บทที่1051 หนีเตลิด
เสี่ยวเหยียนรู้สึกได้ว่าลมหายใจและการเต้นของหัวใจได้หยุดลง สมองถูกแช่แข็งเปลี่ยนเป็นขาวโพลน เธอนั่งตะลึงอยู่กับที่พลางมองหานชิงที่เดินเข้าห้องอาหารมาโดยมีบริกรนำทาง
ไม่เจอกันมานานแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ต่างไปจากเดิม รูปร่างสง่าผ่าเผย ใบหน้าหล่อเหลาอันแสนเย็นชา เนคไทที่ได้รับการดูแลอย่างพิถีพิถัน ติดกระดุมสูทอย่างเรียบร้อย มองพริบตาเดียวก็รู้ว่าคนคนนี้เป็นคนเข้มงวด
เสี่ยวหมี่โต้วยิ้มอยู่ข้างๆด้วยความเจ้าเล่ห์
ใบหน้าของหานชิงยังคงดูเยือกเย็น ตอนที่เข้ามาก็ไม่ได้แสดงออกถึงความรู้ใดๆ หลังจากที่เหลือบมองอะไรบางอย่างจากหางตา เท้าของเขาก็ชะงัก
มันเป็นเพียงชั่วขณะเท่านั้น จากนั้นก็กลับมาสู่สภาพเดิม เขาเข้าไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“คุณหาน ที่นี่ครับ”
“คุณน้า”
เสี่ยวหมี่โต้วตะโกนเรียกคนที่เข้ามา ในขณะที่ตะโกนเรียก หางตาก็แอบลอบมองเสี่ยวเหยียน
ในเวลานี้เสี่ยวเหยียนหลุบตาลง ผมหน้าม้าของเธอคลุมลงมาปกปิดทุกอารมณ์ในดวงตาของเธอ ท่าทางแบบนี้ทำให้คนคิดว่าเธอแค่อายจึงก้มหน้าลง
มีเพียงเสี่ยวเหยียนเท่านั้นที่รู้ว่าตอนนี้จิตใจเธอไม่สงบ
มือใต้โต๊ะสั่นอย่างไม่สามารถควบคุมได้ เสี่ยวเหยียนข่มใจไม่ลุกขึ้นเดินตรงออกไป เธอพยายามควบคุมจิตใจของตัวเองให้อยู่ตรงที่แห่งนั้น
ทำไมนะ…
เธอใช้เวลามานานมากเพื่อที่จะลืมคนคนนี้ ทำตัวให้ยุ่งอยู่ตลอดเวลา ความถี่ในการคิดถึงเขาก็น้อยลงเรื่อยๆ น้อยจนเธอคิดว่าหลังจากนี้อีกไม่นาน เธอก็สามารถลืมผู้ชายคนนี้ได้
แต่เขากลับ…ปรากฏตัว
จากนั้นเสี่ยวเหยียนก็กลับมาหวั่นไหวอย่างรุนแรงอีกครั้ง
เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเสี่ยวหมี่โต้วจะวางแผนไว้แบบนี้ มิน่าล่ะเมื่อกี้นี้เขาถึงกดโทรศัพท์อยู่ตลอดเวลา มิน่าล่ะจู่ๆเขาก็บอกว่าจะมาที่ร้านนี้เพื่อกินปลานึ่ง
เห็นได้ชัดว่าก่อนที่จะโทรหาเธอ เขาบอกว่าอยากกินอาหารที่ตัวเองทำ
แล้วจู่ๆก็เปลี่ยนใจขึ้นมากะทันหัน เรื่องราวเหล่านี้จะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
เธอนี่ก็ซื่อบื้อจริงๆเลย ทำไมไม่คิดให้มากหน่อยนะ ตามมาโดยไม่สังหรณ์ใจอะไรเลย
ตอนนี้…เขาจะคิดอย่างไร?
เขาจะมองเธอเป็นคนแบบไหน?
เขาจะต้องคิดว่าเธอน่ารำคาญมากแน่ๆ? เห็นๆอยู่ว่าเขาบอกเธอไว้อย่างชัดเจนขนาดนั้นแล้ว แต่ผลสุดท้ายเธอก็ยังมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่
พอคิดได้ดังนั้น เสี่ยวเหยียนก็รู้สึกเหมือนจะเป็นลม โชคดีที่ตอนนี้เธอกำลังนั่ง เธอกล้ารับประกันได้ว่าถ้าเธอกำลังยืนอยู่ ขาทั้งสองคงจะอ่อนยวบลงไปกองกับพื้นแล้วแน่ๆ
เสี่ยวเหยียนเองก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงเป็นไม่มีใจสู้เช่นนี้ ทว่า…ความเป็นจริงแล้วเธอช่างเป็นคนไร้ประโยชน์
เธอคิดว่าตัวเองใช้เวลาในการลืมเขาไปได้แล้ว ไม่คิดเลยว่าพอมาเจอเขาในตอนนี้จะยังดูไร้ประโยชน์แบบนี้
“คุณน้า ผมสั่งอาหารให้คุณน้าแล้ว เพราะฉะนั้นคุณน้าไม่ต้องสั่งอีกแล้วฮะ”
เสียงของเสี่ยวหมี่โต้วดังมาจากข้างๆ เสี่ยวเหยียนปลุกสติตัวเองให้กลับมา เธอสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเอง
“อืม” หานชิงตอบด้วยเสียงเย็นชา แต่เขากลับอ่อนโยนลงเล็กน้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าเสี่ยวหมี่โต้ว “กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่บอกน้าสักคำ น้าจะได้ไปรับ”
“ไม่ต้องหรอกฮะ หม่ามี๊บอกว่าคุณน้าทำงานยุ่ง ก็เลยไม่ได้บอกคุณน้า หม่ามี๊เป็นห่วงคุณน้ามาก คุณน้าต้องดูแลตัวเองดีดีนะฮะ!”
“อืม น้าจะดูแลตัวเอง”
ในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน เสี่ยวหมี่โต้วก็พบว่าเสี่ยวเหยียนดูเงียบไป ตอนที่เขาหันไปมองก็พบว่าเสี่ยวเหยียนยังคงก้มหน้า เสี่ยวหมี่โต้วกะพริบตาปริบๆและอดถามไม่ได้ว่า “น้าเสี่ยวเหยียนทำไมไม่พูดล่ะ?”
เสี่ยวเหยียนที่ถูกเรียกชื่อหายใจเข้าลึกๆ เธอค่อยๆเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มเหมือนคนที่ไม่ได้เป็นอะไร
“หาน คุณหาน…สวัสดีค่ะ”
หานชิงเหลือบมองรอยยิ้มที่ดูแย่กว่าร้องไห้บนใบหน้าของเธอ จากนั้นก็พยักหน้า “สวัสดี”
ห่างเหินราวกับคนแปลกหน้า
เสี่ยวเหยียนหยิกมือที่อยู่ใต้โต๊ะพลางกัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ
แต่เดิมทั้งสองยังพอคบค้าสมาคมกันอยู่บ้าง ไม่ได้ทำตัวเหมือนคนแปลกหน้าขนาดนี้ แต่ตอนนี้…พวกเขาทั้งสองกลับไม่เหมือนแม้กระทั่งคนแปลกหน้าเสียด้วยซ้ำ
ทั้งหมดนี้เกิดจากเธอคิดเข้าข้างตัวเองฝ่ายเดียว
ถ้า…ถ้าตอนแรกเธอไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองเพื่อครอบครองผู้ชายคนนี้ ก็คงไม่กลายมาอยู่ในสภาพแบบนี้
อย่างน้อยความสัมพันธ์ระหว่างเธอและเขาก็จะไม่ดูเก้ๆกังๆขนาดนี้
ไม่ถูก!
เสี่ยวเหยียนส่ายหัวแรงๆอยู่ภายในใจ
เสี่ยวเหยียน ในเวลานี้เธอยังมาคิดอย่างนี้ได้อย่างไร? เธอตัดสินใจแล้วนี่นาว่าจะลืมผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า เธอจะยังนั่งอยู่ตรงนี้อีกทำไม? ยังคิดจะไปยุ่งกับเขาอีกเหรอ?
เธอยังคิดจะสานต่อความสัมพันธ์อันวุ่นวายเหล่านี้ต่อไปงั้นเหรอ? หรือเธอยังคิดจะกลับไปเป็นเสี่ยวเหยียนคนน่ารำคาญ คนเห็นแก่ตัว ? ?
ไม่!
เธอจะเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ วันนี้เธอจะต้องออกไปจากที่นี่
หลังจากที่ล้างสมองของตัวเสร็จแล้ว เสี่ยวเหยียนก็ตัดสินใจจะจากไป ดังนั้นเธอจึงแกล้งทำเป็นนึกอะไรขึ้นได้และเอ่ยปากพูดออกมาว่า “ฉัน…ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ฉันมีนัดคุยธุระ ถ้าไม่รีบไปจะสายเอาได้ ในเมื่อคุณหานมาแล้ว อย่างงั้นก็รบกวนไปส่งเสี่ยวหมี่โต้วกลับบ้านด้วยนะคะ ไม่อย่างงั้นจะทำให้หม่ามี๊ของเขาเป็นห่วง ฉัน ฉันขอตัวก่อน”
พอพูดเสร็จเสี่ยวเหยียนก็ลุกขึ้น อาจเป็นเพราะเธอเคลื่อนไหวเยอะเกินไปหน่อย เมื่อเธอลุกขึ้นเก้าอี้ของเธอก็ถูกลากล้มลงมา
จากนั้นสีหน้าของเสี่ยวเหยียนก็เปลี่ยนไป เธอลุกลี้ลุกลนประคองเก้าอี้ไว้
ในที่สุดเสี่ยวหมี่โต้วก็สังเกตเห็นอะไรแปลกๆ พลางย่นจมูกเล็กๆ
นี่เกิดอะไรขึ้น?
เขา…เขาทำอะไรผิดไปหรือเปล่า?
“ขอโทษค่ะ…พวกคุณทานอาหารกันตามสบาย ฉันฉันไปล่ะ…”
หลังจากที่เสี่ยวเหยียนประคองเก้าอี้ไว้ดีแล้วก็รีบหยิบกระเป๋าของตัวเองแล้วสาวเท้าเดินออกไป เธอเดินหนีเตลิดไปด้วยความเร่งรีบ
เสี่ยวหมี่โต้ว “น้าเสี่ยวเหยียน…”
อย่างไรก็ตามน้าเสี่ยวเหยียนดูเหมือนไม่ได้ยินเสียงเรียกที่มาจากปากเขา พอออกจากห้องอาหารไป ก็ไม่เจอแล้ว
หลังจากเกิดเรื่อง เสี่ยวหมี่โต้วก็มีอารมณ์หดหู่ เสี่ยวเหยียนไปแล้ว เสี่ยวหมี่โต้วจึงได้แต่มองไปที่หานชิง
“คุณน้า…”
หานชิงยิ้มจางๆ “ในเมื่อเธอมีธุระ งั้นเสี่ยวหมี่โต้วก็กินเถอะ กินเสร็จแล้วน้าจะไปส่ง”
พอพูดจบ หานชิงก็เอื้อมมือมารินน้ำชาให้เสี่ยวหมี่โต้ว
เสี่ยวหมี่โต้ว “…”
ไม่รู้ว่าเขาคิดผิดไปหรือเปล่า เขาถึงรู้สึกว่าตอนนี้คุณน้าดูหน้าตาหม่นหมองขึ้นมามาก!
เนื่องจากเขาสัญญากับน้าเสี่ยวเหยียนแล้วว่าจะช่วย ดังนั้นคราวนี้เขาจึงนัดคุณน้าไว้เพื่อสร้างโอกาสให้คุณน้ากับน้าเสี่ยวเหยียน
แต่ว่าปฏิกิริยาของคุณน้ากับน้าเสี่ยวเหยียนดูเหมือนจะแปลกไปมาก
เป็นไปได้ไหมว่าช่วงเวลาที่เขาไปอยู่เป็นเพื่อนตาทวดได้เกิดเรื่องอะไรที่เขายังไม่รู้?
มีร้อยพันคำถามที่อยู่ในใจเสี่ยวหมี่โต้ว แต่เขาไม่กล้าเอ่ยปากถามหานชิง
ทางด้านเสี่ยวเหยียน หลังจากที่ออกมาจากห้องอาหาร เธอก็เร่งฝีเท้าเดินมุ่งไปยังข้างหน้าและหยุดเท้าเมื่อเดินมาไกลมากแล้ว จากนั้นเธอก็พบว่าขาตัวเองอ่อนแรงไปมากจนเดินต่อไปไม่ได้แล้ว เธอเจอกับบริกรคนหนึ่งที่เดินมาพอดี เสี่ยวเหยียนจึงรีบเข้าไปถามคนคนนั้น
“ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าห้องน้ำไปทางไหนคะ?”