กู้จิ้งเจ๋อส่ายหน้า ดูเหมือนว่าเธอจะทำอะไรไม่เป็นเลยสักนิด
หลินเช่อบอก “ทำไมคะ ฉันเข้าร่วมงานนี้มันไม่เหมาะเลยใช่ไหมคะ”
กู้จิ้งเจ๋อมองเธอ “ถ้าเธออยากเข้าร่วมก็เข้าร่วมเถอะ”
“แต่ถ้าแพ้…”
“แพ้ก็แพ้ ทำไม เธอพนันอะไรไว้งั้นเหรอ สำคัญไหม”
“เปล่าหรอกค่ะ แค่บอกว่า…ถ้าแพ้ล่ะก็ จะยอมรับก็ได้ว่าฉันไม่เหมาะสมกับคุณ” หลินเช่อยู่ปากบอก
กู้จิ้งเจ๋อถามเธอ “เธอคิดว่าเรื่องนี้มันสำคัญไหม”
“ก็ไม่หรอกค่ะ… ความจริงก็ไม่เหมาะจริงๆนี่นา ในเมื่อมันเป็นความจริง ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย”
กู้จิ้งเจ๋อดีดหน้าผากเธอ “อืม ความจริงเธอก็เทียบฉันไม่ได้สักอย่างจริงๆ นั่นแหละนะ”
หลินเช่อชะงัก หันไปมองเขา
กู้จิ้งเจ๋อกล่าวต่อ “สติปัญญาก็เทียบไม่ได้ หน้าตาก็เทียบไม่ได้ เงินทองก็เทียบไม่ได้…”
กู้จิ้งเจ๋อเห็นหลินเช่อหรี่ตาแคบลงขณะที่มองเขา จึงหัวเราะแล้วบอก “แต่ลองมาคิดดู คนที่เทียบฉันได้ก็ไม่มีแม้แต่คนเดียวเลยนี่นะ เธอน่ะ ก็พอถูไถไปได้ อย่างน้อยการที่เธอรู้จักข้อบกพร่องของตนเองก็ถือว่าเหมาะสมกับฉันแล้ว”
“ไสหัวไปเลยนะ”
กู้จิ้งเจ๋อบอก “ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ไม่มีอะไรน่ากังวลแล้ว”
จะเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ก็ไม่ใช่เรื่องที่คนอื่นต้องมาตัดสินใจแทน
กู้จิ้งเจ๋อคิดว่าถึงจะแพ้… เขาก็ไม่มีวันยอมให้มีใครมาบอกว่าเธอไม่เหมาะสมกับเขา
ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่เคยคิดว่าเธอไม่เหมาะสมเลยสักครั้ง
ถ้าแม้แต่เธอก็ยังไม่เหมาะ แล้วบนโลกนี้ เกรงว่าคนที่เหมาะสมกับเขาคงจะไม่มีอีกแล้ว
กู้จิ้งหมิงหันไปมองอวี๋หมินหมิ่น “เมื่อสักครู่พวกคุณอยู่ด้วยกันตลอดเหรอ”
อวี๋หมินหมิ่นตอบ “ใช่ค่ะ…”
“งั้นทะเลาะกันเมื่อสักครู่ก็มีคุณด้วยสินะ”
“…”
กู้จิ้งหมิงจ้องมองเธอนิ่ง
“คุณอย่าทำหน้าแบบนั้นสิ เพราะเธอมาหาเรื่องพวกเราก่อนนะ ถ้าไม่เอาคืนจะให้ทำยังไง… ถ้าฉันโดนตบ คุณก็จะขายหน้าน่ะสิ จริงไหมคะ”
กู้จิ้งหมิงทำเพียงมองเธอนิ่งขึ้น ส่ายหน้าเบาๆ
กู้จิ้งหมิงเอ่ย “ไปเถอะ คุณไปหาอะไรทานสักหน่อย”
ตอนนั้นเอง ลู่ชูเซี่ยเองก็เดินเข้ามา
มองเห็นกู้จิ้งเจ๋อกับหลินเช่ออยู่ห่างออกไป ยังมีกู้จิ้งหมิงและอวี๋หมินหมิ่นที่นั่งอยู่ด้วย ที่นั่นเป็นสวนเล็กๆ ด้านข้างมีคนอีกสี่คนยืนเฝ้าอยู่ ภาพนี้ค่อนข้างจะดูแปลกใหม่สำหรับใครหลายๆ คน อย่างไรซะสองพี่น้องนี้ก็ไม่ค่อยปรากฏตัวต่อสายตาของผู้คนแบบนี้นัก
ลู่ชูเซี่ยได้ยินมีคนเอ่ยขึ้น “ขาดแค่กู้จิ้งอวี่ ไม่งั้นก็ครบแล้ว”
ความจริงมันเป็นภาพที่น่ามองไม่น้อย คนนอกไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้บริเวณนั้นเลย ดูเป็นส่วนตัวอย่างมีระดับ
ลู่ชูเซี่ยเอ่ยขึ้น “เหอะ ก็แค่การแต่งงานการเมือง หลินเช่อนับว่าเป็นอะไรกันเชียว อวี๋หมินหมิ่นนั่นก็เหมือนกัน ไม่รู้โผล่มาจากไหน”
ลู่ชูเซี่ยยังบอกอีก “รอถึงงานเลี้ยงดับเบิ้ลยูดับเบิ้ลยูซะก่อน ฉันจะทำให้เธอได้เห็นว่าสตรีหมายเลขหนึ่งตัวจริงต้องเป็นยังไง ถึงตอนนั้นจะรอดูว่าเธอยังจะมีหน้าโผล่มาอยู่ที่นี่อีกไหม เหอะ”
“อะไรนะ หลินเช่อจะไปร่วมงานเลี้ยงดับเบิ้ลยูดับเบิ้ลยูเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ เมื่อสักครู่ได้ยินว่าพวกเขาพนันกัน ลู่ชูเซี่ยพนันกับหลินเช่อ ถ้าใครแพ้ต้องออกจากวงสังคมและอยู่ให้ห่างจากตระกูลกู้”
“จะเป็นแบบนั้นได้ยังไง นั่นมันคุณนายกู้เลยนะ จะอยู่ให้ห่างตระกูลกู้ได้ยังไง หรือว่าลู่ชูเซี่ยยังคิดทะเยอทะยาน จะแย่งกู้จิ้งเจ๋อให้ได้สินะ”
“อยู่ให้ห่างจากตระกูลกู้ก็คือหย่าไง”
“สวรรค์ ทำไมหลินเช่อต้องรับคำท้านี้ด้วย ไม่เป็นผลดีกับเธอเลยสักนิด”
“เพราะเธออาจจะรู้ก็ได้ว่าหากลู่ชูเซี่ยยังคงดึงดันต่อไป กู้จิ้งเจ๋ออาจจะถูกโยนเข้าไปในอ้อมแขนของลู่ชูเซี่ยก็ได้”
——
เมื่อหลินเช่อจากไปแล้ว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการท้าทายของเธอและลู่ชูเซี่ยนั้นได้เปลี่ยนไปในทิศทางใด
ที่บนรถ อวี๋หมินหมิ่นยังคงคุยโทรศัพท์กับหลินเช่อ
“ฉันช่างโชคดีจริงๆ สังคมทั้งสองแบบนี่ วงการบันเทิงเป็นแบบนี้ สังคมชนชั้นสูงของพวกเขาก็ไม่ได้ดีต่างกันเท่าไหร่หรอก เล่าข่าวเพี้ยนไปขนาดนั้น ตอนนี้กลายเป็นว่าถ้าเธอแพ้เธอต้องอยู่ห่างจากตระกูลกู้เลยนะ”
“ไม่ใช่มั้ง… เห็นฉันบ้าไปแล้วหรือยังไง”
“ก็ใช่น่ะสิ แต่พวกเขาพูดกันแบบนี้ บอกว่าเธอพนันกับลู่ชูเซี่ยว่าถ้าใครชนะแล้วจะได้อยู่เคียงข้างกู้จิ้งเจ๋อ แพ้แล้วต้องไสหัวไป”
“ทำไมพวกเขาไม่คิดสักหน่อย… ว่าฉันเนี่ยนะจะเดิมพันด้วยกู้จิ้งเจ๋อ กู้จิ้งเจ๋อเป็นของเดิมพันเหรอ จะเป็นไปได้ยังไง จะบ้าไปแล้วหรือไงถึงจะมาใช้กู้จิ้งเจ๋อเป็นของเดิมพัน ตัวกู้จิ้งเจ๋อเองก็คงไม่ยอมหรอกรู้ไหม คิดว่าฉันอยากตายหรือยังไงถึงได้กล้าบอกว่าฉันเอากู้จิ้งเจ๋อมาเป็นของเดิมพันน่ะ”
อวี๋หมินหมิ่นบอก “ยังไงซะพวกเขาก็พูดกันแบบนี้ไปแล้ว เธอก็คิดหาวิธีเองแล้วกัน เรื่องนี้มันใหญ่เกินไปแล้วล่ะ”
หลินเช่อทำใจไว้แล้ว คนพวกนี้กลับมาทำให้เรื่องกลับตาลปัตรไปแบบนี้
กู้จิ้งหมิงมองอวี๋หมินหมิ่น “คุยโทรศัพท์เสร็จแล้วเหรอ”
“เสร็จแล้วค่ะ เสร็จแล้ว…” อวี๋หมินหมิ่นรีบบอก “จริงสิ ส่งฉันที่ห้องขังก็ได้ค่ะ ฉันจะไปเยี่ยมพ่อหน่อย ดูว่าจะปล่อยเขาออกมาได้หรือเปล่า”
“ครับ ให้ผมไปด้วยไหม”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ คุณไปทำธุระของคุณเถอะ ฉันแค่จะไปดูว่าเขาเป็นยังไงบ้าง”
ใครจะให้ท่านประธานาธิบดีไปห้องขังกับเธอล่ะ
เมื่อมาถึงแล้ว เธอจึงก้าวลงจากรถ
เมื่อเจ้าหน้าที่ประจำห้องขังมองเห็นอวี๋หมินหมิ่น จึงรีบเข้ามาต้อนรับ
ไม่คิดว่าอวี๋หมินหมิ่นจะมาที่นี่
“ท่านผู้หญิงครับ ท่านน่าจะบอกก่อน ตอนนี้ที่นี่ไม่ได้ทำความสะอาดเลย ด้านในสกปรกมากเลยครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ครั้งนี้ฉันมาเยี่ยมเป็นการส่วนตัวค่ะ ไม่เกี่ยวอะไรกับตัวตนของฉันหรอกค่ะ”
“ได้ยังไงกันครับ แค่ท่านมามันก็เป็นเรื่องสำคัญแล้วครับ” ผู้ดูแลมองเห็นบอดี้การ์ดหญิงสี่คนเดินตามภริยาประธานาธิบดีมาด้วย
นี่สินะท่านภริยาประธานาธิบดี
ผู้ดูแลพาอวี๋หมินหมิ่นเข้าไป ครั้งที่แล้วอวี๋หมินหมิ่นยังไม่ได้รับการต้อนรับแบบนี้ จึงชะงักไปเล็กน้อย
เมื่อพ่ออวี๋มองเห็นอวี๋หมินหมิ่น พลันรีบลุกขึ้นมา
“หมินหมิ่น หมินหมิ่น แกมาแล้ว นี่เป็นเรื่องจริงใช่ไหม ฉันเห็นแกในโทรทัศน์ แกแต่งงานกับท่านประธานาธิบดีแล้ว งั้น งั้นตอนนี้แกก็เป็นภริยาประธานาธิบดีแล้วน่ะสิ”
อวี๋หมินหมิ่นบอก “ตลอดหลายวันที่อยู่ที่นี่ ใจเย็นลงบ้างหรือยังคะ”
ไหนเลยพ่ออวี๋จะใจเย็นลงได้ เขาได้แต่ตะโกนเรียกคนนั้นคนนี้ “รีบมาดูเร็ว นี่ลูกสาวผม ผมบอกแล้วว่าเป็นลูกสาวผม ลูกสาวของผม ตอนนี้เป็นภริยาประธานาธิบดีไปแล้ว พวกคุณไม่เชื่อ ผมบอกแล้วว่าเป็นลูกสาวผมจริงๆ”
คนที่อยู่ในห้องขังห้องอื่นๆ ต่างก็หันมองมาทางนี้
อวี๋หมินหมิ่นไม่สามารถเอ่ยอะไรได้อีก พวกเขาก็เสียงดังขึ้นมา “จริงๆ ด้วย”
“ครอบครัวคุณได้ดิบได้ดีแล้วนี่”
“ทำไมคุณถึงได้มีลูกสาวดีขนาดนี้ คุณเลี้ยงยังไง
พ่ออวี๋บอก “แน่นอน ว่าผมเป็นคนเลี้ยง ลูกสาวผมเก่งที่สุด”
พ่ออวี๋มองเธอ “ลูกสาว รีบปล่อยพ่อออกไป ฉันจะไม่ก่อเรื่อง ฉันสำนึกผิดแล้ว ฉันไม่รู้ว่าแกจะเป็นภริยาประธานาธิบดี ถ้าแกบอกฉันให้เร็วกว่านี้ ฉันจะไม่ก่อความวุ่นวายให้แกเลย”
อวี๋หมินหมิ่นบอก “หนูเป็นอะไร ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพ่อสักนิด พ่อ ดูเหมือนพ่อจะยังไม่พร้อมออกจากห้องขังนะคะ…”
Related