บทที่ 1034 ผู้หวั่นไหว โง่ที่สุด
หลังจากออกจากวิลล่าไห่เจียง
เซียวซู่ขับรถกลับบ้านด้วยตัวเอง ระหว่างทางได้รับข้อความจากผู้เขียนแทน เจียงเสี่ยวไป๋
{คุณชายเซียว เจ้านายของคุณพอใจกับข้อมูลหรือไม่? }
ได้เห็นข้อความนี้ เซียวซู่ไม่ได้คิดมาก ส่งกลับคำสองโดยตรง
{พอใช้ }
หลังจากตอบกลับแล้ว ก็ออกจากหน้าต่าง เซียวซู่เปิดบัญชีรายชื่อโดยไม่รู้ตัว เห็นชื่อที่คุ้นเคยในนั้น
จางเสี่ยวเหยียน
ทั้งสองไม่ได้พบหน้ากันหรือติดต่อกันเลย ตั้งแต่วันที่กลับจากต่างประเทศ สิ่งที่เสี่ยวเหยียนพูดในวันนั้น ทำให้เซียวซู่รู้สึกว่าถ้าเขาไปรบกวนเธออีก ถ้าอย่างนั้น ตัวเองก็ไม่ใช่สุภาพบุรุษจริงๆแล้ว
ดังนั้นเขาจึงทนไว้ตลอดเวลา ที่จะไม่หาอีกฝ่าย
ก็ไม่รู้ว่านานขนาด เธอเป็นยังไงบ้าง
ในท้ายที่สุด เซียวซู่ก็ระงับความคิดที่จะโทรหาเธอไว้ แล้วก็ขับรถต่อไป
แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เซียวซู่ได้ขับรถมาที่ใต้อาคาร บริษัทที่เสี่ยวเหยียนเข้าทำงานก่อนหน้านี้ โดยไม่รู้ตัว
เพราะเป็นวันอาทิตย์ ดังนั้นในบริษัทจึงไม่มีคน เซียวซู่จึงจอดรถเสียเลย ลดหน้าต่างลง แล้วมองไปที่ประตูของบริษัท
เขาจ้องมองอย่างไม่ขยับสายตา ราวกับว่าสามารถจินตนาการถึง เสี่ยวเหยียนในเวลาทำงาน จากความทรงจำของตัวเอง
ก่อนกลับประเทศ เวลาที่สาวน้อยทำงาน น่าจะมีความสุขมากสวมกระโปรงตัวเล็กของตัวเอง ถือกระเป๋าเล็กๆ จากนั้นเพราะต้องรีบไปทำงาน จึงวิ่งเหยาะๆเข้าไปในบริษัท วิ่งอย่างเร่งรีบ บางทีของในมือจะหลุดออก
จากนั้นสาวน้อยก็ก้มลงไปเก็บ อาจจะเป็นเพราะการเคลื่อนไหวที่เร่งรีบเกินไป เลยทำให้สิ่งอื่นก็หลุดร่วงไปด้วย
อย่างไรแล้ว ก็น่าจะเป็นท่าทางที่ลืมโน้นลืมนี่ เมื่อก่อนเซียวซู่ไม่ชอบผู้หญิงแบบนี้ แต่ถ้าผู้หญิงคนนี้กลายเป็นเสี่ยวเหยียน เขาก็จะรู้สึกว่า น่ารักเป็นพิเศษ
มองแต่ข้อดีของคนที่ชอบ อย่างภาพฟิลเตอร์ สามารถทำให้คนไม่มีสติได้จริงๆ
ทันใดนั้น เซียวซู่ก็จำประโยคหนึ่งได้
ผู้หวั่นไหว โง่ที่สุด
เขาไม่กล้าโทรหาสาวน้อย ท่าทางที่วิ่งมาจอดอยู่ใต้บริษัท ที่ไม่มีใครทำงาน โง่ที่สุด
สักพักหนึ่ง เซียวซู่ก็ออกจากใต้อาคารของบริษัท
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เสี่ยวเหยียนอยู่ในโรงพยาบาลทุกวัน ดูแลพ่อจางด้วยตัวเองทุกอย่าง ความจริงจังของเธอในช่วงเวลานี้ สามีภรรยาจาง ล้วนมองอยู่ในสายตา ลับหลัง หลัวหุ้ยเหม่ยไม่รู้ว่าได้ชื่นชมเสี่ยวเหยียนกับพ่อจางกี่ครั้งแล้ว
“ตาจางคุณรู้สึกบ้างไหม ว่าครั้งนี้ลูกสาวของคุณกลับมา โตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ไม่มีคำบ่นเลยสักคำ ดูเหมือนจะไม่เหนื่อยไม่โกรธด้วย”
เมื่อได้ยินพ่อจางก็พยักหน้าเห็นด้วย “พูดถูก ได้โตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นไม่น้อย ฉันยังนึกว่า ไม่ได้เจอกันห้าปี เราสองพ่อลูก จะกลายเป็นศัตรูกันจริงๆแล้ว”
“พูดเรื่องโง่อะไร? ไม่ว่าจะยังไงแล้ว พวกคุณก็เป็นพ่อลูก แค่ตาแก่อย่างคุณ ไม่ดื้อรั้นเกินไป พวกคุณคนจะกลายเป็นศัตรูได้อย่างไร?”
ดื้อรั้นเกินไป?พ่อจางได้ยินคำนี้ ก็ขมวดคิ้วโดนไม่รู้ตัว “ทำไมฉันถึงดื้อรั้นล่ะ?”
“คุณยังไม่ดื้อรั้นเหรอ? ลูกสาวของคุณโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เธออยากจะทำเรื่องอะไร คุณก็จะห้าม ห้ามก็ห้ามเถอะ คุณยังบอกว่า จะตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกกับเธอ หรือคุณต้องการให้เธอพึ่งพาความคิดของคุณใช้ชีวิตตลอดไป ภายใต้อิทธิพลของคุณ?”
ในตอนนั้นพ่อจางไม่เคยคิดอย่างนี้มาก่อน ตอนนี้ถูก หลัวหุ้ยเหม่ยพูดอย่างนี้ ก็รู้สึกพูดไม่ออกในทันใด
สักพักเขาก็พูดอย่างจนใจ “ฉันไม่เคยคิดที่จะจำกัดชีวิตของลูกสาว แต่งานในตอนนั้น ไม่ง่ายเลยที่จะได้มา ท่าทีที่ไม่รักษาคุณค่าของเธอ ทำให้ฉันโกรธมากจริงๆ และอีกอย่าง ถ้าคุณรู้สึกอย่างนี้จริงๆ ในตอนนั้นทำไมคุณถึงไม่พูด ตอนนี้มาขุดคุ้ยเรื่องในอดีต คุณได้ขุดคุ้ยสักโหดเลยนะ?”
หลัวหุ้ยเหม่ยปอกส้มด้วยเองลูกหนึ่ง ทำความสะอาดเส้นใยสีขาวบนส้มจนหมดจด แล้วส่งเข้าปากตัวเองพ่อจางมองดูตาปริบๆ แต่ไม่ได้กินแม้แต่ชิ้นเดียว
สุดท้ายเขาก็อดไม่ไหวที่จะว่าเธอ “คุณว่าคุณกินส้ม คุณจะดึงเส้นใยให้สะอาดหมดจดขนาดนี้ทำไม?”
เมื่อได้ยิน หลัวหุ้ยเหม่ยก็ก้มหน้ามองดูส้ม “ฉันกินส้มแบบนี้มาโดยตลอด ทำไม ผ่านมากี่สิบปีแล้ว คุณถึงมีความคิดเห็นหรือ?”
“อีกอย่าง คุณฟังดูสิ ที่คุณพูดเมื่อกี้คืออะไรกัน อะไรที่เรียกว่า ฉันขุดคุ้ยเรื่องในอดีต? แบบนั้นเรียกว่าขุดคุ้ยเรื่องในอดีตเหรอ? ในตอนนั้น ท่าทีของคุณดื้อรั้นแน่วแน่ขนาดนั้น ฉันกล้าว่าคุณได้ยังไง แทบอยากจะตัดความสัมพันธ์กับลูกก่อน แล้วหย่ากับฉันทันทีเลย ฉันกล้าพูดไหม?”
พ่อจาง “……”
“คุณอย่าคิดว่าคนน่ากลัวขนาดนี้ได้ไหม? คุณได้อยู่กับฉันมากี่ปีแล้ว คุณไม่รู้ว่าฉันเป็นยังไงหรือ? เป็นไปได้ยังไง ที่ฉันจะพูดเรื่องหย่าออกมาได้?”
หลัวหุ้ยเหม่ยได้ยิน ก็ยังคงไม่สนใจ ยังคงกินส้มต่อ พร้อมพูดว่า “ใช่ฉันอาศัยอยู่กับคุณมาหลายปีแล้ว นิสัยใจคอคุณเป็นยังไง ฉันรู้ดี ก็เพราะว่านิสัยใจคอคุณเป็นยังไง ฉันรู้ดีทั้งหมด ดังนั้นตอนที่คุณพูดออกมาว่า จะตัดความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกกับลูกสาว ตาจางคุณรู้ไหมว่า ในใจของฉันกำลังคิดอะไรอยู่? ฉันกำลังคิดว่า คนคนนี้ กลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร? นิสัยแบบนี้ เมื่อก่อนไม่เคยเห็นมาก่อน ในวินาทีนั้น คุณก็เปลี่ยนไปแล้ว คุณคิดว่าฉันกล้าพูดไหม? ถ้าฉันพูดออกไป แล้วคุณบอกกับฉันว่า จะหย่ากัน งั้นบ้านของเราก็จะแตกไป คุณรู้หรือเปล่า? ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทั้งหมดเป็นฉันเอง ที่รักษามันไว้ได้”
พ่อจาง “……พูดมาตั้งนาน คุณก็คือเอาคุณงามความดีทั้งหมดเข้าตัวเอง?”
“ทำไม หรือคุณงามความดีไม่ใช่ของฉัน? ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา คุณกับเหยียนเหยียนเป็นยังไง คุณไม่รู้อยู่แก่ใจบ้างหรือ?
ช่างเทศกาลวันสำคัญ ไม่ใช่ฉันเหรอที่โทรหาเธอ? ถ้าฉันเป็นเหมือนกันกับคุณ ไม่แน่ลูกสาวได้หนีตามใครไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย เหมือนครั้งที่แล้ว ตอนที่คุณประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ก็ยังเป็นฉันเอง ที่ร้องห่มร้องไห้ โทรเรียกลูกสาวคุณกลับมา ไม่งั้นคุณจะมีวันนี้ได้หรือ?”
ระหว่างพูด หลัวหุ้ยเหม่ยอารมณ์ก็คุกรุ่นเล็กน้อย “ตอนนี้คุณอยากจะข้ามแม่น้ำทุบสะพาน ถีบหัวส่งใช่ไหม?”
พ่อจางรู้สึกว่า ถ้ายังคุยกับเธอต่อไป ทั้งสองจะต้องทะเลาะกันอีกแน่นอน ตั้งแต่เสี่ยวเหยียนหนีออกจากบ้าน ทั้งคู่ได้ทะเลาะกันบ่อยขึ้นกว่าเมื่อก่อนอย่างมากแต่ทุกครั้งหลังจากทะเลาะกันแล้ว หลัวหุ้ยเหม่ยก็จะแอบเช็ดน้ำตาอยู่ในห้องพ่อจางทั้งโกรธทั้งเสียใจ แล้วยังทุกข์ใจด้วย
แต่ก็ไม่อาจเสียศักดิ์ศรี ไปพูดปลอบโยนอีกฝ่ายได้
ตอนนี้หลังจากที่ประสบกับความเป็นความตาย ทันใดนั้นเขาก็ปลงกับสิ่งเหล่านี้แล้ว
เขาอายุปูนนี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับทุกเรื่องอย่างละเอียดชัดเจน โดยเฉพาะระหว่างครอบครัว ทั้งๆที่เป็นเห็นเรื่องเล็กน้อยมาก ทำไมต้องขยายให้ใหญ่?
เช่นเดียวกับตอนนี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนพ่อจางอาจจะคิดว่า อีกฝ่ายไม่มีเหตุผลเลยจริงๆ จะต้องทะเลาะกับภรรยาของเขาเสียหน่อย
สุดท้ายก็จะว่าเธอ ทำได้ถึงเอาแต่ใจและเอาความดีใส่ตัวแบบนี้
แต่ตอนนี้ สิ่งเหล่านี้สำหรับพ่อจางแล้ว ล้วนไม่สำคัญ
ชีวิตคนเราสั้นนัก ก็แค่ไม่กี่สิบปีเท่านั้น สำหรับคนอย่างเขา ที่อยู่มาเกือบครึ่งชีวิต เวลาที่เหลือก็ไม่มากแล้ว
เมื่อคิดถึงอย่างนี้พ่อจางก็ถอนหายใจ แล้วพูดเสียงเบา “เอาล่ะหุ้ยเหม่ยฉันไม่ได้คิดจะข้ามแม่น้ำทุบสะพาน ถีบหัวส่ง ตลอดเวลาที่ผ่านมา คุณก็ได้ทุ่มเทให้กับครอบครัวนี้มากมาย ในตอนนั้น คือฉันแก่หงำเหงือกแล้ว ไม่ได้คิดอะไรให้ชัดเจน”