บทที่1082 มีสิ่งที่ปรารถนา
ตอนที่ทั้งสองคนเดินออกมา เซียวซู่ก็รออยู่ด้านนอกแล้ว เห็นทั้งสองคนเดินออกมา ก็เดินเข้าไปยื่นน้ำดื่มให้
“คุณนายน้อย เป็นยังไงบ้างครับ”
หานมู่จื่อยิ้มแล้วพยักหน้า แต่ก็เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว เลยหันไปมองเสี่ยวเหยียนที่ยืนอยู่ข้างๆทีหนึ่ง และเซียวซู่ก็เข้าใจได้ทันที
“พวกเธออย่ามองฉันสิ ยังไงฉันก็แค่ขอไปเรื่อยเปื่อย อีกอย่างเมื่อกี้ฉันก็ไม่ระวังทำไม่เซียมซีหล่นกระจาย อาจจะทำให้พระพุทธเจ้าโกรธเข้าก็ได้” น้ำเสียงเสี่ยวเหยียนเศร้าสร้อย ฟังแล้วรู้ได้เลยว่าเธอกำลังหดหู่มาก
เธอก้มหน้า ไม่มีท่าทางโกรธเคืองหรือไม่พอใจใดๆเลย
เซียวซู่รู้สึกว่า ถ้าเธอเป็นสัตว์ตัวหนึ่ง ตอนนี้ใบหูทั้งสองข้างคงลู่ลง เพียงแค่คิดก็ทำให้รู้สึกเห็นภาพ เซียวซู่แทบจะรู้สึกได้เลยว่าตัวเองยื่นมือไปดึงใบหูคู่นั้น
แน่นอนว่าในความเป็นจริงนั้น เขาไม่มีใบหูที่สามารถดึงได้
แต่ว่า……เขากลับอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไป มือใหญ่วางลงบนศีรษะของเสี่ยวเหยียนเบาๆ
“แค่เซียมซีครั้งเดียวยังทำให้เธอจิตตกขนาดนี้ได้ เรื่องที่ยังไม่รู้ ถ้าเธอไม่ลองพยายามดูแล้วจะสำเร็จได้ยังไง”
เสี่ยวเหยียนกำลังจะถลึงตาใส่เขา แต่สายตากลับเหลือบไปเห็นใบสีชมพูในกระเป๋าเสื้อเขาเสียก่อน เธอยื่นมือออกไปดึงทันทีโดยสัญชาตญาณ
ใบเซียมซีของเซียวซู่ก็เลยถูกเธอคว้าไปอยู่ในมือทั้งอย่างนั้น
“หา นี่นายก็ไปเสี่ยงมาด้วยเหรอ”
หานมู่จื่อที่อยู่ข้างๆ “……”
รู้สึกเหมือนค้นพบเรื่องที่ไม่สมควรเข้าแล้ว
ก่อนจะเข้าไป เซียวซู่ทำท่าเหมือนตัวเองไม่อยากเข้าไปแท้ๆ คิดไม่ถึงว่าเขาจะแอบ……
เมื่อถูกเผยไต๋ เซียวซู่ก็รู้สึกเลิ่กลั่กเล็กน้อย แล้วก็แอบเหงื่อตกด้วย
แต่สถานการณ์ตอนนี้ก็ปฏิเสธไม่ได้แล้ว
เขาเลยทำได้แค่พยักหน้ายอมรับ “ใช่ เดิมทีฉันไม่ได้อยากเข้าไป แต่ว่ารออยู่ด้านนอกก็เบื่อๆ ดังนั้น……ฉันก็เลยเข้าไปเสี่ยงมาใบหนึ่ง”
เสี่ยวเหยียนไม่สนใจสิ่งที่เขาพูด แล้วเปิดใบเซียมซีของเขาออกมาดูแล้ว
ตอนที่เห็นใบเซียมซีของเขาเป็นมหาซวยเหมือนตัวเอง ก็มีรอยยิ้มผุดขึ้นมาบนใบหน้าทันที
“ฉันก็ว่า ทำไมจู่ๆนายถึงมาปลอบฉัน คิดว่าตอนที่นายกำลังปลอบใจฉันในขณะเดียวกันก็ปลอบใจตัวเองด้วยสินะ ได้มหาซวยเหมือนกับฉันแบบนี้ ฉันว่านะเซียวซู่ นายขอเรื่องอะไรกันแน่เหรอ”
เซียวซู่จ้องมองเธอ ไม่พูดอะไร
“มหาซวย พระสูงอายุคนนั้นบอกนายว่ายังไงเหรอ ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ มนุษย์นั้นกำหนดชะตาฟ้าลิขิตได้ใช่ไหม”
เสี่ยวเหยียนพูดพร้อมเงยหน้าขึ้น แต่กลับสบเข้ากับสายตาของเซียวซู่ แววตานั้นลุ่มลึก แผดเผาใบหน้าเธอราวกับเปลวเพลิง
ใจของเสี่ยวเหยียนกระตุกวูบ นี่เซียวซู่……
เธอสับสนอยากจะเข้าไปหาหานมู่จื่อที่อยู่ข้างๆ
แต่หานมู่จื่อก็เหมือนจะรับรู้ว่าจะต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เลยหลบไปดื่มน้ำอยู่อีกทางก่อนแล้ว
“ฉันขออะไร เธอน่าจะรู้ดีนะ”
ในขณะที่หัวใจของเสี่ยวเหยียนเต้นรัวอย่างคลุ้มคลั่ง เซียวซู่ก็เปิดปากพูดขึ้นเรียบๆ
“เธอขอเรื่องอะไร ฉันก็รู้ดี แต่ก็เห็นได้ชัด ว่าเซียมซีที่พวกเราได้ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างใจ ดูท่า…… สภาพแบบนี้คงจะดำเนินต่อไปอีกสักระยะสินะ แต่ว่าฉันเชื่อ ขอแค่ฉันพยายามอีกสักนิด เธอก็คงจะกลายเป็นของฉัน”
เธอเป็นของฉัน……
เธอเป็นของฉัน……
เสี่ยวเหยียนกะพริบตาปริบๆ พร้อมกับก้าวถอยหลัง จากนั้นเธอก็คิดอะไรขึ้นมาได้ เลยยัดใบเซียมซีใส่อกของเซียวซู่ แล้วพูดอย่างแตกตื่นว่า
“ใครจะเหมือนนายที่นายสมองมีแต่เรื่องแบบนั้นกัน สิ่งที่ฉันขอไม่ใช่เรื่องเดียวกับนายสักหน่อย ส่วนฉันจะขอเรื่องอะไร ฉันก็ไม่มีทางบอกนายหรอก!”
พูดจบ เสี่ยวเหยียนก็วิ่งหนีทันที
เซียวซู่มองส่งเธอที่วิ่งหนีไปพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก
หานมู่จื่อกำลังดื่มน้ำ ตอนที่เสี่ยวเหยียนวิ่งมาถึงข้างตัวเธอ ในสายตาเธอก็มีแววขบขัน จากนั้นเธอก็ได้ยินเสี่ยวเหยียนเริ่มบ่นให้เธอฟัง
“มู่จื่อ พวกเรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันใช่ไหม”
“ใช่สิ ทำไมจะไม่ใช่ล่ะ”
“แล้วทำไมตอนที่เพื่อนกำลังลำบาก เธอถึงทิ้งฉันล่ะ แล้วยังมานั่งดื่มน้ำอย่างสบายใจคนเดียวอยู่ตรงนี้อีก เธอมันไร้น้ำใจที่สุด”
“เพื่อนกำลังลำบาก ?” หานมู่จื่อหันหน้าไป ดวงตาคู่สวยเต็มไปด้วยแววขบขัน “ฉันมองไม่เห็นเรื่องลำบากนะ เห็นแค่ผู้ชายคนหนึ่งเท่านั้น ในฐานะเพื่อนที่ดีของเธอ ตอนเธอกำลังมีคนมาจีบ ฉันก็ต้องเว้นระยะห่างให้พวกเธอมีพื้นที่ส่วนตัวกันสิ”
เสี่ยวเหยียน “……”
เธอเบ้ปากอย่างขุ่นเคือง
“มาจีบอะไรกัน ฉันไม่ต้องการคนมาจีบสักหน่อย ต่อไปฉันต้องพยายามทำงานเพื่อเตรียมเปิดร้านต่างหาก ฉันไม่จำเป็นต้องให้คนมาจีบหรอก”
หานมู่จื่อยิ้มบางไม่พูดไม่จา
“แต่เขาก็ได้มหาซวย จู่ๆก็รู้สึกว่าเขาเองก็ซวยเหมือนกับฉัน ฉันไม่ใช่คนที่ซวยที่สุดอีกต่อไปแล้ว”
“ใช่สิ พวกเธอสองคนดวงสมพงศ์กันมากนะ เธอได้มหาซวย เลยเสียใจมาก เขาเองก็ได้มหาซวย เลยมาปลอบใจเธอได้พอดีเลยไง”
เสี่ยวเหยียน “……ดูเธอสิ วกเข้ามาเรื่องนี้อีกแล้ว มู่จื่อเธอนี่ยิ่งอยู่ก็ยิ่งร้ายกาจแล้วนะ”
“จริงเหรอ ?”
“หึ ตัวเธอเองยังไงก็ไม่มีทางยอมรับหรอก” เสี่ยวเหยียนพูดอย่างขุ่นเคือง
“เอาเถอะ อย่าโมโหเลย พวกเราต้องเตรียมตัวลงจากเขาแล้ว”
หานมู่จื่อหันไปมองท้องฟ้าที่กำลังมืดลง คิดคำนวณว่าพอถึงตีนเขาก็คงดึกแล้ว แต่ตอนที่เธอขึ้นมาก็เห็นว่าสองข้างทางมีไฟถนนด้วย อีกอย่างตอนลงเขาคงเร็วกว่าตอนปีนขึ้นมา น่าจะถึงได้ภายในเวลาครึ่งชั่วโมง
“อืม เธอไม่พักอีกสักหน่อยเหรอ เธอดูไม่มีปัญหาอะไรตลอดทางที่มา แต่ยังไงเธอก็เป็นคนท้อง เธอคงไม่ได้ฝืนทนอยู่ใช่ไหม” เสี่ยวเหยียนมองเธอด้วยสายตาห่วงใย กลัวว่าหานมู่จื่อจะรู้สึกไม่สบายตรงไหน แต่ไม่พูดออกมา แล้วฝืนเก็บมันไว้ในใจคนเดียว
“วางใจเถอะ เธอดูสภาพฉันสิ เหมือนคนกำลังมีปัญหาเหรอ หรือว่า เธออยากให้ฉันมีปัญหากัน”
“ถุย!” เสี่ยวเหยียนตัดบทเธออย่างหยาบคาย “พูดบ้าอะไร ฉันจะไปอยากให้เธอมีปัญหาได้ยังไง ฉันหวังให้เธออยู่ดีมีสุข ไร้ทุกข์ไร้โศก”
ทั้งสองคนกำลังคุยกัน แล้วเซียวซู่ก็เดินเข้ามา
“คุณนายน้อย พักผ่อนเพียงพอแล้วใช่ไหมครับ พวกเราต้องเตรียมตัวลงจากเขาแล้ว”
เมื่อเห็นเซียวซู่ เสี่ยวเหยียนก็นึกถึงคำพูดที่เขาพูดเมื่อครู่ สีหน้าเลยบิดเบี้ยวเล็กน้อย กระแอมเบาๆทีหนึ่ง ก่อนจะหันหน้าไปทางอื่น
เห็นท่าทางที่กำลังงอนของเสี่ยวเหยียน หานมู่จื่อก็ยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “พักผ่อนพอแล้ว พวกเราลงเขากันเถอะ”
เสี่ยวเหยียนลุกขึ้นตามหานมู่จื่อ ตอนปีนเขาคอยประคองกันอย่างไร้เรี่ยวแรง แต่ตอนลงเขาเสี่ยวเหยียนกลับเดินตามติดหานมู่จื่อ แล้วทิ้งเซียวซู่ไว้ห่างๆ
พอถึงครึ่งทางฟ้าก็มืดแล้ว ไฟถนนก็สว่างขึ้น
มีคนลงเขาอยู่เยอะพอสมควร ตอนที่ลงมาถึงตีนเขาเสี่ยวเหยียนก็กุมท้องตัวเอง “หิวแล้ว พวกเรากลับไปกินข้าวกันเถอะ”
ทุกคนกลับไปที่โรงแรม หลังจากทานข้าวแล้วก็แยกย้ายกันกลับไปพักผ่อนที่ห้องของตัวเอง หานมู่จื่อพักอยู่ห้องเดียวกับเสี่ยวเหยียน เมื่ออาบน้ำเสร็จเธอก็โทรไปรายงานกับส้งอานว่าเธอปลอดภัยดี จากนั้นก็ถามไถ่เรื่องของเย่โม่เซิน
“เธอวางใจเถอะ คืนนี้เธอพักผ่อนให้เต็มที่ พักผ่อนแล้วค่อยกลับมาพรุ่งนี้ โม่เซินทางนี้ไม่มีเรื่องอะไรหรอก เดี๋ยวน้าจะช่วยดูแลเขาให้เป็นอย่างดีเอง”
“ขอบคุณค่ะคุณน้า รบกวนด้วยนะคะ พรุ่งนี้ฉันก็กลับแล้วค่ะ”