บทที่1030 รอให้เจอคนที่เหมาะสม
“ลูกยังสาวอยู่นะ อีกอย่างตอนนี้เขานิยมแต่งงานกันช้า และไม่ใช่ว่ายิ่งแต่งเร็วแล้วจะยิ่งดีสักหน่อย”
สำหรับเสี่ยวเหยียนแล้ว หล่อนไม่ได้ขวนขวายเรื่องแต่งงานเลย นอกเสียจากว่าจะได้แต่งงานกับคนที่ชอบ
ไม่เช่นนั้นก็ยอมไม่มีใครดีกว่า
ชีวิตของคนเราก็มีเรื่องที่ต้องเป็นทุกข์มากอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมาอดทนหรือพยายามกับเรื่องแต่งงานที่เป็นเรื่องของทั้งชีวิตแบบนี้
ดังนั้นเมื่อเสี่ยวเหยียนตกหลุมรักหานชิงแล้ว จึงไม่ยอมแพ้หรือตายใจเลย ทั้งยังหวังจะทลายกำแพงที่ดูเหมือนต้นใหม่ใหญ่ของเขาได้อีกด้วย
ใครจะไปคิด…
เมื่อคิดถึงตอนนี้ เสี่ยวเหยียนรีบส่ายหน้าทันที
ทำไมจู่ๆหล่อนถึงนึกถึงเขาขึ้นมาได้
หยุดคิดเดี๋ยวนี้!
จางเสี่ยวเหยียนต่อไปเธอหามคิดถึงหานชิงอีก ผู้ชายคนนั้นเป็นเพียงแค่คนที่ผ่านมาในชีวิตเธอเท่านั้น เธอทั้งสองถูกฟ้าลิขิตไม่ให้คบกันในชาตินี้แล้ว
เรื่องที่เธอต้องทำต่อไปก็คือลืมเขาซะ
แล้วค่อยหาคนรักใหม่ ก็แค่นั้น
“ถ้าไม่รีบแต่งงาน ก็อย่าแต่งงานช้าเกินไป ไม่ว่ายังไงอีกไม่กี่ปีลูกก็ต้องมีแฟนใช่ไหม? คบกันก็ต้องใช้เวลาถูกไหม? ยังต้องเตรียมงานแต่ง ต้องมีลูก เรื่องอื่นๆอีกมากมาย ถึงตอนนั้นก็จะท้องตอนแก่ ถ้าท้องตอนแก่เป็นเรื่องที่อันตรายมากเลยนะรู้ไหม?”
เสี่ยวเหยียน: “แม่…แม่ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้แล้ว พรหมลิขิตเป็นเรื่องที่โชคชะตากำหนดไว้แล้ว อีกอย่างตอนนี้พ่อก็ไม่สบาย รอให้เขาหายดีก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
“ก็ถูกนะ โอเคๆ งั้นแม่ไม่พูดแล้ว เพียงแต่ป้าจางคงอยากจะเป็นแม่สื่อให้ลูก ลูกเตรียมใจไว้ได้เลย หล่อนอาจจะพามาทำความรู้จักถึงบ้านสักวัน”
เมื่อเสี่ยวเหยียนได้ยินเช่นนั้นแทบจะเป็นลมล้มไป หล่อนสูดหายใจเข้าลึก อดกลั้นความไม่พอใจไว้ ตั้งใจป้อนข้าวให้พ่อต่อ
พ่อจางกลืนโจ๊กไปหนึ่งคำ ทันใดนั้นก็มองไปที่ลูกสาวของตัวเอง พูดขึ้น: “เหยียนเหยียน ลูกอยากแต่งงานเมื่อไหร่ก็แต่งเมื่อนั้น พ่อไม่บังคับลูก รอให้ลูกเจอคนที่เหมาะสมก่อน อยากจะแต่งเมื่อไหร่ก็ค่อยแต่ง พวกเราไม่รีบ”
หลังจากผ่านความเป็นความตายมาครั้งหนึ่งพ่อจางจึงคิดปลงกับเรื่องทุกอย่าง ชีวิตของคนเราเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ อีกทั้งยังมีเรื่องที่คาดไม่ถึงมากมาย ใครจะไปรู้ว่าเราจะมีชีวิตไปถึงเมื่อไหร่กันแน่ ดังนั้นใช้ชีวิตปัจจุบันให้มีความสุขจึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
พวกคนที่บังคับให้ลูกสาวแต่งงาน สุดท้ายลูกก็ต้องแบกรับความเสียใจ เขาไม่มีทางทำแบบนั้นได้ลงคอ
“ขอบคุณนะคะพ่อ!”
*
บ้านตระกูลเย่
หานมู่จื่อกับเย่โม่เซินอยู่ที่นั่นไม่นาน เพราะคำนึงถึงปัญหาสุขภาพของเย่โม่เซิน ทั้งสองจึงนอนพักผ่อนอยู่ที่โซฟาสักพักหนึ่ง แต่เมื่อถึงเวลากลางวัน เย่โม่เซินก็ลุกขึ้น บอกว่าจะพาหล่อนไปทานข้าว
“ฉันไม่รีบ ถ้าคุณรู้สึกไม่สบายก็นอนพักก่อนนะคะ”
สายตาของเย่โม่เซินมองไปที่หน้าของหล่อน: “ไม่หิว?”
หานมู่จื่อทั้งส่ายหน้าและปัดมือ: “ตอนนี้ฉันยังไม่หิว”
เมื่อพูดจบ ท้องของหล่อนก็ร้องเสียงดังขึ้นมาอย่างชัดเจน ท่ามกลางบ้านตระกูลเย่ที่มีเพียงพวกเขาสองคน
จากนั้นใบหน้าอันซีดขาวของหานมู่จื่อก็แดงขึ้นมาราวกับมีก้อนเมฆสีแดงสองก้อน หล่อนรีบยื่นมือไปกุมท้องของตัวเองไว้ สีหน้าเขินอาย: “อันที่จริงฉันไม่หิว แต่ลูก…อาจจะหิวแล้ว”
ถ้าเป็นเมื่อก่อน หล่อนคงต้องควบคุมตัวเองไว้อย่างดีแน่นอน
คิดไม่ถึงเลยว่าจู่ๆก็มีเสียงดังขึ้น อีกทั้งยังดังขึ้นหลังจากที่ตัวเองบอกว่าไม่หิว
อ๊ากกกก ลูกน้อยทำไมไม่สู้เลย! รออีกนิดนึงแล้วค่อยโวยวายไม่ได้เหรอ ให้พ่อได้นอนพักอีกสักครู่
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เย่โม่เซินหัวเราะเบาๆ น้ำเสียงทุ้มต่ำระรื่นหู
“ในเมื่อลูกหิวแล้ว เราก็ไปกันเถอะ อย่าให้ลูกต้องทนหิวเลย”
หานมู่จื่อกัดริมฝีปากของตัวเอง สายตามองเขาด้วยความกังวล
“แต่ว่าคุณ…”
“ไม่เป็นไร”
เย่โม่เซินลุกขึ้นยืน ขณะที่หานมู่จื่อยังไม่ทันตั้งตัว เขาก็โน้มตัวลง อุ้มหล่อนขึ้นมาทางขวาง เป็นเพราะหล่อนยังไม่ทันตั้งตัว หานมู่จื่อจึงรีบคว้าคอเสื้อของเขาไว้ด้วยความกลัว ถามขึ้นด้วยความตกใจ: “คุณจะทำอะไรน่ะ?”
“เป็นห่วงผมไม่ใช่เหรอ?” เย่โม่เซินย้อนถาม จากนั้นยักคิ้วขึ้น: “คุณดูผมตอนนี้สิ เหมือนคนป่วยไหมล่ะ?”
หานมู่จื่อ: “…”
หล่อนนิ่งตะลึงไปสักพักจึงจะเข้าใจความหมายของเขา จากนั้นใช้มือจิ้มไปที่หน้าอกของเขา: “วันหลังห้ามทำแบบนี้อีกนะ ทำให้ฉันตกใจไม่เป็นไร แต่ถ้าลูกตกใจขึ้นมาจะทำอย่างไร? อีกอย่าง ฉันก็แค่เป็นห่วงคุณเท่านั้น”
“โอเคครับ แล้วคุณภรรยายอมไปทานข้าวหรือยังครับ?”
หานมู่จื่อยิ้ม ยกสองมือขึ้นโอบคอของเขา “ไปกันเถอะ”
หลังจากทานข้าวกลางวันเสร็จ เย่โม่เซินก็ไปส่งหล่อนกลับไปที่วิลล่าไห่เจียง
หลังจากทานอิ่มแล้ว หานมู่จื่อก็รู้สึกง่วงทันที แต่เพิ่งทานข้าวไม่นาน หล่อนจึงยังไม่อยากนอนตอนนี้ จึงเปิดทีวีนั่งดูบนโซฟา
นั่งดูประมาณสิบกว่านาที หล่อนทนต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ
เมื่อเย่โม่เซินเดินออกมาจากห้องทำงาน เห็นหล่อนนอนกอดผ้าห่มอยู่บนโซฟา เขาตกใจขึ้นมาทันที รีบเดินเข้าไปอุ้มหล่อนกลับไปที่ห้องและห่มผ้าให้
เขาจ้องมองไปที่ใบหน้าของหล่อน จากนั้นรู้สึกว่ามือถือที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อสั่น
เย่โม่เซินจึงออกไปรับด้านนอก
“ฮัลโหล?”
“คุณชายเย่ เอกสารที่คุณต้องการผมเตรียมเสร็จแล้วครับ ตอนนี้คุณกับคุณนายน้อยยังอยู่ที่บ้านตระกูลเย่ไหมครับ?”
เย่โม่เซินเดินเข้าไปในห้องทำงาน พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา: “อยู่ที่วิลล่าไห่เจียง ถ้ามาถึงแล้วขึ้นมาที่ห้องทำงานได้เลย”
“รับทราบครับคุณชายเย่ งั้นผมไปตอนนี้เลยนะครับ”
ตอนที่เซียวซู่มาถึง คนใช้เป็นคนนำเขาขึ้นไปบนห้องทำงาน ระหว่างทางไปห้องทำงาน เซียวซู่อดไม่ได้ที่จะลองถามข่าวคราวดู
“คุณชายเย่กับคุณนายน้อยกลับมานานแค่ไหนแล้ว?”
คนใช้ครุ่นคิดสักพักหนึ่ง จากนั้นตอบกลับ: “ดูเหมือนเพิ่งจะกลับมาไม่นาน”
“ไม่นานคือนานแค่ไหนล่ะ?
“ประมาณครึ่งชั่วโมงค่ะ””
กลับมาครึ่งชั่วโมงแล้วเหรอ?
เซียวซู่ครุ่นคิดอยู่สักพัก กลับมาครึ่งชั่วโมง ตอนที่เขากลับมาก็ต้องใช้เวลามากพอสมควร ตอนคุณชายเย่โทรเรียกเขามาที่นี่ คุณนายน้อยก็คงหลับไปแล้ว
เซียวซู่ถือเอกสารปึกหนาไว้ในมือ ด้วยความรู้สึกเกรงกลัว
เพราะเขาไม่รู้ว่ามีอะไรรอเขาอยู่
ห้องทำงาน
เย่โม่เซินกำลังนั่งทำงานอยู่ แม้ว่าจะเป็นวันอาทิตย์ แต่เรื่องที่บริษัทก็ยังมีให้จัดการเยอะ อีกทั้งเป็นเพราะเขาเพิ่งจะรับช่วงต่อที่บริษัทไม่นาน จึงมีเรื่องที่จะต้องจัดการเยอะมาก
รวมถึงเขายังต้องคิดด้วยว่าจะรับยู่ฉือจินและเสี่ยวหมี่โต้วกลับมาที่ประเทศได้ยังไง
ก๊อกๆ
สายตาอันดุดันเงยหน้ามองขึ้น เย่โม่เซินขยับปากพูดขึ้น: “เข้ามา”
ประตูห้องทำงานถูกเปิดออก เซียวซู่ถือเอกสารฉบับหนึ่งเข้ามา จากนั้นปิดประตูลง
เมื่อเซียวซู่เข้ามาในห้อง รู้สึกว่าอุณหภูมิในห้องต่ำกว่าด้านนอกมาก แต่ท่าทางและการแสดงออกของเย่โม่เซินก็ไม่มีอะไรผิดแปลกไป ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าคิดมากไปเองรึเปล่า
“เรื่องทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว?”
เย่โม่เซินเงยหน้าขึ้น มองไปที่เซียวซู่
เผชิญหน้ากับสายตาอันเหี้ยมโหดของเขา เซียวซู่ถึงกับต้องกลืนน้ำลายลง
“ใช่ครับคุณชายเย่”
จากนั้นเขาก็นำเอกสารวางลงบนโต๊ะทำงาน “เอกสารพวกนี้เรียบเรียงไว้เรียบร้อยแล้ว ค่อนข้างยาว คุณชายเย่…คงอ่านไม่จบทันที”