บทที่1025 คุณมีปัญหาอะไรกับผมฉันมากนักเหรอ
เย่โม่เซินจับคางของหล่อนไว้และบรรจงจูบลง
ริมฝีปากที่ซีดขาวปกคลุมไปด้วยไอเย็น ราวกับเกล็ดหิมะที่โบยบิน แต่เมื่อประกบลงบนปากของหล่อนกลับค่อยๆเร่าร้อนขึ้น
หานมู่จื่อเห็นว่าเขาหลับตาลงอย่างตั้งใจ ท่าทางจากเดิมที่จับคางของหล่อนไว้ค่อยๆเลื่อนมาจับมือแทน บรรจงจูบอย่างดูดดื่ม ถ้าไม่ได้เป็นเพราะเหงื่อที่ยังคงไหลออกมาบนหน้าผากไม่หยุด หานมู่จื่อคงคิดว่าเย่โม่เซินในตอนนี้ช่างมีเสน่ห์เหลือเกิน
น่าเสียดายที่หล่อนเห็นภาพทั้งหมดนี้แล้วรู้สึกสงสารเข้าเหลือเกิน
จูบสามารถทำให้คนมีความสุข และอาจจะทำให้เขาลืมความทุกข์ทรมานก็ได้
เมื่อคิดถึงตอนนี้ หานมู่จื่อจึงกระพริบตา เดิมทีหล่อนกับเขาเคยสัญญากันไว้ว่าหากหล่อนไม่อนุญาต ห้ามจูบหล่อนเด็ดขาด แต่ตอนนี้สถานการณ์คับขัน หรือว่า…หล่อนควรจะตอบโต้เขาไปบ้าง?
กำลังคิดจะเคลิบเคลิ้ม สัมผัสที่ริมฝีปากนั้นก็หายไปแล้ว
หานมู่จื่อตั้งสติขึ้นมาได้ เห็นว่าเย่โม่เซินมองมาด้วยสายตาลึกซึ้ง
แค่กๆ…หรือเป็นเพราะตัวเองกำลังคิดถึงเรื่องอื่นอยู่ ไม่มีสมาธิ ทำให้เขารู้ทันอีกแล้ว?
หานมู่จื่อทำอะไรไม่ถูก กัดริมฝีปากตัวเองไว้ อยากเป็นฝ่ายเข้าไปจูบเขาก่อน
เย่โม่เซินเบิกตาโตกว้าง จากนั้นหรี่สายตาอันมีเลศนัยลง จับท้ายทอยของหล่อนไว้
จูบที่หอมหวานค่อยๆกำจัดความไม่สบายตัวและความเจ็บปวดของเย่โม่เซินออกไป…
ทั้งสองจูบกันอย่างเร่าร้อนอยู่ภายในบ้าน
ส่วนอีกด้านหนึ่ง ห้องหนึ่งในชุมชนซันไชน์
เซียวซู่นั่งว่างอยู่บนโซฟา พลางดื่มกาแฟที่ชงเสร็จแล้วในห้อง จากนั้นเงยหน้ามองไปที่นักเขียนสาวน้อยที่นั่งทำงานอยู่ตรงหน้าจอโน๊ตบุ๊คและหันหลังให้เขา
หล่อนนั่งอยู่ตรงนั้นเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว จนเซียวซู่ดื่มกาแฟจนหมดและเติมใหม่ด้วยตัวเอง
ในขณะที่ที่เติมกาแฟอยู่ ยังสังเกตเห็นว่าห้องของนักเขียนสาวน้อยไม่ใหญ่นัก แต่กลับใช้ชีวิตได้อย่างสนุก น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องทำกาแฟ เครื่องทำขนมปัง เครื่องทำเค้ก ไม่ว่าอะไรก็มีครบครัน
อีกอย่างห้องครัวของหล่อนมีขนาดใหญ่มาก ด้านในมีอุปกรณ์ต่างๆตั้งเรียงรายอยู่มากมาย
เปิดตู้เย็นออกมาก็เต็มไปด้วยวัตถุดิบต่างๆ
เมื่อก่อนเซียวซู่เคยได้ยินว่านักเขียนเป็นพวกอยู่บ้านเฉยๆไม่ทำอะไร หากไม่ต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็สั่งเดลิเวอรี่ แต่เมื่อเห็นของในตู้เย็นหล่อนเต็มไปด้วยของสด คิดว่าหล่อนคงทำอาหารเอง
เซียวซู่ยกกาแฟขึ้นมาดื่มอีกครั้ง ทันใดนั้นคิดบางอย่างขึ้นมาได้ มองไปที่ด้านหลังของนักเขียนสาวน้อย
รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ
หล่อนนั่งอยู่ตรงนั้นครึ่งชั่วโมงแล้ว ทำไมไม่พูดอะไรเลย อีกอย่างก็ไม่ลุกขึ้นยืนบ้าง และเขาก็ให้หล่อนแก้เล็กน้อยเท่านั้น ต้องใช้เวลานานขนาดนั้นเชียวเหรอ?
เมื่อคิดถึงตอนนี้ เซียวซู่เลิกคิ้วขึ้น วางแก้วกาแฟในมือลง เอ่ยปากเรียกหล่อน
“เธอ”
ไม่มีการตอบรับ
เมื่อเซียวซู่เห็นเช่นนั้น จึงยักคิ้วขึ้น หรือหล่อนตั้งใจทำงานมาก?
แต่ทำไมรู้สึกผิดปกติแปลกๆ?
สุดท้ายเซียวซู่รออีกสักพัก แต่หล่อนยังไม่มีท่าทีขยับแม้แต่น้อย เขาจึงรู้สึกว่าผิดปกติมาก
เซียวซู่จึงลุกขึ้นเดินตรงไปหาหล่อน จากนั้นพูดขึ้น: “ทำเสร็จแล้วยัง? แก้บทความแค่นี้ต้องใช้เวลานานขนาดนี้เชียวเหรอ? เธอยังเป็นนักเขียนมืออาชีพอยู่รึเปล่า?”
ในขณะที่พูด เซียวซู่เดินอ้อมไปหยุดอยู่ตรงหน้าหล่อนแล้ว จากนั้นเหลือบมองดูใบหน้าของหล่อนที่อยู่หน้าคอมพิวเตอร์
สาวน้อยนั่งหลังตรงอยู่ตรงนั้น แต่กลับหลับตาลง อ้าปากค้าง หลับกำลังสบาย
เซียวซู่: “??????”
ใครก็ได้ช่วยบอกเขาหน่อยว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น?
หล่อนไม่ได้แก้งานอยู่เหรอ? ทำไมนั่งหลับอยู่หน้าคอมแบบนี้ล่ะ?
อีกอย่าง หล่อนทั้งหลับและนั่งหลังตรงแบบนี้ได้อย่างไรกัน?
เมื่อหลับได้ที่แล้ว นักเขียนสาวน้อยยังเบะปากอีกด้วย
จากนั้นเอียงหัวไปด้านข้าง และนอนต่อ
เซียวซู่: “…”
ดีมาก เก่งมาก
เซียวซู่อดกลั้นความโกรธภายในใจไว้ ยื่นมือออกไปเคาะบนโต๊ะหล่อน
ก๊อกๆๆ
สาวนักเขียนทำเหมือนไม่ได้ยิน ยังคงนอนหลับอย่างสบายใจ
เซียวซู่หมดคำพูด ออกแรงเคาะโต๊ะมากขึ้น
ก๊อกๆๆๆ!
ครั้งนี้ถือว่าตัวเองออกแรงเยอะมาก ถ้าหล่อนยังไม่ตื่น…คงจะ
เขาทายไม่ผิด สาวนักเขียนยังคงไม่มีท่าทีตอบโต้อะไร ยังคงนอนเหมือนเซียนที่กำลังฝึกวิชานั่งสมาธิอยู่ ไม่ได้ยินเสียงรบกวนหรือเสียงใดๆจากโลกภายนอก
สุดท้ายขณะที่เซียวซู่อดสงสัยต่อไปไม่ไหวแล้ว เขากลับเห็นว่าหล่อนอุดสำลีก้อนหนาไว้ในหู
เขาหัวเราะเยาะ และหยิบสำลีสองก้อนนั้นออกมา แต่เขาเพียงแค่ตั้งใจจะเอาสำลีออกมาและปลุกหล่อนให้ตื่นเพื่อมาทำงานต่อเท่านั้น
แต่ไม่ได้ตั้งใจที่จะหยิบสำลีออกมา แล้วนิ้วมือไปพันกับผมของหล่อน จนทำให้ผมของหล่อนหลุดออกมาหนึ่งกำมือ
“ย๊าก!!!”
วินาทีถัดมา มีเสียงร้องที่เลวร้ายกว่าการฆ่าหมูดังขึ้นภายในห้อง
เซียวซู่มองดูก้อนผมในมือ กลืนน้ำลายลงด้วยความตกตะลึง
เขา…ไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย
“บ้าไปแล้วๆๆ!” หลังจากที่สาวนักเขียนตื่นขึ้นมา ก็เหลือบไปเห็นก้อนผมสีดำในมือของเขา จากนั้นระเบิดอารมณ์ขึ้นมาทันที: “คุณเซียว นี่คุณหมายความว่ายังไงกัน? ฉันแค่แอบหลับไม่ใช่หรือไง? ทั้งยังแก้ให้คุณแล้วไม่ใช่เหรอ? คุณจะเอายังไงกับฉัน ถึงทำฉันแบบนี้!”
เซียวซู่: “???”
“ทำไมคุณต้องดึงผมฉัน??? คุณรู้บ้างรึเปล่าว่าผมสำคัญกับคนที่มีอาชีพนักเขียนมากขนาดไหน? ทุกวันนี้ฉันคิดงานจนผมจะร่วงหมดหัวแล้ว แต่คุณกลับมาดึงผมฉันอีก…ฮื่อๆๆ”
ผมร่วง คือความเจ็บปวดของผู้หญิงทุกคน
โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีหน้าผากสูง และเจียงเสี่ยวไป๋ก็เป็นผู้หญิงที่มีหน้าผากสูง และยังเป็นคนที่ผมร่วงอีกด้วย
ที่สำคัญกว่านั้น ตั้งแต่หล่อนมีอาชีพเป็นนักเขียน ผมของหล่อนก็ร่วงหนักมาก
ทุกวันนี้เจียงเสี่ยวไป๋คอยหาวิธีปลูกผมดีๆจากอินเตอร์เน็ต แต่ผมของหล่อนช่างดื้อรั้นนัก ไม่ว่ายังไงก็ไม่ยอมเชื่อฟัง ยังคงร่วงโรยทุกวัน เดิมทีผมของหล่อนมีไม่เยอะอยู่แล้ว จนรู้สึกว่าตัวเองแทบจะหัวล้านแล้วด้วยซ้ำ
ตอนนี้…เซียวซู่ยังดึงผมของหล่อนอีก
เจียงเสี่ยวไป๋ใช้นิ้วที่สั่นเทาลูบไปบนบริเวณที่เจ็บบนหัว หล่อนสัมผัสโดนชิ้นเนื้อเล็กๆได้อย่างชัดเจน
ตรงนั้น ไม่มีผมแล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋ร้องไห้หนักมาก
หล่อนเดินเข้าไปกระชากคอเสื้อเขา พูดด้วยความโมโห: “นายพูดมา นายโกรธแค้นอะไรผมของฉัน? ทำไมต้องทำกับผมฉันแบบนี้?”
เดิมทีเซียวซู่เป็นคนมีเหตุมีผล แต่ตอนนี้เขากลับดึงผมของหญิงสาวออกมา เป็นเรื่องที่เขาเองก็คิดไม่ถึง ดังนั้นตอนนี้เขาจึงกลายเป็นคนไร้เหตุผล ถูกเจียงเสี่ยวไป๋กระชากคอเสื้อถามเช่นนี้ เซียวซู่ก็พูดอะไรไม่ออก
“ฉันจะบอกให้ ถ้าวันนี้คุณให้คำตอบที่ทำให้ฉันพอใจไม่ได้ ฉันจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด และไม่ต้องคิดให้ฉันแก้งานชิ้นนี้ให้อีก วันนี้คุณไม่ต้องคิดจะออกไปจากประตูนี้!”
เซียวซู่: “…”
มองหล่อนอย่างจนปัญญา
นี่หล่อนยังเป็นสาวน้อยคนนั้นอีกรึเปล่า? ทำไมชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นนางร้ายแบบนี้ล่ะ? เพราะเรื่องผมที่ถูกดึง?
แต่ทว่า…เซียวซู่มองดูจำนวนผมของหล่อน พูดด้วยความลำบากใจ: “ขอโทษนะครับ ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ฉันแค่อยากช่วยเธอหยิบสำลีออกมา คิดไม่ถึงว่า…”
“คุณฉวยโอกาสแก้แค้น แค่หยิบสำลีจะมาโดนผมได้ยังไงกัน?”