ้งลง นิ่งเงียบไม่พูดจา
“ดูท่าว่าคุณคงปฏิเสธความหวังดีของข้าแล้วนะ”
ฉินโช่ววงสาดแววฆ่าออกมาจากสายตา พูดเสียงเยือกว่า “ดูท่า แกคงยังไม่ได้เห็นความชัดเจนในสถานการณ์ขณะนี้”
“ไม่หรอก ผมไม่คิดจะเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ในเรื่องภายในของตระกูลฉิน”
ถังเฉายังคงส่ายหัว พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ไม่ว่าฉินผู่หยางกับฉินกวนฉีจะต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งกันยังไง หรือจะเป็นเรื่องที่พวกคุณมองสองคนนั้นเป็นวัสดุสิ้นเปลืองอย่างใด มันล้วนไม่เกี่ยวข้องอะไรกับผม—-ผมเป็นเพียงผู้ชมการต่อสู้”
คำพูดนี้ ได้พูดไว้ตั้งแต่ตอนที่ฉินกวนฉีกำลังจะลงมือกับฉู่หยังแล้ว ตอนนี้มาพูดย้ำอีกครั้ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการพูดให้ฉินผู่หยางกับฉินเจียนเวยฟัง เพื่อให้ได้สบายใจ
ฉินโช่ววงพูดด้วยสีหน้ายิ้มเยือก “คุณไม่อยากเข้าร่วมวงด้วยก็ต้องเข้า บัญชีของเราเมื่อห้าปีที่แล้วต้องสะสาง”
“ท่านปู่ มาถึงขนาดนี้แล้ว คงไม่มีอะไรต้องเสแสร้งอีกแล้ว”
ฉินผู่หยางค่อย ๆ ลุกยืนขึ้น มองคุณปู่ของตัวเองด้วยสีหน้าที่รู้สึกเจ็บปวด พูดว่า “เรื่องขาขาด เป็นเรื่องที่ผมหาเรื่องจนเป็นเรื่องเอง หรือจะพูดอีกแบบหนึ่งว่า เป็นด้วยถังเฉาปลุกให้ผมตื่นรู้ขึ้นมา จะยิ่งใหญ่ขึ้นได้ เพียงแค่อาศัยตัวเอง อาศัยวงศ์ตระกูลนั้นยังไม่พอ ต้องตามผู้นำที่ถูกตัว”
สีหน้าฉินโช่ววงอึมครึมลงทันที “แกหมายความว่า แกเข้าพวกไปอยู่กับถังเฉาแล้ว?”
ฉินผู่หยางไม่พูดอะไร นับเป็นการยอมรับเงียบ ๆ
“ถ้าเป็นอย่างนั้น แกก็ไปตามทางของพี่ชายแกเถอะ”
ฉินโช่ววงพูดจบ ก็ได้หันไปที่หนุ่มวัยกลางคนเสื้อเขียว สีหน้าจริงจัง “จิ่วจิง งานต่อไป ก็ต้องขอไหว้วานคุณแล้ว”
ฉินจิ่วจิงไม่พูดอะไร เพียงแต่ในสายตาดูเฉียบคมยิ่งขึ้น มองไปยังฉินเจียนเวย ตะคอกเสียงทุ้มต่ำ “เจียนเวย ยังไม่รีบกลับคืนตระกูลราชวงศ์อีก”
ฉินเจียนเวยลุกขึ้นยืนช้า ๆ วางผีผาในมือลง ตาทั้งคู่สว่างใส “เสียใจ ข้ายังไม่คิดจะกลับบ้าน”
“……”
สีหน้าฉินจิ่วจิงครึ้มลง จ้องเขม็งไปที่ถังเฉา พูดเสียงเยือก “เจ้าหนุ่มน้อย แกยังมีคนติดตามด้วยนะ”
“แต่ว่า สถานการณ์คืนนี้ พวกแกยังเห็นทางชนะหรือ?”
เรื่องคุยพลิกเปลี่ยน สายตาเย็นเยือกของฉินจิ่วจิง พุ่งใส่เข้าหาถังเฉา
“ฉู่หยัง!”
ถังเฉาก็ได้ตวาดออกไป
“ฉู่หยังครับผม!”
ต่อหน้ายอดฝีมือตระกูลราชวงศ์ ฉู่หยังหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังคงยืนเข้าขวางอยู่ข้างหน้าถังเฉาอย่างรู้หน้าที่ ไม่มีการหวั่นไหว
“ใครกล้าคิดลงมือกับคุณถัง ผ่านด่านข้าไปก่อน!”
พูดจบ หันไปทางบริเวณว่างโล่งข้างหน้าโค้งตัวคารวะ “เชิญท่านเจ้ามังกรลงมือได้เลยขอรับ!”
“เจ้ามังกร?!”
คำสองตัวอักษรนี้พูดออกมา ฉินจิ่วจิงสะดุ้งตัววาบ แม้ตัวเขาจะเป็นคนในตระกูลราชวงศ์ แต่ก็เคยได้ยินมาถึงผู้ที่ขนานตัวเองในชื่อว่า ‘เจ้ามังกร’ เห็นว่าต่อให้เป็นสุดยอดฝีมือของตระกูลราชวงศ์ ก็ยังอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้เลย
แต่เวลาผ่านไปนาน ก็ยังไม่เห็นมีความเคลื่อนไหวใด ๆ เกิดขึ้น
ฉินจิ่วจิงถอนหายใจอย่างผ่อนคลาย เย็นเยือกบนสีหน้าเข้มข้นขึ้น “กล้ามาหลอกข้า หาที่ตายซะแล้ว”
“กับพวกมดปลวกอย่างแก มีหรือจะต้องใช้กลลวง”
แต่แล้วในทันทีต่อมา ถังเฉาที่นั่งอยู่บนโซฟาตลอด กลับลุกยืนขึ้น
สิ้นเสียงหัวเราะเยือกเย็น ทันใดนั้นฝ่ามือถังเฉาตบลงไปที่โต๊ะ
ปัง!
เม็ดหมากรุกทั้งดำขาวบนโต๊ะ กระเด็นขึ้นด้วยแรงกระแทกที่หนักหน่วง
ฉับพลันที่ตามมา พลังแรงที่ไร้วี่แววพัดใส่ หมากเม็ดทั้งขาวดำแหวกเสียงหวีดพุ่งเข้าใส่ฉินจิ่วจิงดั่งกระสุนปืน
หนี่งเม็ดตรงจุดที่หว่างคิ้ว
หนึ่งเม็ดตรงจุดที่คอหอย
หนึ่งเม็ดตรงจุดที่หัวใจ
ที่เหลืออีกห้าเม็ด มีอยู่สี่เม็ดจ่อตำแหน่งแขนขาทั้งสี่ เม็ดสุดท้าย ตรงจุดไปที่ท้อง
พูดได้ว่า จุดตายบนร่างกายทุกจุด ถูกล็อกไว้หมด
ไม่ลงมือก็แล้วไป เมื่อลงมือ ต้องเอาตาย!
ว้าว!
ฉินโช่ววง พูดสิ่งที่เขาต้องการออกมาด้วยเสียงแหบแห้งของคนแก่ ภายในห้องพิเศษเงียบจนแม้เข็มตกยังได้ยิน บรรยากาศเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นเขย่าขวัญ
ไม่ว่าจะเป็นฉินผู่หยาง ฉินเจียนเวย หรือแม้แต่ฉู่หยางที่ฟื้นจากเมาเหล้าแล้ว ต่างมองหน้าฉินโช่ววงด้วยสีหน้าฉงน
มองไปมองมา สายตาหยุดตกที่ถังเฉา จิตใจของพวกเขาจดจ่อ แต่ละคนตึงเครียดไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย—-พวกเขาต่างมีสังหรณ์ใจกันว่าสถานการณ์ขณะนี้เป็นความนิ่งงันของบรรยากาศก่อนพายุฝนระห่ำบ้าจะมาถล่ม
เรื่องที่ยิ่งกว่าใหญ่ยิ่งกว่าน่ากลัวกำลังเข้ามาแล้ว
เปลี่ยนแซ่!
ฉินโช่ววงถึงขนาดจะให้ถังเฉาเปลี่ยนแซ่ แล้วมาเข้าอยู่ในตระกูลฉินเลยหรือ?
เงื่อนไขอันนี้ฟังเหมือนไม่มีอะไร แต่ดูเข้าในส่วนลึก ๆ ก็จะพบว่า เงื่อนไขนี้—-โคตรจะผิดจรรยาคุณธรรมเลย
เท่ากับจะให้ไปขุดเอาหลุมฝังศพโคตรตระกูลเขาทิ้งเลยก็ไม่ปาน
สกุลแซ่เป็นสิ่งสำคัญมากของการเป็นหนึ่งชีวิต
ไม่ใช่เพียงเป็นของใครคนเดียว เพราะยิ่งกว่านั้นยังเป็นของทั้งหนึ่งตระกูล
มันเป็นหน้าตา!
มันเป็นศักดิ์ศรี!
โบราณว่า “เชิดชูวงศ์ตระกูล”
คนเราทุกข์ยากลำบากทั้งชีวิต เกิดไม่มีพาอะไรมา ตายไม่ได้เอาอะไรไป ที่อยู่ ๆ กันไปก็ไม่เพราะเพื่อหน้าตาวงศ์ตระกูลนี่หรือ?
แม่ของถังเฉาอุ้มท้องเกือบสิบเดือนทนทุกข์ทรมานในการเบ่งคลอด เพื่อให้ถังเฉาได้รอดออกมา ก็ไม่ใช่เพราะจะให้มาสืบทอดไอ้ที่เรียกว่า ‘สกุลแซ่’ นั่นหรือ?
ถ้าหากเพียงเพื่อการรอดชีวิตแล้วยินยอมเปลี่ยนแซ่ทิ้ง นั้นมันวิถีของคนขี้ขลาดชัด ๆ
อย่าว่าแต่ถังเฉาเลย ให้ผู้ชายทั่ว ๆ ไป ก็คงไม่มีใครยอมตกลง
จะพูดไปอีกที—-ถังเฉายังไม่เห็นหน้าค่าตาพ่อแม่ตัวเองเลย ถ้าเขาจะไปพบพวกเขา เขาก็ต้องใช้แซ่ถังตลอด มิฉะนั้นแล้ว เขาคงจะไม่มีหน้าพอที่จะแบกไปพบพวกเขาได้
“ท่านมีสามวินาทีที่จะเก็บคำพูดนี้กลับคืนไป แล้วเปลี่ยนเงื่อนไขมาใหม่”
ถังเฉาจ้องหน้าฉินโช่ววงด้วยสายตาราบเรียบ พูดเสียงไม่ยินดียินร้าย ฟังไม่ออกว่าจะมีความเคืองโกรธเก็บอยู่แค่ไหน
แต่ทว่า คนที่รู้จักมักคุ้นกับเขาดีล้วนรู้อยู่แก่ใจว่า ในลักษณะที่เป็นอยู่ของถังเฉาในขณะนี้ จึงเป็นที่น่ากลัวที่สุด
ฉินโช่ววงส่ายหัว พูดชัดถ้อยชัดคำ “ก็นี่แหละ ไม่งั้นไม่ต้องคุย”
ไม่ว่าเรื่องอะไรที่เกิดจะต้องมีชื่อเสียงเรียงนามของตัวต้นเหตุ ถังเฉาถล่มจนขาฉินผู่หยางหักเสียไปเมื่อห้าปีก่อน แล้วก็เงียบไปไม่มีข่าวคราว มันเป็นไฟแค้นที่สุมอยู่ในตระกูลฉินมาแต่ต้นแล้ว
“เพื่อแก้แค้นให้กับการหักขาหลานคนรองของข้า”
เหตุผลอันนี้ จัดว่าสมบูรณ์ชัดเจน
ต่อให้ว่าจัดการสังหารถังเฉาไปแล้ว กลุ่มอิทธิพลในสังกัดของถังเฉาก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะใช้นำไปแก้แค้นคืนได้เลย
แต่เพียงลำพังตระกูลฉิน คงไม่มีความอาจหาญพอ ที่กล้าจะลงมือกับถังเฉาได้ง่าย ๆ
ที่พึ่งพอจะเป็นหลักได้ ยังคงต้องเป็นหนุ่มกลางคนเสื้อเขียวคนนั้น
เขามาจากตระกูลฉินในราชวงศ์ พลังฝีมือ—-แน่นอน ฉินโช่ววงไม่ได้คิดหวังจะให้หนุ่มวัยกลางคนเสื้อเขียวฆ่าถังเฉา
เขาเป็นคนรักสติปัญญาความรู้ ยิ่งกว่านั้นคือรักทรัพยากรแห่งสติปัญญาความรู้
ถังเฉาเป็นทรัพยากรบุคคล พลังฝีมือแข็งกล้า ความคิดอ่านละเอียดอ่อน ที่สำคัญเขามีเบื้องหลังที่หนาหนัก หากถ้าได้มาไว้ใช้ นั้นต้องเปรียบได้อย่างเสือติดปีก
แววตาของถังเฉาค่อย ๆ อึมครึมลง สาดส่องประกายการฆ่าดูน่ากลัว
ในเมื่อการเจรจามาถึงขั้นแตกหัก ก็ไม่มีอะไรต้องคุยอีกต่อไป
“เจ้าหนุ่มน้อย ยังไงก็รับน้ำใจหวังดีจากพวกเราเถอะ ให้ได้อย่างนี้จะได้ไม่ต้องมีการเสียหายกันทั้งสองฝ่าย”
ขณะนั้นเอง หนุ่มวัยกลางคนเสื้อเขียวที่ยืนอยู่หลังฉินโช่ววงเอ่ยปากออกพูดบ้าง
สายตาที่เหมือนแร้งหัวโล้นจ้องมาที่ถังเฉา พูดว่า “คุณคงคิดไม่ถึงนะ ชื่อเสียงของคุณตอนนี้ดังเข้าไปถึงในกลุ่มตระกูลราชวงศ์แล้ว ในฝ่ายตระกูลราชวงศ์เย่ ตระกูลราชวงศ์ถังต่างก็จ้องจะสังหารคุณ—-คนยังไปไม่ทันไปเกี่ยวพันกับตระกูลราชวงศ์ ก็ป่วนถึงเรื่องฆ่ากันไปทั้งเมือง ถ้าคุณไม่มีร่มไว้คุ้มหัว คงจะต้องถึงที่ตายเร็วมากขึ้น”
แชว๊ป!
พอคำพูดนี้หลุดออกไป แม้แต่ฉินโช่ววง ก็ยังต้องมองถังเฉาด้วยสีหน้าตื่นเต้น
ชื่อที่เรียกว่าถังเฉา ได้ดังสะท้านไปทั่วทั้งราชวงศ์ต้าเซี่ยแล้วหรือนี่?
เรื่องถังเฉาเกือบจะสังหารเย่จงซือนั้น คนทั้งเมืองซื่อจิ่วต่างก็รู้อยู่ ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเย่จงซือ ไม่เพียงเย่จงเวิ่น ยิ่งไปกว่านั้นอีกคือพระอริยมารดรที่สาม การต้องการจะฆ่าถังเฉาจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่ทว่า ตระกูลถังในตระกูลราชวงศ์ทำไมต้องการฆ่าถังเฉา?
ฉินโช่ววงหรี่ตาเฒ่าแสนเจ้าเล่ห์ จ้องมองถังเฉาอย่างใช้ความคิด
เหมือนว่าคิดอะไรขึ้นมาได้ หัวเราะดังฮา ๆ ออกมาในทันใด
“เพราะเป็นอย่างนี้เอง เพราะเป็นอย่างนี้นี่เอง!”
“ตัดหญ้าต้องถอนโคน มิฉะนั้น ปล่อยทิ้งไว้แล้ววันหลังจะงอกลามออกไป รากเกาะติดราก โคนเกี่ยวพันโคน มันก็จะเป็นเรื่องยากในการจัดการต่อไปแล”
“……”
ทุกคนที่อยู่ต่างมองไปที่ฉินโช่ววงอย่างมึนงง ไม่เข้าใจว่าเขาพูดเรื่องอะไร
แววตาของถังเฉา กลับยิ่งอึมครึมลง แต่เพียงชั่วพริบตาเดียว เขาก็หัวเราะร่าออกมา
“ที่คุณพูดนี่มีเหตุผลนะ มีเพื่อนเพิ่มมากอีกคน ย่อมต้องดีกว่าสร้างศัตรูอีกคน แต่ทว่า คุณใช้อะไรมามองว่า ผมตัวคนเดียวจะรับมือไม่ไหว?”
ถังเฉาจ้องหนุ่มวัยกลางคนเสื้อเขียวด้วยสายตาเหยียด ๆ พูดเสียงทุ้มลึกว่า “ผมไม่เคยมองที่เรียกว่าตระกูลราชวงศ์อยู่ในสายตา ตอนนี้ก็มีตระกูลถังกับตระกูลเย่แล้ว เพิ่มตระกูลฉินพวกคุณเข้ามาใช่ว่าจะเพิ่มมากขึ้นอีกหนึ่ง ลดตระกูลฉินของพวกคุณไปก็ใช่ว่าจะลดน้อยลงไปหนึ่ง”
“……”
พูดคำพูดแบบนี้ออกมาได้จะว่าไม่โอหังไม่ได้เลย แม้หนุ่มวัยกลางคนเสื้อเขียวหน้ายังอึ้งลง นิ่งเงียบไม่พูดจา
“ดูท่าว่าคุณคงปฏิเสธความหวังดีของข้าแล้วนะ”
ฉินโช่ววงสาดแววฆ่าออกมาจากสายตา พูดเสียงเยือกว่า “ดูท่า แกคงยังไม่ได้เห็นความชัดเจนในสถานการณ์ขณะนี้”
“ไม่หรอก ผมไม่คิดจะเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ในเรื่องภายในของตระกูลฉิน”
ถังเฉายังคงส่ายหัว พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ไม่ว่าฉินผู่หยางกับฉินกวนฉีจะต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งกันยังไง หรือจะเป็นเรื่องที่พวกคุณมองสองคนนั้นเป็นวัสดุสิ้นเปลืองอย่างใด มันล้วนไม่เกี่ยวข้องอะไรกับผม—-ผมเป็นเพียงผู้ชมการต่อสู้”
คำพูดนี้ ได้พูดไว้ตั้งแต่ตอนที่ฉินกวนฉีกำลังจะลงมือกับฉู่หยังแล้ว ตอนนี้มาพูดย้ำอีกครั้ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการพูดให้ฉินผู่หยางกับฉินเจียนเวยฟัง เพื่อให้ได้สบายใจ
ฉินโช่ววงพูดด้วยสีหน้ายิ้มเยือก “คุณไม่อยากเข้าร่วมวงด้วยก็ต้องเข้า บัญชีของเราเมื่อห้าปีที่แล้วต้องสะสาง”
“ท่านปู่ มาถึงขนาดนี้แล้ว คงไม่มีอะไรต้องเสแสร้งอีกแล้ว”
ฉินผู่หยางค่อย ๆ ลุกยืนขึ้น มองคุณปู่ของตัวเองด้วยสีหน้าที่รู้สึกเจ็บปวด พูดว่า “เรื่องขาขาด เป็นเรื่องที่ผมหาเรื่องจนเป็นเรื่องเอง หรือจะพูดอีกแบบหนึ่งว่า เป็นด้วยถังเฉาปลุกให้ผมตื่นรู้ขึ้นมา จะยิ่งใหญ่ขึ้นได้ เพียงแค่อาศัยตัวเอง อาศัยวงศ์ตระกูลนั้นยังไม่พอ ต้องตามผู้นำที่ถูกตัว”
สีหน้าฉินโช่ววงอึมครึมลงทันที “แกหมายความว่า แกเข้าพวกไปอยู่กับถังเฉาแล้ว?”
ฉินผู่หยางไม่พูดอะไร นับเป็นการยอมรับเงียบ ๆ
“ถ้าเป็นอย่างนั้น แกก็ไปตามทางของพี่ชายแกเถอะ”
ฉินโช่ววงพูดจบ ก็ได้หันไปที่หนุ่มวัยกลางคนเสื้อเขียว สีหน้าจริงจัง “จิ่วจิง งานต่อไป ก็ต้องขอไหว้วานคุณแล้ว”
ฉินจิ่วจิงไม่พูดอะไร เพียงแต่ในสายตาดูเฉียบคมยิ่งขึ้น มองไปยังฉินเจียนเวย ตะคอกเสียงทุ้มต่ำ “เจียนเวย ยังไม่รีบกลับคืนตระกูลราชวงศ์อีก”
ฉินเจียนเวยลุกขึ้นยืนช้า ๆ วางผีผาในมือลง ตาทั้งคู่สว่างใส “เสียใจ ข้ายังไม่คิดจะกลับบ้าน”
“……”
สีหน้าฉินจิ่วจิงครึ้มลง จ้องเขม็งไปที่ถังเฉา พูดเสียงเยือก “เจ้าหนุ่มน้อย แกยังมีคนติดตามด้วยนะ”
“แต่ว่า สถานการณ์คืนนี้ พวกแกยังเห็นทางชนะหรือ?”
เรื่องคุยพลิกเปลี่ยน สายตาเย็นเยือกของฉินจิ่วจิง พุ่งใส่เข้าหาถังเฉา
“ฉู่หยัง!”
ถังเฉาก็ได้ตวาดออกไป
“ฉู่หยังครับผม!”
ต่อหน้ายอดฝีมือตระกูลราชวงศ์ ฉู่หยังหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังคงยืนเข้าขวางอยู่ข้างหน้าถังเฉาอย่างรู้หน้าที่ ไม่มีการหวั่นไหว
“ใครกล้าคิดลงมือกับคุณถัง ผ่านด่านข้าไปก่อน!”
พูดจบ หันไปทางบริเวณว่างโล่งข้างหน้าโค้งตัวคารวะ “เชิญท่านเจ้ามังกรลงมือได้เลยขอรับ!”
“เจ้ามังกร?!”
คำสองตัวอักษรนี้พูดออกมา ฉินจิ่วจิงสะดุ้งตัววาบ แม้ตัวเขาจะเป็นคนในตระกูลราชวงศ์ แต่ก็เคยได้ยินมาถึงผู้ที่ขนานตัวเองในชื่อว่า ‘เจ้ามังกร’ เห็นว่าต่อให้เป็นสุดยอดฝีมือของตระกูลราชวงศ์ ก็ยังอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้เลย
แต่เวลาผ่านไปนาน ก็ยังไม่เห็นมีความเคลื่อนไหวใด ๆ เกิดขึ้น
ฉินจิ่วจิงถอนหายใจอย่างผ่อนคลาย เย็นเยือกบนสีหน้าเข้มข้นขึ้น “กล้ามาหลอกข้า หาที่ตายซะแล้ว”
“กับพวกมดปลวกอย่างแก มีหรือจะต้องใช้กลลวง”
แต่แล้วในทันทีต่อมา ถังเฉาที่นั่งอยู่บนโซฟาตลอด กลับลุกยืนขึ้น
สิ้นเสียงหัวเราะเยือกเย็น ทันใดนั้นฝ่ามือถังเฉาตบลงไปที่โต๊ะ
ปัง!
เม็ดหมากรุกทั้งดำขาวบนโต๊ะ กระเด็นขึ้นด้วยแรงกระแทกที่หนักหน่วง
ฉับพลันที่ตามมา พลังแรงที่ไร้วี่แววพัดใส่ หมากเม็ดทั้งขาวดำแหวกเสียงหวีดพุ่งเข้าใส่ฉินจิ่วจิงดั่งกระสุนปืน
หนี่งเม็ดตรงจุดที่หว่างคิ้ว
หนึ่งเม็ดตรงจุดที่คอหอย
หนึ่งเม็ดตรงจุดที่หัวใจ
ที่เหลืออีกห้าเม็ด มีอยู่สี่เม็ดจ่อตำแหน่งแขนขาทั้งสี่ เม็ดสุดท้าย ตรงจุดไปที่ท้อง
พูดได้ว่า จุดตายบนร่างกายทุกจุด ถูกล็อกไว้หมด
ไม่ลงมือก็แล้วไป เมื่อลงมือ ต้องเอาตาย!