หม่าเฟยเตรียมตัวมาอย่างดี ที่มาที่นี่ก็เพื่อทำให้คนในบริษัทหลินชิงเสว่ลำบาก ส่วนเด็กสาวที่วิ่งออกไปก็เพราะถูกหม่าเฟยรังแกจนทนไม่ไหวและวิ่งออกไป
หลินชิงเสว่มองดูเด็กสาวที่ออกไปด้วยสีหน้าว้าวุ่นใจจนไม่รู้จะทำอย่างไร
ประตูห้องทำงานที่ดูเงียบสงบในเวลาปกติ ตอนนี้ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยวิกฤต
หลินชิงเสว่กลืนน้ำลาย แล้วค่อยๆ เปิดประตูออก
ทันทีที่เปิดประตู ในที่สุดเธอหลินชิงเสว่ก็ได้รู้ว่าเหตุใดพนักงานของตนจึงถูกหม่าเฟยรังแกจนอยู่ในสภาพนั้น
มีก้นบุหรี่อยู่เต็มพื้น ทุกอย่างบนโต๊ะก็ระเกะระกะไปหมด
ข้างกายหม่าเฟยยังมีผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ผู้หญิงคนนี้หลินชิงเสว่จำได้ทันทีที่เห็น
ผู้หญิงคนนี้คือคนที่เธอพบที่สวนสนุก
เมื่อฝ่ายหญิงเห็นว่าในที่สุดหลินชิงเสว่ก็เข้ามาด้วยตัวเอง เธอยิ้มอย่างพึงพอใจ ใบหน้าของเธอทำให้ผู้คนรู้สึกขยะแขยง
“ในที่สุดคุณก็มา หลินชิงเสว่ อย่าคิดว่าที่คุณให้สามีของคุณเข้ามาช่วยกู้หน้าในตอนนั้น แล้วฉันจะกลัวคุณนะ”
“ฉันเห็นสามีของคุณเหมือนสุนัขบ้า เลยไม่อยากโต้เถียงกับพวกคุณ”
“แต่ในเวลานี้ คุณไม่โชคดีแบบนั้นแล้ว”
พอหม่าเฟยได้ยินว่าหลินชิงเสว่คือคนที่จัดการภรรยาของตัวเองในตอนนั้น ก็น่าจะโกรธจัดอย่างที่ควรจะเป็น
สิ่งที่ทำให้ทุกคนนึกไม่ถึงก็คือหม่าเฟยไม่เพียงไม่โกรธ แต่สีหน้ากลับเต็มไปด้วยความยินดี
“ที่แท้ก็สาวงามคนนี้นี่เอง ผมยังนึกว่าเป็นใคร”
“สาวสวย ผมว่าคุณ…”
หม่าเฟยที่กำลังหลงเสน่ห์หลินชิงเสว่จนโงหัวไม่ขึ้น ดูเหมือนจะลืมไปว่าภรรยาของเขายังคงยืนอยู่ข้างกาย
ผัวะ!
หญิงคนนั้นตบหัวหม่าเฟย หม่าเฟยได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว
“คุณนี่ช่างหน้าไม่อาย ฉันยังอยู่ตรงนี้นะ คุณอยากตายเหรอ”
ว่าแล้ว หม่าเฟยก็มองหลินชิงเสว่ด้วยรอยยิ้มขวยเขิน
“เปล่านะ ที่รัก ผมคิดอยู่พักหนึ่งแล้ว พวกเราเสียเปรียบก็ไม่เป็นไรหรอก ในสังคมแบบนี้ เราต้องคิดถึงเรื่องความสัมพันธ์กับผู้คนด้วย คุณดูสิคุณหลินมีบริษัทใหญ่แบบนี้ มันจะดีมากถ้าได้ร่วมงานกับพวกเรา”
หม่าเฟยคิดคำนวณทุกอย่างที่เห็นด้วยสายตาอยู่ในใจ ผิวหนังหน้าอกเป็นเสมือนม่านหน้าต่างที่โปร่งใส ทำให้ผู้คนมองเห็นหัวใจของเขาที่ดำจนส่องประกายออกมาได้ทันที
แต่หลินชิงเสว่ก็ไม่ใช่คนที่ยั่วยุได้ง่าย หลังจากได้ยินสิ่งที่หม่าเฟยพูด ก็นึกถึงพนักงานของตัวเองและปฏิเสธหม่าเฟยอย่างเด็ดขาด
“มันเป็นไปไม่ได้ บริษัทของเราจะไม่ร่วมงานกับพวกคุณ พวกเราไม่ต้องการหุ้นส่วนอย่างพวกคุณ กรุณาออกไปจากที่นี่เถอะ”
หม่าเฟยไม่อยากจะเชื่อ ถ้าหากว่าเป็นเมื่อก่อนตอนที่เขาไม่มีเงิน หลินชิงเสว่มาพูดกับตนแบบนี้ ตนก็ไม่กล้าพูดอะไร แต่ตอนนี้เขามีหว่างเหลี่ยงเป็นไพ่ตาย ดังนั้นจึงมีความกล้าหาญมากขึ้น
“คุณหมายความว่ายังไง คุณอยากตายหรือเปล่า เตือนดีๆ ไม่ฟังต้องบังคับถึงจะฟังใช่ไหม ผมจะบอกคุณให้นะ ทันทีที่คุณก้าวออกจากประตูนี้ ผมสามารถบอกให้คนอื่นจับคุณไปได้ตามต้องการ ไม่เชื่อคุณก็ลองดู”
หม่าเฟยพูดพลางทำหน้าตาเจ้าเล่ห์และหยาบคาย
คราวนี้หลินชิงเสว่ยิ่งมั่นใจว่าสองคนนี้มาที่นี่เพื่อสร้างปัญหา
ขณะที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง หม่าเฟยก็ลุกขึ้นยืนแล้วพูดกับหลินชิงเสว่
“จะให้เวลาคุณคิดหนึ่งวัน นี่คือเบอร์โทรศัพท์ของผม หากคุณไตร่ตรองดีแล้ว อย่าลืมโทรหาผมด้วย”
ว่าแล้ว หม่าเฟยก็เดินผ่านหลินชิงเสว่ไป
หลินชิงเสว่ไม่ได้ขัดขวาง ปล่อยให้คนคนนี้เดินจากไป
“บอสคะ ไม่เป็นไรใช่ไหม สองคนนี้ดูไม่เหมือนคนที่มาจากบริษัทใหญ่เลย พวกเขาสองคนเหมือนมาจากชนบทอย่างแท้จริง ดูไม่มีราคาสักนิด เหมือนนักเลงหัวไม้สองคน”
หลินชิงเสว่มองด้านหลังของทั้งสองอย่างเย็นชา แล้วพูดว่า
“อย่าไปสนใจพวกเขาเลย อันที่จริงวันหลังก็อย่าให้รปภ.ปล่อยพวกเขาเข้ามาอีก”
ว่าแล้วหลินชิงเสว่ก็เดินออกไป
หลังจากถังเฉาพาหลินชิงเสว่มาเที่ยวเล่นได้สองวัน ในที่สุดก็สามารถกลับมาทำงานที่นี่ได้
อันดับแรก ดูเหมือนว่าถังเฉาจะตามหาเฟิ่งหวงจนพบ สอบถามกลุ่มของหว่างเหลี่ยงที่แอบเข้าไปในเมืองซื่อจิ่วอย่างลับๆ ในตอนนั้น
แม้ว่าเฟิ่งหวงกำลังตามสืบอยู่ แต่เธอก็ไม่ได้ข้อมูลใดๆ เลย
“ได้ยินมาจากแองเจล่าว่า พวกเธอจะสร้างฐานปฏิบัติการสักอย่างที่นี่ ยังบอกด้วยว่าหงเหลียนจัดตั้งขึ้นมาเพื่อเฝ้าติดตามแองเจล่า”
“แต่เมื่อเร็วๆ นี้ที่แปลกมากก็คือที่ตลาดเมืองซื่อจิ่วของเรา คุณเชื่อไหมว่า ภายในวันเดียว มีบริษัทแห่งหนึ่งได้เข้าครอบครองหุ้นเกือบร้อยละสิบของหุ้นทั้งหมดในเมืองซื่อจิ่ว”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จิตใจที่สงบของถังเฉาก็ยังสั่นไหวเล็กน้อย
“บริษัทแห่งหนึ่ง อุตสาหกรรมที่ก่อตั้งขึ้นใหม่เหรอ? เข้าครอบครองหุ้นเกือบร้อยละสิบของหุ้นทั้งหมดในเมืองซื่อจิ่ว?”
เฟิ่งหวงพยักหน้า จากข้อมูลที่เฟิ่งหวงได้ให้ตนไว้คราวที่แล้ว ถังเฉาก็พอจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้
“ฉันรู้คร่าวๆ แล้ว ช่วงนี้ฉันจะจับตาดูพวกเขาไว้”
เฟิ่งหวงพูดพลางพยักหน้าช้าๆ
“เออใช่ ช่วงนี้คุณต้องเตรียมตัวให้ดี ฉันวางแผนจะไปเยี่ยมทางราชวงศ์ต้าเซี่ย ถึงเวลาต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว”
เฟิ่งหวงเข้าใจความหมายของประโยคนี้ของถังเฉาดี เห็นได้ชัดว่าถังเฉาทำเพื่อตามหาแม่ของเธอ
เฟิ่งหวงขมวดคิ้วราวกับว่ากำลังลังเลอะไรบางอย่าง
“รองหัวหน้า คราวก่อนพวกเราขัดแย้งกับพระอริยมารดรที่สาม แล้วยังทำแขนของลูกชายของเธอหัก ถ้าตอนนี้พวกเราไปที่นั่นจะไม่ค่อยเหมาะหรือเปล่า?” เฟิ่งหวงพูดด้วยสีหน้ากังวล
ถังเฉายิ้มเยาะ แล้วมองไปที่เฟิ่งหวง
“ไม่มีความขัดแย้ง แม้ว่าเราจะไม่ลงมือ พระอริยมารดรที่สามก็จะหาทางจัดการกับเราอยู่ดี พวกเราควรจะชิงลงมือโจมตีก่อน อย่างน้อยเราก็จะได้สิทธิ์ที่เป็นฝ่ายรุก”
เมื่อได้ยินคำพูดของถังเฉา เฟิ่งหวงก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก เธอเพียงพยักหน้าเงียบๆ
“ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะไปจัดการทันที แต่รองหัวหน้าคะ ท่านบอกคุณหลินหน่อยดีกว่า ไม่อย่างนั้น…”
ถ้าเฟิ่งหวงไม่พูดอย่างนี้ ถังเฉาคงลืมไปแล้วจริงๆ ว่ายังมีหลินชิงเสว่อยู่
ถ้าพาหลินชิงเสว่ไปด้วยมันจะอันตรายมาก แต่ถ้าไม่พาเธอไปด้วย ก็ไม่รู้ว่าหลินชิงเสว่จะคิดอย่างไร จะรู้สึกเสียใจหรือไม่
“ผมรู้แล้ว ผมจะปรึกษาเธอ ไม่ต้องห่วง”
พูดจบ เฟิ่งหวงก็หายตัวไปต่อหน้าถังเฉาด้วยความเร็วสูงสุด ถังเฉาก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นเช่นนั้น เดินกลับไปที่ห้องพักผ่อนของตัวเอง
ไกลออกไป พระอริยมารดรที่สามยืนอยู่ที่ประตูห้อง กำลังขมวดคิ้วฟังคนที่กำลังพูดอยู่ในห้อง
“ลูกจ๋า ลูกรออีกหน่อยเถอะ ลูกบอกเองไม่ใช่เหรอว่าพวกเขาจะมาถึงเร็วๆ นี้? พวกเราไม่จำเป็นต้องรีบร้อน”
เสียงของพระอริยมารดรที่สามนั้นเห็นได้ชัดว่าขาดความมั่นใจ
เย่จงซือคว้าสิ่งของในห้อง แล้วขว้างมันออกไปอย่างบ้าคลั่ง
จนกระทั่งเขาหยิบขวดใบหนึ่งขึ้นมาแล้วโยนออกไป แต่บนพื้นไม่มีเสียงแผ่นกระเบื้องแตก
บรรยากาศเงียบสงบลงทันใด ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาช้าๆ พร้อมกับถือขวดเซรามิกในมือ สวมชุดเสื้อคลุมสีดำ ดูท่าทางลึกลับ