เราจะกลับบ้านกัน
หลินเช่อจำไม่ได้ว่าเธอเล่าไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วว่าเธอไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เธอพร่ำพูดซ้ำๆ ซากๆ ว่าคนขายยาพวกนั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเธอแม้แต่น้อย
หญิงสาวถามขึ้น “ฉันโทรหาผู้จัดการของฉันได้ไหมคะ”
นายตำรวจพ่นลมพรืดอย่างเยาะหยัน “ไม่ได้”
“งั้นฉันขอโทรหาครอบครัวของฉันได้ไหม”
“นั่นก็ไม่ได้เหมือนกัน ฉันจะให้เธอโทรก็ต่อเมื่อเธอยอมสารภาพเท่านั้น”
หลินเช่อถามกลับด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “คุณมีสิทธิ์อะไรมาทำแบบนี้”
นายตำรวจตอบว่า “นี่เป็นคดีพิเศษ เธอหาเรื่องใส่ตัวเองนะ ทั้งที่เป็นดาราแบบนี้”
ที่ด้านนอก นายตำรวจอีกสองสามคนกำลังเฝ้าดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายในห้องสอบสวน
“คนนี้น่าจะเพิ่งมาดังละมั้ง ฉันไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อนเลย”
“ใช่ หล่อนเป็นแค่ดาราเล็กๆ ไม่ได้มีนายทุนหนุนหลังหรือมาจากครอบครัวที่มีชื่อเสียงอะไร ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มาก่อเรื่องแย่ๆ แบบนี้หรอก”
“ถ้าเธอทำจริงก็สมควรรับโทษ ว่าแต่ทำไมเธอถึงมาเกี่ยวข้องกับพวกค้ายาได้ละเนี่ย ต่อให้ไม่ได้มีพื้นเพมาจากตระกูลดีๆ ก็เถอะ ยังไงก็ไม่น่าจะหาเรื่องทำตัวเองตกต่ำแบบนี้นี่นา”
“หล่อนคงหาทางแล้วแต่ยังไงก็ไม่ดังเสียทีละมั้ง”
“แต่หล่อนสวยมากเลยนะ อื้อ ว่าแต่จับหล่อนขังไว้แบบนี้จะดีเหรอ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า แค่ดาราหางแถวอย่างหล่อนจะมีน้ำยาอะไร ต่อให้ตอนอยู่ข้างนอกนั่นจะทำอะไรตามอำเภอใจได้ แต่ถ้ามาอยู่ที่นี่แล้วก็เป็นแค่อาชญากรเท่านั้น ยังไงหล่อนก็ต้องเชื่อฟังเรา”
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ได้ เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเห็นท่าว่าไม่อาจเค้นข้อมูลอะไรจากเธอได้แน่ เขาจึงอนุญาตให้เธอโทรศัพท์ได้
หลินเช่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรหาอวี๋หมินหมิ่นเป็นคนแรก แต่ก็ไม่คิดเลยว่าหล่อนจะยังคงไม่รับสาย
เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น หลินเช่อจึงไล่ดูรายชื่อในโทรศัพท์ของตัวเอง เมื่อเห็นหมายเลขของกู้จิ้งเจ๋อ เธอก็หยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจโทรหาเขา
[ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้] แม้แต่เขาก็ยังปิดเครื่องด้วยงั้นเหรอ…
หญิงสาวหมดปัญญา นายตำรวจกที่มายืนเร่งอยู่ด้านหลังยังหมดความอดทน “เอ้า รีบโทรเร็วเข้าสิ จะโทรหรือไม่โทร ถ้าไม่มีใครรับสายก็กลับเข้าไปได้แล้ว”
หลินเช่อไม่มีทางเลือกอื่น เธอจึงไล่ดูรายชื่ออีกครั้งก่อนจะตัดสินใจที่จะไม่โทรหาใคร “ช่างมันเถอะ ไม่มีใครที่ฉันอยากจะโทรหาอีกแล้วละ”
ต่อให้จะต้องตาย เธอก็ไม่มีทางติดต่อตระกูลหลินเป็นอันขาด นอกจากคนพวกนี้แล้ว เธอก็ไม่มีใครอื่นให้โทรหาอีก
กลับเข้าไปข้างในห้อง หลินเช่อนั่งลงด้วยความรู้สึกสิ้นหวังเล็กๆ เธอเริ่มรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว เธอไม่ได้นอนมาทั้งคืนแล้ว และตอนนี้เธอก็เริ่มรู้สึกเวียนหัวและทรงตัวไม่ค่อยอยู่ อากาศในห้องนั้นค่อนข้างชื้นและทำให้เธอเริ่มรู้สึกหนาว หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะเอนกายพิงผนังห้องเพื่อจะพักสักหน่อย แต่ดูเหมือนว่าทั้งเก้าอี้และผนังต่างก็เย็นจัดราวกับน้ำแข็งไม่ปาน
อีกด้านหนึ่ง
ฉินเฮ่ายืนอยู่ข้างกู้จิ้งเจ๋อ “ท่านครับ อีกประเดี๋ยวเครื่องบินกำลังจะลงจอด ตอนนี้เราอยู่ในประเทศN แล้วครับ อีกสักครู่จะมีทีมมาคอยต้อนรับเรา ตอนนี้ถึงเวลาที่ท่านต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วครับ”
กู้จิ้งเจ๋อพยักหน้าก่อนที่จะตรงไปยังห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเปลี่ยนเครื่องแต่งกายของตัวเอง เขาบินมาเป็นเวลาห้าชั่วโมงและคร่ำเคร่งทำงานแทบจะตลอดช่วงเวลาที่อยู่บนเครื่องบิน แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องปฏิบัติภารกิจ ชายหนุ่มก็สามารถกลับมากระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวาได้ทันทีราวกับว่าได้หลับพักผ่อนมาตลอดทาง
เครื่องบินลงจอดด้วยความรวดเร็ว กู้จิ้งเจ๋อเปิดโทรศัพท์แล้วก็ได้รับสายเรียกเข้าจากโม่ฮุ่ยหลิงแทบจะในทันที
[จิ้งเจ๋อคะ ฮิๆ ฉันมีเซอไพรส์ให้คุณด้วยละค่ะ]
“อะไรนะ” กู้จิ้งเจ๋อ ถามด้วยน้ำเสียงงุนงง
[ฉันอยู่ที่ประเทศ N ค่ะ]
กู้จิ้งเจ๋ออึ้งไปชั่วขณะ เขาคาดไม่ถึงจริงๆ
ชายหนุ่มถอนใจแล้วพูดกับเธอเพียงว่า “เอาล่ะ รอฉันอยู่ข้างนอกนั่นนะ ทีมต้อนรับของประเทศ N กำลังรอรับฉันอยู่ที่นี่ ฉันคงจะยุ่งอยู่อีกสักพัก แล้วเดี๋ยวฉันจะออกไปตามหาเธอเอง”
[ก็ได้ค่ะ] โม่ฮุ่ยหลิงทำปากยื่น น้ำเสียงสลดลง เห็นได้ชัดว่าหล่อนไม่ค่อยจะชอบใจนัก
กู้จิ้งเจ๋อวางโทรศัพท์ลง เขาเห็นการแจ้งเตือนปรากฏอยู่บนหน้าจอซึ่งบ่งบอกว่ามีสายที่ไม่ได้รับโทรเข้ามาจากเมื่อคืนก่อน
สายนั้นเป็นสายจากหลินเช่อ
เขารีบโทรกลับหาเธอในทันทีด้วยความประหลาดใจ
ฉินเฮ่ายืนอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทางกังวลใจเล็กหน่อย เขามองออกไปด้านนอกพลางบอกกับกู้จิ้งเจ๋อว่า “ท่านครับ…”
กู้จิ้งเจ๋อยกมือเป็นเชิงห้ามไม่ให้อีกฝ่ายพูด
โทรศัพท์ต่อสายติดได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว ทว่าผู้ที่รับสายปลายทางกลับไม่ใช่หลินเช่อ แต่กลับเป็นเสียงของชายที่ไม่คุ้นหู
[นั่นใครน่ะ นี่สถานีตำรวจนะ] เสียงบุคคลที่ปลายสายตอบกลับมาอย่างหัวเสีย
“หลินเช่ออยู่ไหน” ชายหนุ่มถาม คิ้วขมวดเข้าหากัน
[หลินเช่อน่ะเรอะ หล่อนถูกขังอยู่ นายเป็นอะไรกับเธอ]
ถูกขังรึ ดวงตาของกู้จิ้งเจ๋อเป็นประกายวูบขึ้นมาทันควัน
เขาวางสายโทรศัพท์ก่อนจะจัดการออกคำสั่งกับฉินเฮ่าเดี๋ยวนั้นว่า “ยกเลิกตารางงานทั้งหมด ติดต่อกับบริษัทสายการบินแล้วบอกพวกเขาว่าเราจะบินกลับเดี๋ยวนี้”
ฉินเฮ่าถึงกับผงะ แต่เมื่อมองเห็นสีหน้าจริงจังของอีกฝ่ายแล้วเขาก็ทำได้เพียงแค่กลืนถ้อยคำทั้งหลายที่ตั้งใจจะคัดค้านลงคอไป
“หลินเช่อ มีคนมาประกันตัวเธอ” หญิงสาวไม่คาดคิดเลยว่าจะได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่ตำรวจตะโกนบอกมาจากนอกห้องขังเช่นนั้น
เธอไม่คิดเลยว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปในแง่ดีแบบนี้ แต่เมื่อก้าวออกจากห้องขัง เธอก็ได้เห็นบุคคลผู้นั้นยืนอยู่ที่ประตูทางเข้า… ฉินชิงนั่นเอง
“ฉินชิง ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่ได้ละคะ”
เมื่อฉินชิงมองเห็นใบหน้าสีเผือดของอีกฝ่าย หัวใจเขาก็เจ็บแปลบ
สภาพของเธอดูแย่เหลือเกิน ทั้งซูบซีดและอิดโรย ริมฝีปากซีดขาวราวกับหิมะ
“ทางตำรวจโทรไปที่บ้านตระกูลหลินแล้วบอกว่าเธอถูกขังอยู่ที่นี่ ฉันเป็นห่วงเธอก็เลยรีบมาดู” ฉินชิงตรงเข้ามาช่วยประคอง เมื่อเห็นสภาพร่างกายที่ปวกเปียกไร้เรี่ยวแรงของหญิงสาว เขาจึงยกแขนเธอพาดไว้บนไหล่เพื่อช่วยพยุงเธอขณะเดินออกไป
“ขอบคุณนะคะฉินชิง” หลินเช่อคิดว่าทางตำรวจคงไม่เห็นทางอื่นเลยตัดสินใจโทรศัพท์ไปตามนามสกุลของเธอ บ้านตระกูลหลิน และด้วยความที่คนในบ้านไม่ต้องการจะมาข้องแวะใดๆ กับเธอทั้งสิ้น จึงกลายเป็นฉินชิงที่มาที่นี่แทน
ฉินชิงบอกว่า “ไปกันเถอะ เธอดูไม่สบายมากเลยนะ ฉันจะพาเธอกลับบ้านก่อน เธออยู่ที่ไหนล่ะ”
หลินเช่อไม่อาจบอกได้ว่าเธออาศัยอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลกู้ ยิ่งกว่านั้นด้วยสภาพของเธอตอนนี้ เธอก็ไม่อยากกลับไปที่นั่นด้วยเช่นกัน หญิงสาวส่ายหน้าและบอกว่า “แค่พาฉันไปส่งที่โรงแรมก็พอค่ะ”
ฉินชิงบอก “งั้นไปที่บ้านฉันแทนก็แล้วกัน ที่โรงแรมคงวุ่นวายเกินไป ตอนนี้มีนักข่าวรออยู่ข้างนอกเต็มไปหมด”
หลินเช่อหันมามองชายหนุ่ม เธอรู้จักฉินชิงมาตั้งแต่เด็ก เคยไปบ้านเขาก็หลายครั้ง ด้วยเหตุนี้เธอจึงเลิกอิดออดและพยักหน้าแต่โดยดี หลินเช่อตั้งใจที่จะไม่สนใจคำพูดของเขาที่บอกว่ามีนักข่าวรออยู่เต็มไปหมด เธอไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะต่อกรกับคนพวกนั้นในตอนนี้
อย่างไรก็ตามเมื่อทั้งคู่มาถึงลานจอดรถ ทั้งหลินลี่และหันไฉ่อิงก็รีบพุ่งตรงเข้ามาจากทิศตรงกันข้าม
“หลินเช่อ นั่นเธอทำอะไรของเธอน่ะ!” เมื่อหลินลี่ได้เห็นฉากโอบประคองกันอย่างแนบชิดระหว่างหลินเช่อและฉินชิง ใบหน้าของเธอก็แทบจะเปลี่ยนสีด้วยความหึงหวง
หันไฉ่อิงเองก็มองดูหลินเช่อด้วยสายตาชิงชังไม่แพ้กัน แน่ละว่านังเด็กแพศยานี่ยังคงไม่ตัดใจจากฉินชิงจนถึงตอนนี้ แถมนี่หล่อนยังกล้าโทรเรียกเขาออกมา รนหาที่ตายจริงๆ นะนังคนนี้
หลินลี่สาวเท้าเข้ามาและผลักหลินเช่ออย่างแรง
หลินเช่อที่ผ่านความสะบักสะบอมมาตลอดทั้งคืนจนร่างกายอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปหมด เมื่อถูกหลินลี่ผลักเข้า เธอจึงล้มลงไปกองกับพื้นในทันที
ฉินชิงหันไปตวาดใส่หลินลี่เสียงดังด้วยความตกใจ “นี่เธอทำอะไรน่ะ”
เขารีบก้มลงไปฉุดร่างหลินเช่อขึ้นมา “หลินเช่อ เป็นยังไงบ้าง”
หญิงสาวส่ายหน้า เธอเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มเยาะขณะมองไปที่หลินลี่
เมื่อเห็นฉินชิงมีท่าทีห่วงใยหลินเช่ออย่างเห็นได้ชัด หลินลี่จึงชี้หน้าน้องสาวต่างมารดาด้วยความโกรธที่ยิ่งทวีเพิ่มมากขึ้นไปอีก
“หลินเช่อ นี่เธอพยายามจะทำอะไรกันแน่น่ะ ก็ไหนว่าเธอมีเจ้าพ่อหนุ่มเป็นคนอุปถัมภ์อยู่ไม่ใช่เหรอ แล้วนี่เกิดอะไรขึ้นล่ะ โดนเขาเขี่ยทิ้งมาหรือไงถึงได้แล่นรี่กลับมาหาฉินชิงแบบนี้ เธอนี่มันน่ารังเกียจแล้วก็ไร้ยางอายสิ้นดี”
“หลินลี่ พอทีเถอะ นี่เธอพูดอะไรไร้สาระอย่างนี้น่ะ” น้ำเสียงเข้มข้นของฉินชิงดังขึ้นขัดคอหลินลี่ที่กำลังพล่ามไม่หยุด
หลินลี่หันไปมองชายหนุ่มอย่างโกรธจัด “ฉินชิงคะ นี่คุณปกป้องแม่นี่งั้นเหรอ คุณเป็นคู่หมั้นฉันนะคะ แล้วทำไมคุณถึงได้มาออกรับแทนหล่อนแบบนี้ล่ะ! ฉันไม่ได้อยู่ดีๆ ก็เป็นแบบนี้หรอกนะคะ นี่เพราะว่าฉันโกรธคุณจนจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว! เพราะแบบนี้ไงล่ะฉันถึงได้พูดจาไร้สาระไม่หยุดแบบนี้น่ะ!”
ทางด้านหลังของเธอ หันไฉ่อิงรีบเข้ามาฉุดมือลูกสาวออกไป หล่อนกำลังวิตกว่าหลินลี่จะโกรธจัดจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้และจะเผลอทำให้ฉินชิงไม่พอใจเข้า
หล่อนหันไปตวัดสายตาใส่หลินเช่ออย่างมาดร้ายแล้วพูดว่า “หลินเช่อ เธอนั่นแหละเป็นคนผิด เธออยากจะทำอะไรก็ทำไป แต่มายุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดแบบนี้นี่นะ คราวนี้เธอทำเกินไปจริงๆ ทุกคนเขาเข้าใจนะเรื่องที่เธออยากดังจนตัวสั่นน่ะ แต่เธอยอมทำเรื่องโสมมขนาดนี้เพื่อให้ตัวเองโด่งดังได้ลงคอเลยหรือ สิ่งที่เธอทำเป็นเรื่องผิดกฎหมาย เธอไม่ควรจะใฝ่ต่ำถึงขนาดนี้เลยนะ และถึงยังไงเธอก็ยังเป็นคนของตระกูลหลิน เธอทำมาเสียอย่างนี้ ตระกูลหลินของเราก็จะต้องพลอยอับอายขายหน้าไปด้วย เธอนี่มันไร้หัวคิดสิ้นดี”