กู้จิ้งหมิงมองคนทั้งสองด้วยสายตาอันแหลมคมอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มออกมาอย่างรู้ทัน
มู่หว่านฉิงย้อนกลับมาคิดถึงการแต่งงานของกู้จิ้งหมิงอีกครั้ง
“จิ้งหมิง ดูซิว่าตอนนี้น้องชายของลูกมีความสุขแค่ไหน ลูกก็ควรจะรีบจัดการดูตัวเพื่อหาคนมาแต่งงานด้วยสักทีนะ”
“แม่อย่าเป็นห่วงเรื่องผมเลยครับ ยังไงถ้าแม่อยากมีหลานก็ควรไปเตือนจิ้งเจ๋อนั่นแหละว่าให้พยายามให้หนักเข้า แบบนั้นยังจะมีหวังมากกว่า”
หลินเช่อรีบนั่งตัวตรงทันควันด้วยท่าทางกระอักกระอ่วน
มู่หว่านฉิงพึมพำต่อ “จะทำแบบนั้นได้ ยังไงลูกก็อายุมากกว่าสองคนนี้ แต่ยังไม่มีกระทั่งแฟนด้วยซ้ำ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ”
หลินเช่อรู้ดีว่าตั้งแต่ประธานาธิบดีเข้ารับตำแหน่ง ผู้คนต่างก็คาดหวังเกี่ยวกับการแต่งงานของเขา แต่อย่างไรก็ตามกู้จิ้งหมิงเองกลับไม่ได้รู้สึกร้อนใจแต่อย่างใด
เขาอยู่ในตำแหน่งนี้มาเกือบสามปีแล้ว และทุกคนก็เริ่มนึกสงสัยว่าเหตุใดท่านประธานาธิบดีจึงยังไม่แต่งงานเสียที
ตอนแรกก็ไม่มีใครกล้าพูดถึงเรื่องนี้กันออกมาอย่างเปิดเผย แต่เมื่อจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นอีกครั้ง การที่เขาจะได้อยู่ในตำแหน่งต่อไปหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาในเดือนสุดท้ายของปีว่าจะออกมาเป็นเช่นไร
ด้วยเหตุนี้เรื่องการแต่งงานของกู้จิ้งหมิงจึงถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นหัวข้อในการสนทนากันอีกครั้ง
มู่หว่านฉิงหันมาบอกสองสามีภรรยา “ห้องที่พวกเธอจะพักคืนนี้จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วนะ เอาละจ้ะ แม่จะไม่กวนใจทั้งสองคนแล้ว กลับไปพักเถอะ แล้วก็อย่ามัวแต่คุยกับจิ้งหมิงนานเกินไปนักล่ะ จิ้งเจ๋อ หลินเช่อจะเบื่อเสียก่อนถ้าถูกทิ้งไว้ในห้องคนเดียว”
หลินเช่อรีบมองหน้าคนนั่งตรงข้ามทันที
เธอกับเขาต้องนอนค้างที่นี่อีกแล้วเหรอ…
หญิงสาวรู้ดีว่าสองคนพี่น้องไม่ได้พบหน้ากันมานานและอาจจะมีเรื่องให้ต้องพูดคุยกัน เธอจึงอาสาขอตัวออกมาก่อน
ขณะมองหลินเช่อเดินออกจากห้องไป กู้จิ้งหมิงก็ยิ้มแล้วพูดกับน้องชายว่า “น้องสะใภ้ของฉันท่าทางไม่เลวเลยนะ”
กู้จิ้งเจ๋อถอนหายใจ “ถึงยังไงพวกเราก็ถูกบังคับให้ต้องแต่งงานกันอยู่ดี”
กู้จิ้งหมิงยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม เขามองหน้าอีกฝ่ายแล้วบอกว่า “จากที่ฉันเห็นอยู่ตอนนี้ก็ดูเหมือนว่านายจะไม่ได้โดนบังคับไปซะทุกอย่างนี่ ฉันหมายถึงนายโดนบังคับให้ต้องปฏิบัติกับเธออย่างดีด้วยเหรอ”
กู้จิ้งเจ๋อตอบ “ในเมื่อฉันแต่งงานกับเธอแล้ว เธอก็เป็นภรรยาของฉัน เพราะงั้นฉันก็ควรจะปฏิบัติกับเธอให้ดีสักหน่อย เธออายุแค่ยี่สิบสามเอง ชีวิตแต่งงานอย่างนี้มันไม่ค่อยยุติธรรมกับเธอเท่าไหร่ ยิ่งถ้าฉันทำตัวไม่ดีกับเธอด้วยแล้วน่ะ”
กู้จิ้งหมิงเบือนหน้ามองไปทางอื่นด้วยท่าทีครุ่นคิดแล้วไม่ได้พูดอะไร
แต่แล้วจู่ๆ เขาก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้และเอ่ยปากถามว่า “วันนั้นที่นายโทรมาถามฉันเกี่ยวกับใครคนหนึ่ง ฉันก็ลืมชื่อหล่อนไปแล้ว คนที่บังเอิญบุกเข้ามาในพื้นที่หวงห้ามของกลาสพาเลซน่ะ”
ที่พักของประธานาธิบดีถูกเรียกว่าเกลซไทล์พาเลซ พื้นที่คุ้มกันนั้นจึงถูกเรียกชื่อตามสถานที่ พวกเขามีพนักงานรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดที่สุดคอยดูแล
กู้จิ้งเจ๋อย้อนนึกถึงเหตุการณ์วันนั้น “ใช่แล้วล่ะ เธอเป็นผู้จัดการของหลินเช่อน่ะ วันนั้นเธอได้สร้างปัญหาอะไรหรือเปล่า”
กู้จิ้งหมิงชะงักไปคงครู่หนึ่งก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเย็นชากว่าเดิมว่า “ไม่หรอก”
“งั้นก็ดีแล้วล่ะ”
“หล่อนชื่ออะไรนะ”
“อวี๋หมินหมิ่น คิดว่าใช่นะ” กู้จิ้งเจ๋อตอบ
กู้จิ้งหมิงพยักหน้า ท่าทีของเขายังดูคลุมเครือบอกไม่ถูก
ทั้งสองคนสนทนากันถึงประเด็นสำคัญต่างๆ อยู่อีกชั่วครู่ก่อนจะแยกย้ายกันกลับไปยังห้องพักของตัวเอง
กู้จิ้งหมิงมองน้องชายที่เดินออกไปก่อนจะหันไปพูดกับเลขาธิการใหญ่ที่นั่งอยู่ไม่ห่างว่า “ไปตรวจสอบผู้หญิงที่ชื่ออวี๋หมินหมิ่นนั่นดูซิ จัดการให้แน่ใจด้วยว่าเธอไม่ได้ทิ้งร่องรอยของเรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้นเอาไว้”
เลขาใหญ่เข้าใจได้ในทันที เขาพยักหน้าก่อนจะถอยออกไป
หลินเช่อเดินวนเวียนกลับไปกลับมาอยู่ในห้องมาแล้วพักใหญ่ ทันทีที่เธอได้ยินเสียงประตูขยับ เธอก็กระโดดผลุงลงจากเตียงในทันที
เมื่อถึงเห็นกู้จิ้งเจ๋อโผล่เข้ามา เธอก็เปิดฉากเอ็ดตะโรใส่เขาด้วยใบหน้าแดงก่ำทันที “กู้จิ้งเจ๋อ คุณทำเรื่องอะไรในเวลาอย่างนี้น่ะ”
กู้จิ้งเจ๋อทำหน้าตายสนิท “ฉันทำอะไรในเวลาอย่างนี้เหรอ”
เมื่อมาเห็นอีกฝ่ายทำเป็นปั้นหน้าซื่อ เธอก็ยิ่งตะเบ็งเสียงหนักขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยว “ก็ที่คุณมาแอบลูบขาฉันอยู่ใต้โต๊ะนั่นไงล่ะ”
คนโดนเอ็ดนั่งลงแล้วเงยหน้ามอง “แล้วยังไง”
“คุณ คุณ คุณ นี่คุณกำลังละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของฉันอยู่นะ!”
กู้จิ้งเจ๋อยักไหล่แล้วตอบว่า “ฉันทำอย่างงั้นก็เพื่อให้ชีวิตแต่งงานของเราดูสมจริงขึ้นมายังไงล่ะ”
หลินเช่อนิ่งอึ้ง “ถ้าเป็นแบบนั้นละก็ การแสดงของคุณตอนนี้ก็ดูเป็นธรรมชาติมากพอแล้วล่ะ”
กู้จิ้งเจ๋อยิ้ม “เธอเองก็เป็นธรรมชาติเหมือนกันนะ”
“ไม่ค่ะ ไม่ ไม่เลย ทักษะการแสดงของฉันน่ะแย่มาก ไม่เป็นธรรมชาติเท่าคุณหรอก”
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว เขายิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “นี่เธอจะบอกว่าสีหน้าของเธอก่อนหน้านี้นี่เป็นของจริงหรอกหรือ ถ้าอย่างนั้นทำไมเธอถึงหน้าแดงล่ะ หรือว่าเป็นการตอบสนองโดยธรรมชาติ”
เมื่อได้ยินเขาจี้ถูกจุดแบบนี้ เธอก็ยิ่งหน้าแดงหนักเข้าไปอีก “ใครหน้าแดงกัน!”
“อยากให้ฉันเดินไปหยิบกระจกให้แล้วส่องดูไหมล่ะ” กู้จิ้งเจ๋อผุดลุกขึ้นแล้วขยับเข้ามาใกล้
หลินเช่อรีบลนลานถอยหลัง “ไม่จำเป็นหรอก!”
เธอต้องยอมให้เขาจริงๆ พอเป็นสถานการณ์เช่นนี้ กู้จิ้งเจ๋อสวมบทบาทแบบนี้ได้ดีเหลือเกิน จนถึงตอนนี้การแสดงของเขาก็ยังคงยอดเยี่ยมเปี่ยมสีสันชนิดที่แยกไม่ออกเลยทีเดียวว่าอะไรคือของจริง
เธอสบตาชายหนุ่มที่กำลังอมยิ้มอ่อนๆ สายตานั้นลึกล้ำจนดูราวกับว่าจะดูดกลืนวิญญาณของเธอไป หลินเช่อรีบขอตัวเข้าห้องน้ำ เธอจะอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อเข้านอนแต่หัวค่ำและรีบออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด
พูดง่ายๆ ก็คือในอนาคตเธอจะพยายามมาเยี่ยมเยือนบ้านตระกูลกู้ให้น้อยครั้งที่สุดเท่าที่จะทำได้
จนถึงตอนนี้เธอยังรู้สึกได้ถึงสัมผัสของเขาที่อ้อยอิ่งอยู่ตรงต้นขา กระแสไฟอ่อนๆ ที่แล่นปราดไปทั่ว ทำเอาหญิงสาวต้องสลัดหัวโดยแรงเพื่อจะได้ลืมความรู้สึกอันแสนเย้ายวนนั้นทิ้งไปเสีย
เช้าวันต่อมา
หลินเช่อติดตามบริษัทเพื่อไปเข้าร่วมการถ่ายทำรายการ ‘เนชันแนล วินเนอร์’ รายการวาไรตี้ชื่อดังที่มียอดเรตติงผู้ชมสูงลิบลิ่ว
ทางบริษัทถือว่านี่เป็นงานสำคัญอย่างมาก เพราะฉะนั้นอวี๋หมินหมิ่นจึงจัดแจงยืมเสื้อผ้าราคาแพงมาเพื่อให้หลินเช่อได้สวมออกรายการ
เมื่อมองดูชุดและรองเท้าส้นสูงที่อยู่ในถุง อวี๋หมินหมิ่นก็ยิ้มแล้วบอกว่า “ชุดพวกนี้ก็ไม่เลวหรอกนะ แต่ทางบ้านตระกูลกู้คงมีเสื้อผ้าแพงยิ่งกว่านี้กองอยู่เป็นพะเนินเทินทึกเลยละมัง”
หลินเช่อถามด้วยความสงสัย “จริงเหรอคะ ฉันดูยี่ห้อของเสื้อผ้าพวกนี้ไม่ค่อยออกหรอกค่ะ ก็เลยไม่รู้ว่าตัวไหนแพง คราวหน้าพี่อวี๋มาช่วยฉันเลือกหน่อยได้ไหมคะ”
“ฉันน่ะเหรอ ลืมไปได้เลย คฤหาสน์ตระกูลกู้เขายอมให้คนอื่นเข้าไปได้ด้วยเหรอ”
“หือ เราจะเข้าไปตอนไหนที่เราอยากเข้าไม่ได้เหรอคะ” หลินเช่อถามด้วยความแปลกใจเล็กน้อย
อวี๋หมินหมิ่นอดที่จะอธิบายให้ฟังไม่ได้ “แน่นอนว่าเธอน่ะอยากเข้าตอนไหนก็ได้ แต่ไม่ใช่พวกเราคนอื่น เอาล่ะ ไปเตรียมตัวแล้วแต่งหน้าแต่งตาเถอะ”
หลังจากนั้นไม่นาน หลินเช่อก็มาถึงสถานีโทรทัศน์
ทางรายการมีห้องแต่งตัวโดยเฉพาะเอาไว้ให้ หลินเช่อรู้สึกตื่นเต้นตลอดทางที่เดินเข้าไป เอาแต่คอยเหลียวซ้ายแลขวาไม่หยุด
หลังจากนั้นไม่นาน หลินลี่ก็มาถึงด้วยเหมือนกัน
เมื่อเห็นว่าหลินเช่อได้มาร่วมถ่ายทำรายการด้วยจริงๆ หลินลี่ก็ได้แต่ทำหน้าเยาะๆ แล้วเดินผ่านไปอย่างไม่แยแส
“ตอนนี้รายการคงจะลดระดับลงมากเลยสินะ ถึงให้หมูหมากาไก่ที่ไหนมาออกก็ได้แบบนี้” เสียงของหลินลี่ดังมาจากทางด้านหลัง
อวี๋หมินหมิ่นเหลือบมองหลินเช่อแล้วพูดกับเธอเหมือนกับกำลังชวนคุยเรื่องทั่วๆ ไปว่า “ฉันได้ยินมาว่าทางเซนมิร่าว่าเธอถูกยกเลิกตารางงานทั้งหมด ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าจริงหรือเปล่า แต่มีคนเห็นเธอไปหาลำไพ่ตามเมืองเล็กๆ ด้วย เธอทำกระทั่งยอมรับงานค่าตัวแค่หมื่นเดียวด้วยซ้ำ ดูเหมือนว่าเธอจะร้อนเงินจริงๆ”
ที่ด้านหลังของพวกเธอ สีหน้าของหลินลี่เปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยิน
เมื่อนึกถึงหน้ากู้จิ้งเจ๋อ ในใจเธอก็นึกกลัวขึ้นมาฉับพลัน แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังเชิดหน้าอย่างถือตัว เธอเดินนวยนาดออกไปบนรองเท้าส้นสูงลิบพลางพูดว่า “อากาศแถวนี้แย่จริงๆ ไปกันเถอะ เราต้องไปหาห้องแต่งตัวส่วนตัวเพื่อแต่งหน้าให้ฉัน”
แล้วหลินลี่กับบรรดาผู้ช่วยของเธอก็ชักแถวเดินตึงตังออกไป
หลินเช่อถาม “ไม่ว่าจะไปที่ไหน เธอก็ต้องทำให้มันเอะอะเสียงดังได้ทุกครั้งไปเลยสินะ”
อวี๋หมินหมิ่นยิ้ม เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น และเมื่อหันไปมองหมายเลขเรียกเข้า หัวใจเธอก็ต้องกระตุก เธอหันมาบอกหลินเช่อว่าเธอจะขอออกไปรับโทรศัพท์และเดินออกไป
จนเมื่อออกมาถึงด้านนอกแล้วนั่นแหละ เธอจึงกดรับสาย
“สวัสดีค่ะ คุณสบายดีหรือเปล่าคะ”
[คุณอวี๋ มีบางอย่างที่เราต้องคุยกันเป็นการส่วนตัวสักหน่อย ถ้าคุณสะดวก ผมจะเป็นฝ่ายไปหาคุณเอง]
อวี๋หมินหมิ่นสูดลมหายใจเข้าลึก “ฉันบอกคุณแล้วไงคะ ว่าวันนั้นมันเป็นแค่อุบัติเหตุ ฉันไม่ได้วางแผนร้ายแอบแฝงอะไรสักหน่อย”
[เราจะช่วยคุยเรื่องนี้กันแบบเจอหน้าได้ไหม]
“ก็ได้ค่ะ…ถ้าคุณกลัวว่าฉันจะแอบอัดเสียงคุณนักละก็ งั้นก็เข้ามาเจอแล้วคุยกัน”
ที่ด้านใน
หลินลี่แอบเหลือบดูหลินเช่อ หล่อนอิจฉาน้องสาวต่างมารดาอย่างหนักเสียจนแทบจะหน้าเขียว
หล่อนดึงเอาตัวผู้ช่วยเข้ามาใกล้แล้วบอกว่า “ไปตามหาเสื้อผ้าที่นังหลินเช่อจะใส่คืนนี้มาสิ เห็นกระเป๋าของมันหรือเปล่า เสื้อผ้าที่มันจะสวมคืนนี้ต้องอยู่ในนั้นแน่ ถ้าเจอแล้วก็ให้…”