บทที่1081 ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ
เมื่อขึ้นไปถึงกลางเขา แผ่นหลังของหานมู่จื่อก็เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อแล้ว
ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นฤดูหนาวที่หนาวเย็น
ตอนขามา เธอยังสวมหมวก ผ้าพันคอ และถุงมือ
แต่พอถึงตอนที่นั่งพักอยู่กลางเขา เสี่ยวเหยียนกับหานมู่จื่อก็ถอดถุงมือกับหมวกออก แม้แต่ผ้าพันคอก็ไม่เว้น
เสี่ยวเหยียนร้อนจนแทบอยากจะถอดเสื้อนอก แต่ถูกเซียวซู่ห้ามไว้ก่อน
“อย่าถอด เธอแค่รู้สึกร้อน แต่อุณหภูมิโดยรอบก็ยังเหมือนเดิม ถ้าเธอถอดเสื้อนอก อากาศเย็นอาจจะเข้าตัวทำให้เป็นหวัดได้”
เสี่ยวเหยียนถูกเขาห้ามไว้ เลยทำท่าเชิดจมูกอย่างไม่สบอารมณ์
“แต่มันร้อนนี่นา ถ้าไม่ถอดเสื้อนอกจะหายร้อนได้ยังไง”
เซียวซู่หยิบผ้าขนหนูสองผืนออกมาจากกระเป๋าเป้ แล้วยื่นไปอีกทาง ก่อนบอกว่า
“ทางนั้นมีห้องน้ำ คุณนายน้อยกับเสี่ยวเหยียนไปเช็ดเหงื่อกันก่อนก็ได้ครับ แล้วค่อยพักกันอีกหน่อย”
หานมู่จื่อยิ้มแล้วรับผ้าขนหนูมาจากมือเขา “ขอบใจนะ”
ต้องบอกเลยว่า เซียวซู่เป็นคนที่ดูแลเอาใจใส่ดีมาก ขนาดเรื่องแบบนี้ก็ยังคำนึงถึง
ยิ่งมอง หานมู่จื่อก็ยิ่งรู้สึกว่าเซียวซู่เป็นคนที่ไม่เลวเลยจริงๆ
เสี่ยวเหยียนไม่รู้จักระมัดระวัง เซียวซู่คงจะดูแลเธอได้เป็นอย่างดี
น่าเสียดาย
ทั้งสองคนจัดการกับเหงื่อบนแผ่นหลังเสร็จ ตอนที่ออกมาอีกครั้ง เซียวซู่ก็หาน้ำร้อนเตรียมไว้ให้พวกเธอแล้ว
“ไม่รู้ว่าเมื่อครู่พวกคุณเป็นยังไงกันบ้าง แต่ยังไงก็ดื่มน้ำร้อนเพื่อขับไล่ความหนาวเย็นหน่อยเถอะครับ”
ตอนที่หานมู่จื่อรับน้ำร้อนมา ก็เหลือบมองเซียวซู่แล้วแววตาลึกซึ้งทีหนึ่ง
ผู้ชายคนนี้พูดได้ว่าเป็นคนละเอียดลออมากจริงๆ
“ขอบใจ”
เสี่ยวเหยียนดื่มน้ำร้อนช้าๆ มองดูนักท่องเที่ยวที่อยู่รอบๆ ก่อนจะถอนหายใจว่า “ฉันนึกว่าฉันพยายามที่สุดแล้ว ตอนที่อยู่ระหว่างทางฉันคิดว่าตัวเองเก่งมาก คิดไม่ถึงเลยว่าพอมาถึงกลางเขา จะเจอคนมากมายขนาดนี้ ถ้าพวกเราไปถึงยอดเขา จะเจอคนมากมายแบบนี้ด้วยหรือเปล่านะ”
หานมู่จื่อเม้มปาก แล้วหัวเราะ “ก็ไม่แน่นะ เพราะคนที่ตั้งใจมานมัสการพระเจ้าคงมีอยู่ไม่น้อย”
ทั้งสามคนนั่งพักอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง เรี่ยวแรงฟื้นกลับมากว่าครึ่งแล้ว เลยเริ่มปีนเขากันต่อ
เพราะว่าเริ่มเข้าใกล้ยอดเขาแล้ว หานมู่จื่อก็เลยรู้สึกว่าใช้พลังกายไปอย่างรวดเร็วมาก ใช้เวลาพักไปตั้งมาก แต่กลับใช้เวลาอดทนเพียงสั้นๆ เธอคิด ถ้าเธอท้องโตกว่านี้อีกไม่กี่เดือน ก็คงปีนไม่ไหวจริงๆ
จนถึงเวลาราวๆห้าโมงเย็น ในที่สุดทั้งสามคนก็มาถึงยอดเขา
ที่จริงไม่จำเป็นต้องใช้เวลายาวนานขนาดนี้ แต่เพราะระหว่างทางแรงกายของหานมู่จื่อกับเสี่ยวเหยียนไม่เพียงพอ เลยหยุดพักกันอยู่หลายครั้ง หลายครั้งรวมๆกัน ก็เลยกินเวลามากขนาดนี้
“อีกเดี๋ยวถ้าเข้าไปแล้ว ถ้าเธอไม่อยากกราบไหว้ ก็คอยตามฉันก็พอ อย่าเถลไถลนะ”
ก่อนเข้าไปจุดธูป หานมู่จื่อก็กำชับเสี่ยวเหยียนที่อยู่ข้างๆ
คนที่มานมัสการที่ภูเขาหลิงหยุนมีอยู่มากมาย แต่ทุกคนต่างก็ให้ความเคารพมาก ไม่มีใครทำสีหน้าดูหมิ่นหรืออย่างอื่นเลย ต่างก็เคร่งขรึมจริงจังกันมาก
ตอนที่ถึงคิวของหานมู่จื่อ เธอคุกเข่าลง ตั้งใจสวดภาวนา เสี่ยวเหยียนเลียนแบบอยู่ข้างๆ ท่าทางจริงจัง
“เธอเคยเสี่ยงเซียมซีใช่ไหม รู้ใช่ไหมว่าต้องทำยังไง”
เสี่ยวเหยียนพยักหน้าตอบ
“รู้”
ตอนเด็กๆหลัวหุ้ยเหม่ยเคยพาเธอไปนมัสการแล้วเสี่ยงเซียมซีอยู่ครั้งหนึ่ง หลัวหุ้ยเหม่ยมักจะพูดสิ่งที่ตัวเองปรารถนาออกมาก่อน แล้วค่อยขอเซียมซี
“งั้นก็ดี”
หานมู่จื่อหลับตาขณะขอเซียมซี กระบอกเซียมซีเขย่าเบาๆอยู่ในมือเธอ ผ่านไปครู่หนึ่ง ไม้เซียมซีอันหนึ่งก็ราวกับได้รับพลังชีวิต แล้วหลุดออกมาจากกระบอกเซียมซี
หานมู่จื่อหยิบไม้เซียมซีขึ้นมาดู จำเลขที่อยู่บนไม้ก่อนจะหย่อนลงกระบอกเซียมซี แล้วยกมือไหว้
พอถึงคราวของเสี่ยวเหยียนบ้าง เธอก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
ตอนที่เธอได้ยินว่าหานมู่จื่อจะมา ก็รู้สึกว่าในใจเธอก็มีสิ่งที่ปรารถนาเหมือนกัน ก็เลยอยากตามมาด้วย สิ่งที่ปรารถนาลึกๆในใจ เธอรู้ดีว่ามันคืออะไร
แต่ตอนที่จะเขย่าเซียมซีจริงๆ เสี่ยวเหยียนก็เริ่มรู้สึกว่ามันไร้สาระ พระพุทธเจ้าจะได้ยินคำสวดภาวนาของเธอจริงๆหรือ ?
ไม่มีทาง……
พระพุทธเจ้าจะช่วยให้เธอสมหวังกับเรื่องไร้สาระแบบนี้หรือ
แล้วอีกอย่าง เธอก็ตัดสินใจจะยอมแพ้เรื่องเขาแล้วด้วย
แล้วทำไมถึงยอมมาถึงที่นี่เพื่อเขาอีก
“เหม่ออะไรเหรอ” หานมู่จื่อเห็นเสี่ยวเหยียนยืนทื่ออยู่กับที่ ก็เลยยื่นมือออกไปดันเธอเบาๆทีหนึ่ง
เสี่ยวเหยียนได้สติกลับมา ก็เลยเข้าไปคุกเข่ากราบไหว้ จากนั้นก็หยิบกระบอกเซียมซีขึ้นมา
ยังไงก็อย่าทำเรื่องไร้สาระดีกว่า
“ข้าพเจ้าจางเสี่ยวเหยียน……”
เสี่ยวเหยียนท่องชื่อตัวเองในใจ แต่จากนั้นก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ในหัวเธอสับสนไปหมด พร้อมกับเขย่ากระบอกเซียมซีไปด้วย
ครืด——
แล้วจู่ๆก็หลุดมือ ทำเอาไม้เซียมซีร่วงลงมาจากกระบอก เต็มพื้นไปหมด
เสี่ยวเหยียนตกใจ ลืมตาขึ้นมาทันที จ้องมองทุกสิ่งตรงหน้าที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด
หานมู่จื่อที่อยู่ข้างๆก็ตกใจไปด้วย คิดไม่ถึงว่าจู่ๆจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เธอรีบคุกเข่าลงไปแล้วช่วยเสี่ยวเหยียนเก็บไม้เซียมซีลงในกระบอก จากนั้นก็ส่งสายตาให้เสี่ยวเหยียนไปด้วย
“ตั้งใจหน่อย”
“ขอโทษนะ ขอโทษ……” เสี่ยวเหยียนพูดขอโทษหลายคำ วางกระบอกเซียมซีลงแล้วยกมือไหว้ สูดหายใจเข้าลึก แล้วทำให้จิตใจตัวเองสงบลง
“ข้าพเจ้าจางเสี่ยวเหยียน……”
ผ่านไปสิบวินาที ไม้เซียมซีอันหนึ่งก็หล่นลงพื้น
เสี่ยวเหยียนเก็บขึ้นมาจำตัวเลข จากนั้นก็ลุกขึ้น แล้ววางกระบอกเซียมซีให้คนอื่นต่อ
ออกจากตัวโบสถ์ หานมู่จื่อก็หันไปมองเธออย่างห่วงใย
“เธอเป็นอะไรไป จิตใจไม่สงบเหรอ”
“ฉันไม่เป็นไร เมื่อกี้แค่จู่ๆก็มือสั่นนิดหน่อย……”
หานมู่จื่อเม้มปาก มองดูสีหน้าซีดเผือดของเธอ แล้วไม่ได้ถามอะไรต่ออีก
ภายในใจของแต่ละคนต่างก็มีความลับเล็กๆที่ไม่อยากให้ใครรู้ ไม่ว่าใครก็เหมือนกัน แล้วเธอจะไปเค้นถามไปเพื่ออะไร
คนที่แจกใบเซียมซีคือพระสูงอายุรูปหนึ่ง สวมจีวรพระ ท่าทางสูงส่ง
หานมู่จื่อบอกเลขเซียมซีของตัวเองออกไป
พระสูงอายุยื่นใบเซียมซีมาให้เธอ จ้องเธออยู่นานก่อนจะพูดขึ้นว่า
“เซียมซีของท่านคือเซียมซีมหาเฮง เรื่องที่ภาวนาไว้ขอแค่จิตใจมุ่งมั่น จะต้องสำเร็จแน่นอน”
เมื่อได้ยินแบบนั้น แววตาของหานมู่จื่อก็เป็นประกายทันที เธอยิ้มกว้าง แล้วโค้งคำนับพระสูงอายุ “ขอบคุณพระอาจารย์มากค่ะ”
“ท่านผู้นี้ ?”
สายตาของพระสูงอายุเลื่อนไปอยู่ที่เสี่ยวเหยียนที่ยืนอยู่ข้างๆและกำลังทำสีหน้าเลิ่กลั่ก
เสี่ยวเหยียนได้สติกลับมา ก่อนจะเปิดปาก บอกเลขเซียมซีของตัวเองออกไป
เลขเซียมซีของเธอ ดูเหมือน……จะไม่ค่อยดี
หลังจากที่พระสูงอายุยื่นใบเซียมซีมาให้เธอแล้ว น้ำเสียงก็ทุ้มต่ำลงหลายระดับ
“เซียมซีใบนี้……”
เสี่ยวเหยียนเม้มริมฝีปากล่าง เซียมซีของเธอคือมหาซวย
แต่จู่ๆพระสูงอายุก็เปลี่ยนคำพูด “ท่านอย่าได้เป็นกังวลเกินไปเลย ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ มนุษย์นั้นกำหนดชะตาฟ้าลิขิตได้”
เสี่ยวเหยียนรู้สึกว่าคำพูดพวกนี้เป็นเพียงคำปลอบใจจากพระสูงอายุ ในใจรู้สึกเสียใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีของผู้อื่น เธอพยายามเค้นรอยยิ้มออกมาแล้วโค้งคำนับให้พระสูงอายุ “ขอบคุณพระอาจารย์มากค่ะ ฉันจะจำคำพวกนี้เอาไว้”
ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ มนุษย์นั้นกำหนดชะตาฟ้าลิขิตได้
คำพวกนี้ เมื่อก่อนเสี่ยวเหยียนก็เคยเชื่อมาตลอด ขอแค่ตัวเองมุ่งมั่นพยายามในสิ่งที่ตัวเองปรารถนา จะต้องมีสักวันที่สำเร็จได้
แต่กับเรื่องบางเรื่อง ก็อาจจะไม่เป็นแบบนั้น