บทที่1064 ความทรงจำสับสน(2)
พ่อจางตกใจมาก ลุกขึ้นยืนทันที
“ถูกลวกรึเปล่า?”
หานมู่จื่อมองดูฝ่ามือของตัวเอง ใจของหล่อนเต้นรัวมาก
รู้สึกเหมือนมีลางสังหรณ์ไม่ดี
ตรงที่หล่อนอยู่เป็นมุมอับพอดี ไม่เห็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนชั้นสอง ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นที่ชั้นสองงั้นเหรอ?”
พ่อจางก็ได้ยินเสียงเมื่อครู่ เพียงแต่เขายังไม่ทันได้ไปดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น หานมู่จื่อก็ทำน้ำชาหกเสียก่อน ดังนั้นพ่อจางจึงรีบหันไปดึงตัวหานมู่จื่อออกมา
คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาเป็นถึงภรรยาของท่านประธาน ถ้าบาดเจ็บในร้านของลูกสาวเขาขึ้นมา จะทำยังไงล่ะ?
พ่อจางส่ายหน้า: “ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน คงมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น? เดี๋ยวผมขึ้นไปดูสักหน่อย แล้วมือของคุณ…ไปล้างน้ำก่อนไหมครับ? หรือให้ผมบอกเสี่ยวเหยียนไปซื้อยาให้”
“ฉันไม่เป็นไร”
ทันใดนั้น หานมู่จื่อรู้สึกว่าใจเต้นแรงมาก แม้ว่าเย่โม่เซินจะดูปกติดี แต่หล่อนยังคงรู้สึกเป็นห่วง พ่อจางนั่งอยู่กับหล่อนตรงนี้ จึงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น หานมู่จื่อไม่สบายใจ และไม่สนใจเรื่องมือที่โดนน้ำร้อนลวกอีกแล้ว จึงรีบลุกขึ้นทันที
พ่อจางเห็นว่าสีหน้าของหล่อนไม่ค่อยดีนัก จึงลุกขึ้นและพูดว่า: “งั้น…งั้นผมไปกับคุณด้วย”
“ก็ดีค่ะ”
ใครจะไปคิดว่าเมื่อทั้งสองลุกขึ้นเดินขึ้นไปด้านบน ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของหญิงสาวดังขึ้น
“ช่วยด้วย มาช่วยหน่อยค่ะ มีคนเป็นลมค่ะ”
คำพูดนี้ถูกร้องตะโกนออกมาเสียงดัง ราวกับก้อนหินก้อนใหญ่และหนักกดทับไปในใจของหานมู่จื่อ หล่อนตกใจมาก รีบเดินไปดู เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างชัดเจน หล่อนยืนตกตะลึงอยู่ที่เดิมไปในทันที
“ประ…ประธานเย่?? นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?” พ่อจางพูดขึ้นอย่างติดๆขัดๆ ใบหน้าอันหย่อนคล้อยก็ซีดขาวไปทันที
เสี่ยวเหยียนที่กำลังจะออกมาเสิร์ฟอาหาร ก็ได้ยินเสียงนี้เช่นกัน “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
หลังจากที่หล่อนเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าแล้ว สีหน้าซีดไปทันที รีบไปดูหานมู่จื่อ พลางหยิบมือถือขึ้นมา
“มู่จื่อ เธออย่าเพิ่งคิดมากนะ ฉันจะเรียกรถพยาบาลเดี๋ยวนี้”
หานมู่จื่อกลับจับมือของหล่อนไว้ หันไปมองหล่อน “เรียกรถพยาบาลช้าเกินไป ให้เซียวซู่ออกมา พวกเราจะไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้”
“โอเค ฉันจะไปเรียกเซียวซู่ให้”
หลังจากที่หานมู่จื่อคุยกับเสี่ยวเหยียนเรียบร้อยแล้ว จึงรีบเดินขึ้นไปประคองเย่โม่เซิน
เมื่อผู้หญิงที่ช่วยประคองเย่โม่เซินเห็นหานมู่จื่อ สายตายังแฝงไปด้วยความสงสัย มองหล่อนด้วยความลังเล
“ขอบคุณที่ช่วยดูแลเขานะคะ ให้เป็นหน้าที่ฉันต่อนะคะ” หานมู่จื่อเดินเข้าไปประคองเย่โม่เซินออกมา สีหน้าของเย่โม่เซินซีดขาว เหงื่อออกเต็มตัว คิ้วขมวดแน่น เมื่อเห็นก็รู้สึกได้ว่าเขาทรมานมาก
หล่อนเช็ดเหงื่อที่ออกบนหน้าผากเขา และคอยเฝ้าดูเขาอย่างเงียบๆ
แม้ว่าหล่อนจะตกใจจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง สติกระเจิดกระเจิง
ผู้หญิงที่คิดจะทำความรู้จักกับเย่โม่เซินเมื่อครู่ เมื่อเห็นการกระทำของหานมู่จื่อ ก็เข้าใจขึ้นมาทันที
หลังจากนั้นสักพัก เซียวซู่รีบวิ่งขึ้นไปด้านบน “คุณนายน้อย คุณชายเย่เป็นอะไร?”
หานมู่จื่อเงยหน้าขึ้น พูดด้วยเสียงเนิบนิ่ง
“ช่วยฉันประคองเขาขึ้นรถหน่อย พวกเราไปโรงพยาบาลกันเดี๋ยวนี้”
“โอเคครับ”
จากนั้นพวกเขาจึงช่วยประคองเย่โม่เซินลงมา
เสี่ยวหมี่โต้วก็วิ่งออกมาจากในครัว เมื่อออกมาเห็นพ่อของตัวเองถูกเซียวซู่ประคองขึ้นรถ เขารีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว: “หม่ามี๊!”
เมื่อหานมู่จื่อได้ยินเสียงของเสี่ยวหมี่โต้ว จึงหันหลังกลับมามองเขา พูดกำชับด้วยเสียงแผ่วเบา: “เสี่ยวหมี่โต้ว ตอนนี้หม่ามี๊ต้องไปส่งพ่อที่โรงพยาบาล ลูกอยู่ที่ร้านกับน้าเสี่ยวเหยียนก่อนนะ อย่าวิ่งซนไปไหนล่ะ เดี๋ยวอีกสักพักหม่ามี๊โทรหา โอเคไหม?”
แม้ว่าเสี่ยวหมี่โต้วจะเป็นห่วงมาก จนเอ่ยปากพูดออกมาว่าเขาจะไปเอง แต่เขารู้ดีว่าถ้าเขาไป หม่ามี๊ก็ต้องมาดูแลเขาอีก
สุดท้ายเสี่ยวหมี่โต้วจึงทำได้เพียงพยักหน้าลง พูดอย่างน่าเอ็นดู: “โอเคครับ หม่ามี๊ระวังตัวด้วยนะครับ เสี่ยวหมี่โต้วจะรอสายจากหม่ามี๊นะ”
เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นในร้าน เป็นเรื่องที่ทุกคนต่างคิดไม่ถึง ต่อมาหลัวหุ้ยเหม่ยเพิ่งจะรู้ว่าเกิดเรื่องขึ้น เมื่อออกมาดู พวกเขาก็ไปกันแล้ว จากนั้นหลัวหุ้ยเหม่ยก็เห็นลูกสาวของตัวเองเดินกลับมาด้วยความเศร้าเสียใจ
“เหยียนเหยียน เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
หลัวหุ้ยเหม่ยดึงลูกของตัวเองไปถาม
เสี่ยวเหยียนจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้หล่อนฟัง ด้วยความเสียใจ: “หนูก็อยากตามไป แต่หานมู่จื่อไม่ยอม หล่อนให้หนูอยู่ขายของที่ร้าน หล่อนก็ไม่คิดบ้าง เกิดเรื่องขนาดแล้ว จะให้หนูขายของสบายใจได้ยังไง? แม่ ทำยังไงดีคะ?”
หลัวหุ้ยเหม่ยกวาดสายตามองดูลูกค้าที่เหลืออยู่ในร้าน กระพริบตาลง “ถ้าวันนี้ไม่ได้เป็นวันเปิดร้านวันแรก ปิดร้านตอนนี้ก็จบแล้ว แต่ร้านราเม็งนี้ยังต้องเปิดต่อไปนะ ถ้าปิดตอนนี้คงจะ…”
พ่อจางรีบพูดแทรก “ตอนนี้จะไปคิดอะไรมากมายอีก? ประธานเย่ถึงขั้นเข้าโรงพยาบาลแล้ว อีกอย่างวันนี้เขายังมาช่วยงานในร้านอีกตั้งเยอะ ตอนนี้ปิดร้านก่อนก็ไม่เป็นไร ถ้าลูกค้าชอบจริงๆ วันสองวันคงไม่เสียหายอะไร”
เสี่ยวเหยียนพยักหน้าเห็นด้วย
“แม่ หนูก็คิดแบบนี้เหมือนกัน ถ้าอยู่ที่นี่ต่อ หนูทำใจไม่ได้จริงๆ”
หลัวหุ้ยเหม่ย: “ไม่ใช่อย่างนั้น ในร้านยังมีลูกค้าอีกตั้งเยอะ หรือจะไล่พวกเขาออกไปงั้นเหรอ? ตาจางเวลาพูดอะไรช่วยคิดให้รอบคอบก่อนได้ไหม ประธานเย่เข้าโรงพยาบาล พวกเธอร้อนใจ แต่ไม่สนใจคนอื่นกันแล้ว? หัวใจก็คือเลือดเนื้อ คิดว่าฉันเป็นคนใจแข็งมากงั้นเหรอ? ที่สำคัญก็คือถ้าตอนนี้พวกเธอไปโรงพยาบาลแล้วจะมีประโยชน์อะไร? ขนาดมู่จื่อยังฝากเสี่ยวหมี่โต้วไว้กับพวกเรา นี่หมายความว่ายังไง?”
พ่อจาง: “คุณไม่ต้องสนใจว่าเราไปโรงพยาบาลแล้วจะมีประโยชน์หรือไม่ ที่ไปเพราะเป็นการแสดงน้ำใจ”
“พอเถอะ ช่วยอะไรไม่ได้ยังจะพูดถึงเรื่องน้ำใจอีก ไปโรงพยาบาลมีหมออยู่แล้ว และยังมีภรรยาและผู้ช่วยคอยดูแลอยู่ พวกเราอยู่ดูแลเสี่ยวหมี่โต้วให้ดีก็พอ ไม่เช่นนั้นก็ติดป้ายในร้าน อย่างมากก็ไม่ต้องขายแล้ว แต่ตอนนี้จะไล่ลูกค้าออกไปไม่ได้”
ตอนนี้ไป หล่อนก็ช่วยอะไรไม่ได้
แต่หล่อนไม่ไปไม่ได้ จัดการเรื่องในร้านให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยไปแล้วกัน
เมื่อส่งลูกค้าเสร็จแล้ว เสี่ยวเหยียนถอดผ้ากันเปื้อนออกพลางพูดกับเสี่ยวหมี่โต้ว: “เสี่ยวหมี่โต้ว ตอนนี้ดึกแล้ว หนูไม่ต้องไปโรงพยาบาลกับน้าเสี่ยวเหยียนดีกว่านะ”
เสี่ยวหมี่โต้วส่ายหน้า “น้าเสี่ยวเหยียน เสี่ยวหมี่โต้วไม่ง่วง”
ก็จริง พ่อของเขาถึงขั้นเข้าโรงพยาบาลแล้ว เสี่ยวหมี่โต้วยังเป็นเด็กฉลาดอีกด้วย ตอนนี้จะไปนอนหลับลงได้ยังไง พาเขาไปที่โรงพยาบาลด้วยดีกว่า
จากนั้นพ่อจางก็ตามไปด้วย แต่กลับถูกหลัวหุ้ยเหม่ยดึงตัวไว้ก่อน
“วันนี้คุณเพิ่งออกมาจากโรงพยาบาลนะ เดินยังไม่สะดวก ตามพวกเขาไปทำไมกัน? ไปโรงพยาบาลยังต้องให้ลูกสาวมาดูแลอีก จะทำให้วุ่นวายมากขึ้นกว่าเดิมหรือไง?”