บทที่103 จดจำช่วงเวลานี้ไว้
เสิ่นเฉียวนอนนิ่งอยู่ในอ้อมอกของเขา ฤทธิ์ยาได้แผดเผาสติเฮือกสุดท้ายของเธอจนหมดสิ้น แม้แต่เรี่ยวแรงก็ถูกแผดเผาจนหมดสิ้นไปด้วย
ท่วงท่าของเย่โม่เซินที่กำลังค่อยๆปลดกระดุมช่างเหมือนกับเครื่องจักรอันเก่าแก่อย่างไรอย่างนั้น
เสิ่นเฉียวลืมตาขึ้นมาเล็กน้อยแล้วจ้องมองเขาอย่างนิ่งสงบ
ลมหายใจของทั้งสองร้อนผ่าว
เมื่อปลดกระดุมเม็ดสุดท้ายเรียบร้อย อยู่ๆเย่โม่เซินอุ้มเสิ่นเฉียวแล้วลุกขึ้นมายืนจากรถเข็นที่นั่งอยู่
เสิ่นเฉียวที่กำลังเบลอไม่ได้เอะใจว่าทำไมคนพิการคนหนึ่งถึงลุกขึ้นมายืนจากรถเข็นได้
เธอโดนอุ้มขึ้นมาแล้วค่อยๆเดินเข้าไปหาเตียงใหญ่ในห้องนอน เธอโดนวางอยู่บนเตียงที่อ่อนนุ่ม
บริเวณท้ายทอยของเธอทับอยู่บนหมอนที่อ่อนนุ่ม ร่างกายของเธอถูกกดทับโดยร่างที่หนักหน่วงและร้อนผ่าว ไอร้อนของผู้ชายห่อหุ้มร่างกายของเธอเอาไว้ มือใหญ่ๆที่ร้อนราวกับไฟจับไปที่เอวของเธอ
“ฉันจะถามคุณอีกทีเป็นครั้งสุดท้าย คุณคิดดีแล้วใช่มั้ย?”
เสิ่นเฉียว:“……”
“ไม่เสียใจทีหลังนะ?”
ราวกับว่าเขากำลังพูดคนเดียว แต่เย่โม่เซินดูเหมือนกำลังจะเอาชนะเธอ
เขาหรี่ตาลงแล้วเข้ามาใกล้เธอ ริมฝีปากเรียวบางของเขาแนบค้างไว้กับริมฝีปากบนของเธอ เขาถามด้วยน้ำเสียงอันทุ้มต่ำ “รู้มั้ยว่าฉันคือใคร? ถ้าไม่พูดออกมา ฉันจะไม่ช่วยคุณนะ”
เสิ่นเฉียวยังคงไม่ได้โต้ตอบอะไร?
“หืม?” เย่โม่เซินดึงตัวเธอขึ้นมา มือใหญ่ๆของเขาค่อยๆปลดกระดุมที่บริเวณแผ่นหลังของเธอออกอย่างรวดเร็ว “ฉันคือใคร?”
“เอ่อ…. ” เสิ่นเฉียวพยายามลืมตามองดูคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างยากลำบาก
เธอเห็นภาพเงาคนที่ซ้อนกัน จากนั้นค่อยๆซ้อนทับ เพียงแค่เหลือบมอง….
เย่โม่เซินได้ยินเสียงเล็กๆที่แผ่วเบาดังออกมาหนึ่งคำ “เย่……เย่โม่เซิน…….”
เขารู้สึกพึงพอใจแล้ว ริมฝีปากบางๆเบ้ขึ้นเล็กน้อย เขาค่อยๆดูดริมฝีปากบนของเธอเบาๆ “เป็นเด็กดีนะ”
ในที่สุดเขาไม่กวนเธอและไม่โอบรัดเธอเอาไว้แล้ว
เขาราวกับเป็นนักปีนเขาคนหนึ่ง เขาหลบสิ่งกีดขวางต่างๆได้อย่างคล่องแคล่วแล้วมุ่งตรงไปที่ยอดเขา เขาปีนขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
ตอนที่เขาขึ้นไปถึงบนยอดเขา เสิ่นเฉียวรับรู้ถึงความเจ็บปวดที่ถูกส่งมาจากจุดจุดหนึ่ง มันทำให้เธอตื่นขึ้นมาประมาณสองวินาที เธอลืมตาขึ้น
ในตอนนั้นเอง ภายในดวงตาของเย่โม่เซินมีแสงเปล่งประกายออกมา ราวกับเป็นดาวพันล้านดวง
เสิ่นเฉียวจ้องมองอย่างเหม่อลอย ดวงตาที่ใหญ่โตและงดงามคู่นั้นจ้องมองเขาอยู่เช่นนั้น
ริมฝีปากอันเรียวบางของเขาร่วงลงมาวางอยู่บนดวงตาของเธอ เสียงของเขาแหบมาก
“จากนี้ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน มีสถานะคืออะไร ให้จดจำช่วงเวลานี้เอาไว้ให้ดี”
*
เสิ่นเฉียวตกอยู่ในห่วงแห่งความฝันอันยาวนาน
ในความฝัน เธอกลายร่างเป็นกระต่ายน้อยสีขาวตัวหนึ่ง เธอวิ่งหลงทางอยู่ในป่า จากนั้นได้พบเจอกับสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง สุนัขจิ้งจอกตัวนั้นดูหิวกระหายเป็นอย่างมาก กระต่ายน้อยสีขาวตกใจมากจึงหันหลังแล้ววิ่ง
แต่ขาสองข้างของเธอสั้นเกินไป วิ่งหนีอยู่ตั้งนานก็ยังไม่สามารถหนีออกจากอาณาเขตของสุนัขจิ้งจอกได้
เธอโดนสุนัขจิ้งจอกจับตัวอย่างรวดเร็ว
จากนั้นโดนกลืนกินเข้าไปทั้งตัว สุดท้ายไม่เหลือแม้แต่กระดูก
เสิ่นเฉียวสะดุ้งตกใจจนตื่นขึ้นมา เธอลืมตาขึ้นมาทันที!
หลังจากที่เธอลืมตาขึ้นเธอมองเห็นบริเวณรอบๆเป็นสีขาวทั้งหมด มีเครื่องมือทางการแพทย์ที่อยู่ด้านข้างกำลังส่งเสียงร้อง เธอได้กลิ่นยาฆ่าเชื้ออยู่เต็มจมูก
โรงพยาบาล!
เธอ…..มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?
เสิ่นเฉียวอยากจะลุกขึ้นมานั่ง แต่เธอรู้สึกเจ็บที่ขาทั้งสองข้างของเธอ เธอรู้สึกราวกับว่าร่างของเธอกำลังจะหลุดออกเป็นเสี่ยงๆ เธอขยับเขยื้อนไม่ได้
“คุณนายน้อยสองตื่นแล้ว” ป้าเฉินถือถังเก็บความร้อนแล้วดันประตูห้องจนเปิดออกเพื่อเดินเข้ามา แววตาที่อบอุ่นจ้องมองมาที่เธอ
เมื่อมองเห็นป้าเฉิน เสิ่นเฉียวหันมาพยักหน้ากับเธอ จากนั้นทักทายเธอ
จากนั้นเธอก้มหน้าลงแล้วพยายามนึกเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น เธอจำได้ว่า…ตัวเธอกับเย่โม่เซินไปเข้าร่วมงานเลี้ยง จากนั้นโดนลู่สุนฉางลักพาตัวไป…
เรื่องราวหลังจากถูกลักพาตัวราวกับกระแสน้ำที่ไหลเข้าไปในหัวสมอง เสิ่นเฉียวร้องออกมาด้วยความตกใจโดยไม่รู้ตัว
ป้าเฉินรู้สึกตกใจมาก เธอรีบวางถังเก็บความร้อนไว้บนโต๊ะ “คุณนายน้อยสองเป็นอะไรรึเปล่า? ไม่สบายตรงไหนรึเปล่า? ฉันเรียกหมอเข้ามาดีมั้ย?”
เสิ่นเฉียวจับข้อมือของเธอเอาไว้ เธอถามด้วยความกังวล “เย่โม่เซินล่ะ? ตัวเขาล่ะ? เขาไปไหนแล้ว?”
เธอจำได้ว่าลู่สุนฉางจุดยาสลบไว้ในห้อง เขาบอกว่าจะทำให้เย่โม่เซินได้ลิ้มลองความเจ็บปวดที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน
ความเจ็บปวดเช่นนั้นเสิ่นเฉียวรู้จักดี! เธอจำได้ว่าต่อมาเย่โม่เซินได้ออกไปแล้ว แต่เหตุการณ์ต่อจากนั้นไปอีก….เธอก็จำเรื่องทั้งหมดไม่ค่อยได้ ราวกับว่าความทรงจำทั้งหมดถูกบดขยี้อยู่ในหัวสมอง เธอจำเรื่องทั้งหมดไม่ได้แล้ว
“คุณนายน้อยสอง คุณใจเย็นๆก่อน คุณชายสองกลับบ้านไปล้างหน้าแปรงฟัน อีกประเดี๋ยวก็คงจะรีบมา ”
กลับบ้านล้างหน้าแปรงฟัน? เสิ่นเฉียวกะพริบตารัวๆ“เขาไม่เป็นไรใช่มั้ย?”
ป้าเฉินไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอ เธอจ้องมองเสิ่นเฉียวด้วยความสงสัย “คุณชายสองจะเป็นอะไรไปได้ยังไง? แต่ว่าคุณนายน้อยสองละสิ สุขภาพของคุณแย่มาก หลายวันมานี้ต้องเข้าโรงพยาบาล รอคุณออกจากโรงพยาบาลในครั้งนี้ กลับถึงบ้านไปป้าเฉินจะต้มซุปมาบำรุงร่างกายของคุณให้นะ”
เสิ่นเฉียวยังคงอึ้งอยู่กับที่ เธอยังตอบสนองได้ยังไม่เต็มที่
เย่โม่เซินไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?
เขาเข้าไปในห้องนั้นไม่ใช่หรอ? แต่มันก็ใช่ ถ้าเขาอยู่ในนั้นไม่นาน เขาคงไม่โดนฤทธิ์ยาไปด้วยแน่นอน
แต่….ลู่สุนฉางจะยอมให้เขาออกมาจากห้องทันทีอย่างนั้นหรอ?
อีกอย่าง…..
พอยิ่งคิดเสิ่นเฉียวก็ยิ่งรู้สึกปวดหัวมากขึ้น เพราะเรื่องราวต่อจากเมื่อคืนเธอนึกอะไรไม่ออกเลยสักนิด
“คุณนายน้อยสอง คุณอย่าพึ่งคิดมากเลย นอนพักผ่อนก่อนเถอะ รู้สึกไม่สบายตรงไหนมั้ย? ฉันไปเรียกหมอมาดีมั้ย?”
เมื่อฟังจบ เสิ่นเฉียวพึ่งจะดึงสติกลับมา จากนั้นจึงส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอกป้าเฉิน ฉันไม่มีตรงไหนที่ไม่สบาย ไม่ต้องเรียกหมอมาหรอก”
“งั้นคุณนายน้อยสองจะดื่มซุปมั้ย?”
ป้าเฉินยืนขึ้นมา จากนั้นเปิดฝาถังเก็บความร้อนออก เธอเทซุปหนึ่งถ้วยให้กับเสิ่นเฉียว เสิ่นเฉียวเองก็เริ่มรู้สึกหิว เธอพยักหน้าแล้วยื่นสองมือออกมารับถ้วยน้ำซุปไก่ด้วยมารยาท เธอดื่มซุปไก่เงียบๆ
อยู่ๆเธอถามป้าเฉิน “เย่โม่เซินเขา…..อีกสักพักจะมาที่นี่มั้ย?”
ป้าเฉินยิ้มอ่อนๆแล้วพูด “มาสิ คุณชายสองบอกกับป้าเฉินคนนี้เอาไว้ เดี๋ยวเขาก็กลับมา เขาให้ฉันดูแลคุณนายน้อยสองดีดี”
เสิ่นเฉียวรู้สึกโล่งใจมากขึ้น เขากลับมาก็ดี
เธอมีคำถามมากมายจะถามเขา
ในจังหวะที่เธอกำลังดื่มซุปไก่อยู่นั้น อยู่ๆป้าเฉินก็พูด “คุณนายน้อยสอง ป้าเฉินไม่ได้จะว่าอะไรคุณหรอกนะ เพียงแต่วัยรุ่นอย่างพวกคุณจะต้องหัดยับยั้งชั่งใจกันหน่อย เพราะเรื่องแบบนั้นเลยทำให้ต้องเข้าโรงพยาบาล มันจะไม่ดีต่อสุขภาพในระยะยาวนะ”
เมื่อฟังจบ เสิ่นเฉียวที่กำลังดื่มซุปไก่อยู่นั้นอึ้งและนิ่งอยู่กับที่ทันที เธอเอียงศีรษะเล็กน้อย เพราะเรื่องแบบนั้น?
เรื่องแบบนั้น หมายถึง….เรื่องอะไร?
“พวกคุณนี่ละก็ เด็กหนุ่มสาวถึงจะยังข้าวใหม่ปลามัน แต่ก็ต้องหัดยับยั้งชั่งใจไว้บ้าง ยังไงซะเวลาที่อยู่ด้วยกันยังอีกยาวนาน มีเวลาอีกตั้งมากมาย คุณนายน้อยสอง ป้าเฉินเตือนคุณด้วยความหวังดีในฐานะของคนที่เคยอาบน้ำร้อนมาก่อน คุณจะไม่โกรธป้าเฉินใช่มั้ย?”
เสิ่นเฉียววางถ้วยน้ำซุปไก่ลง เธอถาม “ป้าเฉิน ความหมายของคุณ….ฉันไม่ค่อยเข้าใจ”
ป้าเฉิน:“……”
จะพูดยังไงกับคุณนายน้อยสองดี?ป้าเฉินลังเลอยู่นาน อยู่ๆเธอจึงชี้ไปที่บริเวณคอของเสิ่นเฉียว
เสิ่นเฉียวลองก้มหน้ามองตามที่เธอชี้ แต่เธอกลับมองไม่เห็นอะไร
ป้าเฉิน “……โธ่คุณนายน้อยสอง เอาเป็นว่า คนหนุ่มสาวต้องหัดยับยั้งชั่งใจหน่อยก็ดี คำพูดเหล่านี้คุณจดจำเอาไว้ในใจก็พอ”
เสิ่นเฉียวรู้สึกว่าป้าเฉินนั้นแปลกๆ คำพูดเหล่านี้ที่ป้าเฉินพูด….เธอไม่เข้าใจเลยสักนิด
หลังจากที่เธอดื่มซุปไก่จนหมดแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ เมื่อเธอมองเข้าไปในกระจก เสิ่นเฉียวพึ่งจะเข้าใจว่าคำพูดเหล่านั้นของป้าเฉินนั้นหมายความว่ายังไง!