บทที่1065 สังเกตอาการ 24 ชั่วโมง
คำพูดนี้ทำให้สีหน้าของพ่อจางไม่พอใจทันที
“ดูคุณพูดสิ ผมไม่เป็นอะไรแล้ว หมอก็เลยให้ผมออกจากโรงพยาบาลไงล่ะ ทำไมไปโรงพยาบาลแล้วต้องให้ลูกมาดูแลงั้นเหรอ? เกิดเรื่องกับประธานเย่ขนาดนี้แล้ว ผมไม่ไปดูได้ยังไง?”
“พอแล้วคุณ ให้ลูกไปดูก็พอ คุณไปก็วุ่นวายเปล่าๆ”
พ่อจาง: “…”
เขาสะบัดมืออย่างไม่พอใจ คิดจะตอบโต้ แต่ก็เกรงใจหลัวหุ้ยเหม่ย
เสี่ยวเหยียนที่อยู่ด้านข้างได้ยินเข้า จึงช่วยพูดโน้มน้าวด้วยเสียงแผ่วเบา
“พ่อ แม่พูดถูกนะคะ ดึกขนาดนี้แล้ว พ่อไปก็คงไม่สะดวก ไปแล้วหนูก็ต้องหาเวลากลับมาส่งพ่อ ถึงตอนนั้นไปกลับก็คงยุ่งยาก ถ้าพ่อเป็นห่วงคุณชายเย่จริงๆ รอพรุ่งนี้ดีกว่าค่ะ คืนนี้กลับไปพักผ่อนก่อนนะคะ พรุ่งนี้ค่อยไปเยี่ยมคุณชายเย่ที่โรงพยาบาล”
เมื่อพูดจบ เสี่ยวเหยียนก็ไม่สนใจว่าเขาจะไม่มีท่าทีตอบโต้ยังไง รีบสะพายกระเป๋าและจูงมือเสี่ยวหมี่โต้ว
“รบกวนพ่อกับแม่ช่วยปิดร้านให้ด้วยนะคะ หนูพาเสี่ยวหมี่โต้วไปโรงพยาบาลก่อน”
เสี่ยวหมี่โต้วหันไปโบกมือให้พ่อจางและแม่ด้วยความน่ารักน่าเอ็นดู
เสี่ยวเหยียนเพิ่งออกจากร้าน กำลังจะโบกรถ กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจะเจอกับเงาของใครบางคนที่คุ้นเคยปรากฏอยู่ตรงหน้า
“เซียวซู่? ทำไมนายมาอยู่ตรงนี้ล่ะ?”
ตอนนี้เขาควรจะอยู่ที่โรงพยาบาลไม่ใช่เหรอ?
เมื่อเซียวซู่ได้ยินเสียงจึงหันหลังกลับมา ริมฝีปากของเขาปรากฏรอยยิ้มอันอบอุ่นขึ้นมา
“รู้ว่าเธอไม่สบายใจ ก็เลยกลับมารับพวกเธอ”
พวกเธอที่เขาหมายถึง ไม่ใช่แค่เธอ ดังนั้นคำพูดนี้จึงทำให้เสี่ยวเหยียนรู้สึกกดดันมากขึ้น ประจวบเหมาะกับตอนนี้ที่หล่อนกำลังรีบไปโรงพยาบาล แต่หล่อนก็ไม่รู้ว่าโรงพยาบาลไหน
มีคนมารับก็ยิ่งดี ไม่ต้องโทรถามด้วย
“ขึ้นรถเถอะ”
หลังจากขึ้นรถไป เสี่ยวเหยียนให้เสี่ยวหมี่โต้วนั่งด้านข้าง ตอนนี้อากาศยังคงหนาวอยู่ หล่อนกลัวว่าเสี่ยวหมี่โต้วจะเป็นหวัด ก่อนออกจากร้านยังตรวจให้เขาอีกหลายรอบ
“ถ้าง่วง หนูก็นอนบนตักของน้าเหยียนก่อนนะ เดี๋ยวถึงแล้วน้าปลุกหนูเอง”
เสี่ยวหมี่โต้วขยี้ตา “น้าเสี่ยวเหยียน ผมไม่ง่วงครับ”
เสี่ยวเหยียนหันไปยิ้มให้เขาอย่างนุ่มนวล จากนั้นลูบหัวเขา “เด็กดี”
หลังจากนั้นสักพักเหมือนหล่อนคิดบางอย่างขึ้นมาได้จึงเงยหน้าขึ้น
“ไม่ใช่สิ นายมาแล้ว ที่โรงพยาบาลก็เหลือเพียงแค่มู่จื่อคนเดียวสิ? หล่อนท้องอยู่นะ ทำไมถึง…”
“ฉันไม่ทำเรื่องอะไรที่ไม่เหมาะสมหรอก ตอนนี้มีคนอยู่เป็นเพื่อนคุณนายน้อย”
ไม่อย่างนั้นฉันจะกล้าออกมาได้ยังไงล่ะ?
เพราะมีคนคอยดูแลคุณนายน้อยอยู่ เซียวซู่จึงกล้าออกมา
มีคนอยู่เป็นเพื่อน?
“ใคร?”
ตอนที่พวกเขาออกมา ก็มีเพียงแค่สามคน เซียวซู่ออกมาแล้ว ยังมีใครอยู่เป็นเพื่อนมู่จื่ออีก?
มีชื่อหนึ่งแวบขึ้นมาในหัวทันที เขาเป็นคนที่เอาใจใส่มาโดยตลอด
เป็นอย่างนั้นจริงด้วย เมื่อเซียวซู่ที่ขับรถอยู่ด้านหน้าได้ยินหล่อนถามเช่นนั้น จึงเงียบไปสักพัก จากนั้นจึงค่อยๆพูดขึ้น
“หานชิง”
หานชิง…
ชื่อนี้เหมือนกับนาฬิกาที่ชนกระแทกเข้าไปในใจของเสี่ยวเหยียน ในขณะเดียวกัน หล่อนก็มองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่พูดอะไรต่อ ตัวเองคิดจะหลีกหนีออกจากชีวิตของเขาแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่า…เดี๋ยวจะต้องเจอกันอีก
แต่ทว่า หล่อนไปหามู่จื่อกับคุณชายเย่ ใครจะอยู่ตรงนั้นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับหล่อน ถึงตอนนั้นหล่อนแสร้งทำเป็นไม่รู้จัก ไม่สนใจ ก็พอแล้ว
พอพูดถึงชื่อนั้นแล้ว ภายในรถก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด เซียวซู่รู้สึกไม่สบายใจ รู้ดีว่าชื่อนั้นมีความหมายที่พิเศษต่อหล่อนมาก
เขาพูดถึงชื่อนั้นทำไมกัน?
แต่…หล่อนเอ่ยปากถามแล้ว เขาจะไม่พูดก็ไม่ได้
เขาโง่เกินไปรึเปล่านะ
สถานการณ์คลุมเครือเช่นนี้จนไปถึงโรงพยาบาล จากนั้นก็นำรถไปจอด
“ฉันพาเธอขึ้นไปด้านบน”
*
“ไม่ต้องกังวล ในเมื่อคุณหมอบอกแล้วว่าตอนนี้เขาไม่เป็นอะไรแล้ว เธอก็สบายใจได้แล้วนะ”
ที่โถงทางเดินด้านนอกโรงพยาบาล หานชิงยังนั่งปลอบใจน้องสาวของตัวเองอยู่
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหานชิง หานมู่จื่อขยับมุมปากเล็กน้อย พยักหน้าลง: “อื้ม”
เมื่อเห็นท่าทางของหล่อน หานชิงจึงขมวดคิ้วขึ้น “ต่อหน้าพี่ชาย เธอไม่ต้องทำเป็นเข้มแข็งหริอฝืนยิ้มก็ได้”
“พี่ ฉันเปล่า ฉันแค่อดเป็นห่วงเขาไม่ได้”
แม้ว่าหมอจะบอกว่าเย่โม่เซินไม่เป็นอะไรมากแล้ว แต่ยังต้องสังเกตอาการอีก24ชั่วโมง อีกทั้งสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือไม่รู้ว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่
สังเกตอาการ24ชั่วโมง หมายความว่ายังไงทุกคนต่างรู้ดี
หรือพูดได้ว่าภายใน24ชั่วโมงนี้ อาการของเย่โม่เซินอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง แต่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นนั้น พวกเขาไม่มีทางรู้ได้
จะดีหรือจะร้าย
เมื่อคิดถึงตอนนั้น หานมู่จื่อก็ปิดตาลง รู้สึกเหนื่อยล้ามากเหลือเกิน
“งั้นเอาแบบนี้ ฉันไปส่งเธอกลับไปก่อน พรุ่งนี้เช้าให้ลุงหนานไปรับเธอมาที่โรงพยาบาล”
“ไม่”หานมู่จื่อส่ายหน้า “ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนเขาที่นี่”
“มู่จื่อ” หานชิงเรียกชื่อหล่อน น้ำเสียงดุดันมากขึ้น: “เธอท้องอยู่นะ อากาศก็เย็น เขาต้องสังเกตอาการ24ชั่วโมง เธอจะคอยเฝ้าเขา24ชั่วโมงจริงเหรอ?”
“อื้ม”
หานมู่จื่อพยักหน้าอย่างไม่ลังเล จนหานชิงโมโห เขาอยากจะพูดบางอย่างต่อ แต่จู่ๆหานมู่จื่อกลับลุกขึ้นก่อน: “ขอโทษนะพี่ แต่ฉันกลับไปไม่ได้จริงๆ พี่ไม่ต้องพูดอะไรกับฉันแล้ว ฉันไปห้องน้ำก่อนนะ”
เมื่อพูดจบหานมู่จื่อก็เดินตรงไปที่ห้องน้ำโดยไม่หันกลับมามองแม้แต่น้อย หานชิงก็ตามหล่อนไปไม่ได้ ทำได้เพียงยืนพิงกำแพงเฝ้ารอให้หล่อนกลับมา
ตึกๆๆ——
เสียงฝีเท้าที่รีบร้อนและรุกรนดังขึ้น
หานชิงหันหน้าไปมอง ทางเดินกว้างใหญ่เมื่อครู่ ตอนนี้มีเงาของคนสามคนเพิ่มขึ้นมา
เดินนำโดยเซียวซู่ และเสี่ยวเหยียนที่เดินจูงมือเสี่ยวหมี่โต้วอยู่ทางด้านหลัง ทั้งสามเดินตรงมาทางด้านที่เขายืนอยู่
แสงไฟดึงเงาของเสี่ยวเหยียนและเซียวซู่เข้าหากัน จากนั้นก็ซ้อนทับกัน
เมื่อเห็นภาพนี้ หานชิงหรี่สายตาอันลึกซึ้งลงทันที
แววตาสะท้อนให้เห็นถึงความโกรธเกลียด แต่ไม่นานนักก็หายไปทันที
เดิมทีเสี่ยวเหยียนคิดวางแผนไว้แล้วว่า ถ้าหล่อนมาถึงก็ทักทายมู่จื่อก็พอ คิดไม่ถึงว่าทางเดินกว้างขนาดนี้จะมีเพียงแค่หานชิงคนเดียว ร่างอันสูงใหญ่ยืนพิงอยู่ที่กำแพง ท่าทางของเขาทำให้รู้สึกได้ถึงความเหงา
หล่อนเหลือบมองเขาแวบเดียวก็เบี่ยงสายตาออก จากนั้นมองหามู่จื่อ
ไม่เห็นมู่จื่อ แต่หล่อนก็ไม่ได้เอ่ยปากถามหานชิง
แต่เสี่ยวหมี่โต้วผู้เฉลียวฉลาด ที่ยืนอยู่ข้างหล่อน ตะโกนเรียกหานชิง: “คุณลุง”
“อื้ม” หานชิงพยักหน้าลง พูดอธิบายขึ้น: “แม่ของหนูเข้าห้องน้ำอยู่”
“คุณลุง พ่อของผมเป็นยังไงบ้างครับ?”
“ยังอยู่ด้านใน ต้องสังเกตอาการ24ชั่วโมง”
น้ำเสียงและอารมณ์ของเราเรียบนิ่งจนไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอารมณ์แบบไหน
สายตาของเซียวซู่หันไปสบตากับหานชิง จากนั้นต่างก็เบี่ยงออกไป หานชิงเม้มปากแน่น ไม่รู้ว่าจะมองไปตรงไหน
บรรยากาศคลุมเครือภายในรถเมื่อครู่ ถูกย้ายมาอยู่ที่ทางเดินอีกครั้ง
เสี่ยวหมี่โต้วมองดูผู้ใหญ่ทั้งสามตรงหน้า รู้สึกเหนื่อยใจเหลือเกิน
ตั้งแต่ครั้งที่แล้วที่เขาทำให้น้าเสี่ยวเหยียนเสียใจ เขาจึงไม่กล้าพูดอะไรหรือทำอะไรตามอำเภอใจอีก เมื่อก่อนเขารู้สึกว่าตัวเองฉลาดมาก แต่ต่อมากลับพบว่า เขาไม่เข้าใจโลกของความรู้สึกผู้ใหญ่เลยสักนิด
นี่ พ่อใจร้าย ยังดีๆอยู่ทำไมเข้าโรงพยาบาลแล้วล่ะ? ตอนนี้หม่ามี๊ก็ไม่อยู่…