บทที่ 1012 ปัญหาทางจิต
ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องที่ก่อนหน้าเมิ่งเส่โยวทำหรือเปล่า เลยทำให้ความทรงจำที่หานมู่จื่อมีต่อเธอนั้นได้ฝังแน่นจนถอนไม่ขึ้น หานมู่จื่อรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องไม่ง่ายแบบนี้แน่
“คุณนายน้อยครับ ที่จริงพวกเรายังสืบทราบได้อีกเรื่องครับ”
“เรื่องอะไร?”
เซียวซู่เงียบไปครู่นึง รู้สึกว่าเรื่องนี้จะให้พูดออกจากปากของเขาแล้วมันดูยากเย็น เลยได้ยื่นเอกสารที่เตรียมไว้ตั้งแต่แรกให้กับหานมู่จื่อไป
“คุณนายน้อยครับ คุณลองดูนี่ก่อนครับ”
หานมู่จื่อรับเอกสารมา ก้มหน้าตั้งใจดู
ที่แท้หลังจากเธอไปต่างประเทศแล้ว พ่อของเมิ่งเส่โยวก็ได้ติดหนี้นอกระบบก้อนใหญ่อีกครั้ง คนทวนหนี้ได้หามาถึงร้านอาหารที่เมิ่งเส่โยวทำงานอยู่ ทั้งข่มขู่ทั้งหลอกล้อเธอ
อยากจะให้เธอมาใช้หนี้แทนพ่อ
เรื่องแบบนี้เกิดไม่เว้นวัน เพราะฉะนั้น เมิ่งเส่โยวเลยไปหว่านเสน่ห์ให้ผู้จัดการแก่ในร้านอาหารตลอด และยังไปนอนกับผู้ชายแก่หลายคนแล้วไปเอาใจ หวังจะให้พวกเขาช่วยตัวเองใช้หนี้ให้หมด
เริ่มแรกก็แค่เป็นหมื่น จากนั้นก็ขึ้นมาเป็นแสน สองแสน
หลังจากนั้น ครั้งต่อมาที่หามาถึงบ้านกลับกลายเป็นล้านกว่า เมิ่งเส่โยวก็แค่คู่นอนของคนอื่น อีกทั้งโอกาสนี้ที่เธอได้มานั้น เธอต้องออดอ้อนเอาใจแทบตายถึงได้มา ยอดเงินน้อยคนอื่นอาจไม่ใส่ใจ เพื่อผู้หญิงแล้วก็ให้ๆไปไม่ได้คิดอะไร
รอจนเงินยิ่งอยู่ยิ่งมากขึ้น และขอบ่อยครั้งขึ้น คนพวกนั้นก็เริ่มไม่ไหวกับเมิ่งเส่โยว เธอเป็นผู้หญิงที่ไม่มีที่สิ้นสุด
เลยไม่ยอมช่วยเธออีก
พอไม่มีเงินคืน เมิ่งเส่โยวก็ได้แต่ขอให้คนพวกนั้นยืดเวลาให้เธอ เพราะรู้ว่าเธอมีเสี่ยเลี้ยง คนทวงหนี้เลยยอมให้เวลาเธอ
ยังไงซะ สิ่งที่พวกเขาต้องการคือเงิน ไม่ใช่ชีวิตของเธอ
แต่ต่อมา พอเวลาที่นัดไว้ไม่ได้เงิน ถูกคนพวกนั้นทวนจนถี่มาก เมิ่งเส่โยวเลยได้ปะทะกับคนพวกนั้นขึ้น จากนั้น……เมิ่งเส่โยวได้ยั่วโมโหพวกเขาในตอนนั้น เลยถูกคนพวกนั้นจับถ่ายภาพเปลือย ขู่ว่าถ้าเธอยังไม่คืนเงินอีก จะปล่อยภาพพวกนั้นขึ้นเว็บ ให้เธอชื่อเสียงป่นปี้
เมิ่งเส่โยวหาคนมาช่วยเธอไม่ได้เลย เธอเลยคิดจะไปหาหานชิง
แต่เธอไม่ได้พบหน้าหานชิงเลย ถูกกันเอาไว้มาตลอด และต่อมาอีก หนี้ใช้ไม่หมด พ่อของเธอก็หนีหาไปไม่เจอร่องรอย
เมิ่งเส่โยวก็ตัดสินใจจะหนี สุดท้ายก็ถูกจับที่สถานีรถไฟ การหนีของเธอยั่วโมโหคนพวกนั้น สุดท้ายเลยเอาภาพถ่ายของเธอไปปล่อยในเว็บ
แม้กระทั่งรุมโทรมเธอ
หลังถูกผู้ชายพวกนึงรุมโทรม เมิ่งเส่โยวถูกส่งไปที่โรงพยาบาลถึงรักษาชีวิตของเธอไว้ได้
แต่หลังจากเรื่องนี้แล้ว เมิ่งเส่โยวก็เกิดปัญหาทางจิตขึ้น
“เรื่องมันก็เป็นแบบนี้ล่ะครับ”
หานมู่จื่อกำเอกสารไว้จนแน่น ปลายนิ้วสั่นคลอนเล็กน้อย แม้กระทั่งริมฝีปากก็เริ่มซีด
เซียวซู่เห็นสีหน้าเธอเป็นแบบนี้แล้ว รู้สึกเอะใจแล้วรีบพูด:“คุณนายน้อยครับ คุณก็รู้เรื่องตั้งแต่ต้นจนจบแล้ว
ปล่อยให้ผมจัดการเถอะครับ คุณวางใจ ผมจะจัดการอย่างดีเลยครับ”
พูดจบ เซียวซู่ลังเลอยู่ครู่นึง แล้วหยิบเอกสารที่อยู่ในมือของหานมู่จื่อไป
หานมู่จื่อ:“……”
เธอมองปลายนิ้วตัวเองที่ซีดเซียว แล้วเงยหน้าขึ้นมามองเซียวซู่ทันที:“นายคิดจะจัดการยังไง?”
เซียวซู่:“เออ?”
คุณนายน้อยถามเขาแบบนี้ หรือว่าคุณนายน้อยยังมีใจสงสารเมิ่งเส่โยวอยู่งั้นหรอ?
ระหว่างที่เซียวซู่กำลังลังเลอยู่ว่าจะถามหานมู่จื่อเรื่องนี้เขาควรจะจัดการยังไงนั้น จู่ๆแล้วหานมู่จื่อก็หลุบตาลงพูดด้วยเสียงเบา:“ช่างเหอะ นายไปจัดการให้ดี เรื่องนี้ไม่ต้องให้เขารู้”
เพราะตอนนี้เย่โม่เซินก็จำเรื่องพวกนั้นไม่ได้แล้ว
เซียวซู่เก็บเอกสารแล้วพยักหน้า
“ครับ คุณนายน้อย”
รอหลังจากเซียวซู่จากไป หานมู่จื่อก็นั่งเหม่อลอยกับภาพตรงหน้า
คงเพราะเธอยังมีเยื่อใยกับเรื่องอดีตละมั้ง พอหลังจากเห็นเมิ่งเส่โยวผ่านเรื่องร้ายแบบนี้แล้ว ไม่นึกเลยว่าเธอ……จะน่าขำที่เกิดรู้สึกสงสารเธอขึ้นมา
กระทั่งคิดอยากจะยื่นมือไปช่วยเหลือเธอ
แต่ว่าไม่นาน ก็นึกถึงเรื่องร้ายๆทั้งหมดที่เธออยากจะทำร้ายตัวเองนั้น
แล้วเธอก็ตัดความคิดที่จะช่วยเหลือเธอออกไปจากหัวได้ทันที
หานมู่จื่อสูดหายใจลึกๆทีนึง มองไปนอกหน้าต่างแล้วบอกกับตัวเองในใจ
เธอไม่ใช่แม่พระ เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะให้อภัยเธอ หลังจะที่เธอทำเรื่องพวกนั้นกับตัวเอง และถึงขั้นคิดจะไปช่วยเธออีก
และที่เมิ่งเส่โยวต้องประสบเรื่องร้ายพวกนั้น ทั้งหมดนี้ก็เพราะเธอโดนหาที่เอง
ถ้าทีแรก เธอไม่ไปช่วยพ่อชดใช้หนี้ที่เป็นหมื่นเป็นแสนพวกนั้น ก็คงไม่เกิดหนี้ที่ยิ่งอยู่ยิ่งมากขึ้นแบบนี้
พวกทวนหนี้โหด ยิ่งได้มากก็ยิ่งไม่รู้จัดพอ
ที่เธอต้องกลายเป็นแบบนี้ ก็เพราะเธอทำตัวเองแท้ๆ
และที่ผ่านมา เมิ่งเส่โยวยังสวมรอยเป็นเธอ ถึงขั้นยังวางแผนเพื่อแยกเธอกับเย่โม่เซินออกจากกัน แค่เรื่องพวกนี้
ก็สามารถทำให้หานมู่จื่อจำฝังใจตลอดชีวิตแล้ว
เพราะฉะนั้น เธอไม่ให้อภัยเธอ แล้วแกล้งทำเหมือนไม่รู้เรื่องนี้
เหมือนไม่เกี่ยวข้องใดๆอะไรกับเธอ
แต่ว่าถึงหานมู่จื่อจะคิดแบบนี้ แต่พอเวลาเลิกงาน เธอก็เหมือนทั้งร่างกายไม่มีเรี่ยวแรงเลย เย่โม่เซินมารับเธอกลับบ้านพร้อมกัน เดิมทีหานมู่จื่อก็ไม่อยากให้เขามารับ แต่เย่โม่เซินกลัวว่าถ้าเขาไม่มารับเธอด้วยตัวเอง เธอก็คงคิดจะทำงานต่อที่บริษัทอีกแล้ว เพราะฉะนั้นเขาจะมารับเธอตรงเวลาทุกครั้ง
ก็เหมือนตอนนี้ หานมู่จื่อยังคงนั่งเหม่อลอยอยู่ในห้องทำงานของเธอ ข้างนอกก็ได้ยินเสียงของเลิงเยาเยาดังมา
“คุณชายเย่ มารับมู่จื่อกลับบ้านหรอคะ?”
“ครับ”
น้ำเสียงเย็นชาพร้อมด้วยเสียงฝีเท้าที่หนักแน่น
จากนั้น ประตูห้องทำงานก็ถูกเปิดออก พอหานมู่จื่อเห็นเย่โม่เซินที่ปรากฏต่อหน้านั้น ก็ได้เตรียมพร้อมรอยยิ้มของเธอแล้วลุกและหยิบกระเป๋าขึ้นมา
“ไปกันเถอะค่ะ”
ตอนที่เธอเดินผ่านเย่โม่เซินนั้น เย่โม่เซินก็ได้ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย นาทีต่อมาก็ยื่นมือไปจับแขนของเธอไว้
หานมู่จื่อหันหน้ามา:“มีอะไรหรอคะ?”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”เย่โม่เซินถาม
ได้ยินแบบนี้แล้ว ใจของหานมู่จื่อก็ได้สะดุดทีนึง มองหน้าเย่โม่เซินอย่างประหลาดใจทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้พูดอะไรเลย เขาดูออกได้ยังไงกัน?
หานมู่จื่อไม่ค่อยอยากบอกเรื่องนี้ให้เขารู้ ก็เลยใส่หัว:“ไม่มีอะไรหนิคะ ทำไมจู่ๆถึงถามแบบนี้?”
เธอได้ย้ำกับเซียวซู่แล้วว่าอย่าบอกเรื่องนี้กับเย่โม่เซิน ตามนิสัยของเซียวซู่แล้ว เขาคงต้องปิดปากเงียบไว้ตลอด
เพราะฉะนั้น คงเป็นเพราะเย่โม่เซินสังเกตเห็นอารมณ์ของเธอผิดปกติแน่เลย?
ทั้งๆที่เธอก็ยิ้มแล้วนี่น่ะ ก็เพราะไม่อย่าให้เย่โม่เซินดูออก นึกไม่ถึงว่า……
หลังจากเย่โม่เซินได้ยินที่เธอพูดนั้น ขมวดคิ้วขึ้นมาทันทีจริงๆ ริมฝีปากบางๆขยับทีนึง เหมือนอยากจะพูดอะไร
“รู้สึกหิวแล้ว วันนี้ออกไปทานข้าวข้างนอกหรือว่ากลับไปทานดีคะ?”
หานมู่จื่อกลับจู่ๆตัดแทรกคำพูดของเขาขึ้นมาประโยคนึง
แววตาของเย่โม่เซินคมเข้มขึ้นมา คงนึกขึ้นอะไรได้ พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย:“คุณอยากไปทานที่ไหนล่ะ?”
หานมู่จื่อคิดอย่างจริงจัง:“เอาอย่างนี้ กลับไปทานที่บ้านดีมั้ย ฉันเข้าครัวเอง”
เย่โม่เซินเดินเข้ามา แล้วใช้มือกอดไหล่ของเธอไว้:“ไม่ได้ ที่บ้านมีแม่ครัวอยู่แล้ว ปล่อยให้แม่ครัวเขาทำเหอะ คุณกำลังท้องอยู่นะ”
“ก็แค่ท้องเอง ไม่ใช่ว่าขยับไม่ได้สักหน่อย อย่าทำเหมือนฉันเป็นคนพิการซิคะ”
ตอนที่พูดคำนี้ หานมู่จื่อพูดด้วยน้ำเสียงขี้อ้อนและโกรธ เหมือนกับไม่พอใจจริงๆ เย่โม่เซินก้มหน้ามองอารมณ์ของเธอ เขาสังเกตเห็นตั้งแต่เมื่อกี๊แล้ว แต่เห็นท่าทางเธอคงไม่อยากจะพูด