บทที่1061 ไม่จำเป็นต้องให้นายมาเตือนฉัน
ตอนกลางวัน ภายในร้านค้าขายดีเป็นอย่างมาก
คงเป็นเพราะมีการส่งต่อกันผ่านอินเตอร์เน็ตอย่างรวดเร็ว หลายคนมาเพราะเสี่ยวหมี่โต้ว และยังมีคนดังมาถ่ายทอดสด เมื่อได้ยินว่าที่นี่มีร้านราเม็งมาเปิดใหม่ และยังมีพนักงานตัวน้อยน่ารักคอยบริการ จึงอยากจะมาถ่ายรูปตามกระแสด้วย
ใครจะไปรู้ เมื่อมาถึงที่ร้าน ภายในร้านกลับแขวนป้ายห้ามถ่ายรูปไว้
หากไม่ได้รับการยินยอมจากเขาก่อน ห้ามถ่ายรูปเด็ดขาด หากฝ่าฝืนสามารถดำเนินคดีตามกฎหมายและต้องเสียค่าปรับ
ตอนนี้มีคนดังจำนวนมาก รวมถึงผู้ที่ชอบถ่ายทอดสด ต่างถ่ายภาพคนที่เดินผ่านไปมาบนถนนเข้าไปในคลิปด้วย คงถ่ายเป็นเพียงแค่ภาพเบื้องหลังเท่านั้น แต่ก็มีบางคนที่แต่งภาพคนพวกนั้นให้ดูน่าเกลียด กระทั่งใช้ประโยชน์จากพวกเขา
ดังเช่นเสี่ยวหมี่โต้วในครั้งนี้
ถ้าเสี่ยวเหยียนไม่หยุดยั้งไว้ก่อน รูปของเสี่ยวหมี่โต้วคงถูกแพร่ไปทั่วทั้งโลกอินเตอร์เน็ต ชีวิตในอนาคตของเขาคงไม่สงบสุขแน่นอน
ในขณะเดียวกัน ณ ห้องวีไอพีภายในโรงแรมหรูหกดาว
ชายสองคนนั่งหันหน้าเข้าหากัน ห้องวีไอพีอันแสนหรูหราและสวยงาม มีเพียงแค่พวกเขาสองคน เห็นได้ชัดว่ากว้างโล่งเป็นอย่างมาก แต่รังสีที่แผ่ซ่านมาจากตัวของทั้งสอง กลับเติมเต็มและปกคลุมความว่างเปล่าของห้องนี้ไว้ทั้งหมด
หลินสวี่เจิ้งรินไวน์ลงในแก้วใบเล็กของตัวเอง ถือไว้ในมือและแกว่งไปมาเล็กน้อย เงาของแสงไฟสะท้อนมาในแก้วเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มอันผิดหวังของเขา เขาได้แต่มองกลับไม่ยกขึ้นดื่ม
หลังจากนั้นสักพัก เขาจึงพูดขึ้น: “วันนี้ผู้หญิงคนนั้นเปิดร้านใหม่ นายไม่ไปดูหน่อยเหรอ?”
คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกระตุกตะเกียบขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็กลับมาทำตัวเหมือนปกติ
“วันนี้ที่นายนัดฉันออกมา เพียงเพื่อจะพูดเรื่องนี้?”
หานชิงเงยหน้าขึ้น สายตาอันเย็นชามองไปบนใบหน้าของหลินสวี่เจิ้ง
เพื่อนสนิทที่เป็นคนเอาจริงเอาจัง ใจเย็น สงบเสงี่ยมเช่นเขา ดูเหมือนเป็นคนคุณธรรมสูงส่งไร้ซึ่งความโลภใดๆ ถ้าไม่ได้เป็นเพราะเรื่องที่ตัวเองขอให้เขาช่วยเมื่อครั้งที่แล้ว หลินสวี่เจิ้งคงจะเชื่อเขาแล้วจริงๆ
แต่ตอนนี้ หลินสวี่เจิ้งบังเอิญรู้ความลับภายในใจของหานชิงเข้า ชีวิตของเขาไม่ได้น่าสนุกเท่าไหร่นัก แต่ตอนนี้เมื่อค้นพบความลับเล็กๆน้อยๆของเพื่อสนิทแล้ว และเพื่อนสนิทผู้นี้ยังปากแข็งไม่ยอมรับอีกด้วย
เรื่องนี้จึงทำให้หลินสวี่เจิ้งต้องกระตุกยิ้มด้วยความสนใจขึ้นมาทันที
“ก็แค่เตือนนายเท่านั้น ว่านายติดหนี้บุญคุณฉันอยู่”
เขาหัวเราะหยอกล้อ มุมปากเผยอขึ้นพร้อมรอยยิ้ม พลางยกแก้วขึ้นมาดื่ม ค่อยๆลิ้มรสจิบไวน์
หานชิงขมวดคิ้ว
“นายพาคนขับรถมาด้วย?”
“เปล่า”
“อย่าหาว่าฉันไม่เตือนล่ะ อย่าเมาแล้วขับ”
หลินสวี่เจิ้งค่อยๆจิบไวน์ต่อ “ฉันยังไม่ความจำเสื่อม ไม่จำเป็นต้องให้นายมาเตือนฉันหรอก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น คิ้วของหานชิงขมวดเข้าหากันมากขึ้น
“ทำไมล่ะ? นายติดหนี้บุญคุณฉันมากขนาดนี้ เดี๋ยวเป็นคนขับให้ฉันสักหน่อยจะเป็นไรไป?”
บุญคุณอีกแล้ว
เมื่อได้ยินคำนี้ หานชิงรู้สึกปวดท้องขึ้นมา แต่ยังคงยกมือขึ้นมานวดระหว่างคิ้วของตัวเอง และก้มหน้าทานอาหารต่อ
หลินสวี่เจิ้งไม่ได้เป็นคนน่าเบื่อขนาดนั้น เตือนตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าติดหนี้บุญคุณเขา เพียงแต่ทำไปแค่หยอกล้อเขาเท่านั้น ในเมื่อเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งหลายปี นี้ถือเป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยปากพูดกับเขา
อีกทั้งเพื่อผู้หญิงเพียงคนเดียว
หลินสวี่เจิ้งเห็นว่าเขาไม่พูดอะไรต่อ จึงดื่มไวน์จนหมดแก้วด้วยความพึงพอใจ จากนั้นค่อยๆรินไวน์ให้ตัวเองจนเต็มแก้ว และค่อยๆแกว่งแก้วไปมา
“พูดมาสิ”
หานชิงยังคงนิ่งเฉย และไม่ตอบอะไรเขา
หลินสวี่เจิ้งพูดต่อ: “ทำไมไม่ยอมพูดล่ะ? ก็ได้ ฉันไม่บังคับ งั้นนายบอกฉันมาดีกว่าว่านายชอบผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม?”
หานชิงเงยหน้าขึ้น สายตามองเขาด้วยความไม่พอใจ
“เป็นคนสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
“น่าเบื่อไง นายก็รู้ดีว่าตอนนี้ฉันกลายเป็นคนว่างงาน ก็แค่อยากรู้เรื่องคนอื่นบ้าง”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา หานชิงเม้มปากขึ้นมาทันที เขากับหลินสวี่เจิ้งรู้จักกันมาตั้งนานแล้ว มีอยู่ช่วงหนึ่งหลินสวี่เจิ้งเคยจะเป็นจะตายเพียงเพราะผู้หญิงคนเดียว เขาไม่รู้เลยว่าจะต้องพูดยังไงกับเพื่อนรักคนนี้ดี
ต่อมาหลินสวี่เจิ้งก็สูญเสียความเป็นตัวเอง ไม่สนใจบริษัท จากนั้นก็ค่อยๆเลอะเลือนขึ้นทุกวัน
โชคดีที่ภูมิหลังครอบครัวและการเงินของพวกเขามีมากมายมหาศาล ดังนั้นไม่ว่าเขาจะขาดสติขนาดไหน ก็ไม่ทำให้เสียผลประโยชน์ของบริษัท
ไม่เช่นนั้น บริษัทก็คงล้มละลายไปตั้งนานแล้ว
“เบื่อนักก็กลับไปบริหารบริษัทสิ”
“ไม่ บริหารบริษัทน่าเบื่อขนาดนั้น สอดรู้เรื่องชาวบ้านยังน่าสนใจกว่าอีก”
แม้ว่าหลินสวี่เจิ้งจะยิ้มอยู่ แต่รอยยิ้มนั้นกลับไม่มีชีวิตชีวา หานชิงรู้ดีว่าแผลในใจของเขายังไม่หายดี จึงไม่ได้พูดอะไร หลังจากนั้นไม่ว่าหลินสวี่เจิ้งจะพูดอะไร หานชิงก็ไม่สนใจอะไรเขาอีก
ต่อมาหลินสวี่เจิ้งก็ดื่มไวน์ต่อ ดื่มจนหานชิงทนดูต่อไปไม่ไหว
“โอเค วันนี้พวกเราพอแค่นี้ก่อน ฉันให้คนขับรถไปส่งนาย”
เมื่อพูดจบ หานชิงก็ลุกขึ้นหยิบสูทของตัวเองมาใส่
หลินสวี่เจิ้งดื่มไปเยอะมาก แต่ยังมีสติดีอยู่ หลังจากที่ภรรยาของเขาเสียชีวิตไป เขาดื่มเป็นเวลานานมากจนชีวิตของตัวเองเหลวแหลกเละเทะไม่เป็นท่า ทุกๆวันใช้แอลกอฮอล์รักษาแผลใจและมอมตัวเอง
ตอนแรกเขาดื่มแอลกอฮอล์ไม่ค่อยเก่งนัก จนฤทธิ์ของแอลกอฮอล์สามารถทำให้เขาสลบไปได้เลย
แต่เมื่อผ่านไปวันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ก็ทำให้เขาสลบไม่ได้อีกแล้ว สำหรับหลินสวี่เจิ้งแล้ว ตอนนี้การดื่มเหล้าก็เหมือนการดื่มน้ำเปล่า
แน่นอนว่า เป็นเพียงแค่เรื่องทางจิตใจ
แอลกอฮอล์ทำให้สุขภาพของเขาทรุดโทรมมาก โดยเฉพาะกระเพาะอาหาร
เพราะการดื่มเหล้า หลินสวี่เจิ้งจึงต้องเข้าโรงพยาบาลหลายต่อหลายครั้ง ทุกครั้งเขาให้ความร่วมมือในการรักษาเป็นอย่างดี แต่ก็ยังคงไม่ยอมเลิกเหล้า
ในขณะที่เขาอยากตายไปพร้อมกับภรรยา ก็กลับรู้สึกเสียดายชีวิตเช่นกัน
เป็นเพียงเพราะว่าชีวิตนี้ของเขาแลกมากับชีวิตของภรรยา
ไม่ว่าเรื่องอะไรที่เกิดขึ้นมาแล้ว ไม่มีวันย้อนกลับไปได้อีก คิดถึงก็มีแต่เจ็บปวด จากนั้นหลินสวี่เจิ้งจึงลุกขึ้นตาม
“โอเค ไปเถอะ ยากนักที่จะให้ประธานหานมาเป็นคนขับรถให้ฉัน เดี๋ยวฉันบอกว่าไปไหน นายห้ามปฏิเสธล่ะ”
หลินสวี่เจิ้งได้คิดเตรียมการไว้ในใจอยู่แล้ว
หานชิงเดินไปเปิดประตูด้วยสีหน้าบึ้งตึง
ทั้งสองเดินเข้าไปในลิฟต์พร้อมกัน จากนั้นกำลังจะขับรถออกไป
คนขับรถรอหานชิงอยู่ด้านล่าง
“ประธานหาน”
“นายขับรถฉันกลับไปก่อน อีกสักพักค่อยไปรับฉันที่เขา”
“รับทราบครับประธานหาน”
หลังจากที่คนขับรถรับคำสั่งจากหานชิงแล้วก็ขับรถออกไปด้วยความรวดเร็ว หลินสวี่เจิ้งหยิบกุญแจออกมาให้หานชิง ทั้งสองเข้าไปในรถพร้อมกัน
“ไปกันเถอะ ไปส่งฉันดูหญิงสาวคนนั้นหน่อย”
เมื่อขึ้นรถไป หลินสวี่เจิ้งก็เข้าไปนั่งตรงที่นั่งข้างคนขับทันที ด้วยท่าทีเมาเละเทะไม่เป็นท่า แต่คำพูดที่ออกมากลับมีสติมากเหลือเกิน
หานชิงที่กำลังขับรถอยู่ หยุดชะงักไปทันที หันไปมองหลินสวี่เจิ้งที่อยู่ด้านข้าง
หลินสวี่เจิ้งกำลังนั่งหัวเราะอยู่
“ทำไมล่ะ? ไม่กล้าไปหรือไง?”
หานชิงเม้มปากอันเรียวบาง หน้าตึงเกร็ง สีหน้าเริ่มเย็นชามากขึ้นเรื่อยๆ
“ผู้ชายแก่อย่างนาย กลัวว่าจะเจอผู้หญิงคนนั้น? หานชิง ฉันรู้จักนายมานานหลายปีขนาดนี้ ทำไมไม่รู้เลยว่านายยังมีเวลาที่ขี้ขลาดขนาดนี้ด้วย?”
หลินสวี่เจิ้งหัวเราะเยาะเขา
ใบหน้าของหานชิงสะท้อนกับแสงอุ่นๆภายในรถเผยให้เห็นถึงใบหน้าที่เย็นชามากขึ้น
“หนี้บุญคุณที่ฉันติดนายไว้ ฉันคืนแน่นอน แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่นายจะมาหยอกล้อฉัน หลินสวี่เจิ้ง ไม่ว่านายคิดจะกลั่นแกล้งฉันยังไง ก็ต้องให้อยู่ในขอบเขต”
“หา? นี่นายโกรธเหรอ?” หลินสวี่เจิ้งส่ายหน้าอย่างจนปัญญา: “น่ากลัวเหมือนกันนะเนี่ย แต่ฉันหลินสวี่เจิ้งได้เห็นเพื่อนสนิทในท่าทางแบบนี้รู้สึกว่าโชคดีมากจริงๆ นายคิดว่าถ้าฉันไปบอกหล่อนว่าเรื่องนี้นายเป็นคนมาขอร้องให้ฉันช่วย หล่อนจะคิดยังไง?”