บทที่1086 เมื่อก่อนเย่โม่เซินเป็นไอ้คนเลว
เพิ่งจะสิ้นเสียง ส้งอานก็ส่งสายตาไม่พอใจไปทางหานมู่จื่อทีหนึ่ง
“มู่จื่อ เธอไปตามใจเขาแบบนั้นทำไม ถ้าจะเอาใจก็ควรเป็นเขาเอาใจเธอสิ เธอเป็นผู้หญิงนะ!”
ส้งอานกุมขมับ รู้สึกเป็นห่วงอนาคตสถานะในบ้านของหานมู่จื่อเป็นอย่างมาก
ถ้าผู้หญิงเป็นฝ่ายอ่อนข้อ เธอก็จะถูกเอารัดเอาเปรียบไม่ใช่หรือ
แสงไฟตกกระทบบนใบหน้าหล่อเหลาของเย่โม่เซิน ริมฝีปากบางโค้งขึ้น
“คุณน้ากังวลอะไรครับ เขาตามใจผม แล้วคิดว่าผมจะรังแกเธอหรือไง”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ส้นอานก็กลอกตาใส่เขา
“คิดว่านายรังแกเธอน้อยนักหรือไง เมื่อก่อนนายเอาแต่รังแกเธอมาตลอดเลยนะ คนอื่นเขาเป็นผู้หญิงที่แสนดีขนาดนั้น……ก็เพราะมู่จื่อแหละที่ซื่อ ถึงได้ยอมทนอยู่กับนายแบบนี้”
ส้นอานว่าเขายกใหญ่ โดยไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย ต่อให้เลวยังไงก็ยังเป็นหลานชายของตัวเอง แล้วมู่จื่อก็แสนดีขนาดนั้น หลานชายของตัวเองเทียบชาวบ้านเขาไม่ติดเลยแม้แต่ปลายเล็บ
เธอยิ่งพูด คิ้วของเย่โม่เซินก็ยิ่งขมวดแน่นกว่าเดิม
เรื่องราวเมื่อตอนนั้นแวบผ่านเข้ามาในหัวเขาเป็นฉากๆอย่างรวดเร็ว ชัดเจนราวกับวันวาน
เขา ช่างเป็นคนที่เลวจริงๆ
ส้งอานเห็นเขาขมวดคิ้ว ก็คิดว่าเขาไม่พอใจที่ตัวเองวิจารณ์เขา เลยยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่
“ทำไม น้าพูดแค่ไม่กี่คำนายก็ไม่พอใจแล้วเหรอ ฉันจะบอกนายนะ ถ้าต่อไปนายยังรังแกมู่จื่ออีก ก็อย่าหาว่าฉันไม่เตือนหลายชายอย่างนายนะ”
หานมู่จื่อถูกส้งอานล้อจนกลั้นไม่อยู่ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มกว้าง
“คุณน้าคะ เขาเพิ่งจะตื่นขึ้นมาเอง คุณก็อย่า……”
“ฉันผิดไปแล้ว”
จู่ๆชายหนุ่มก็พูดขอโทษขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ทำเอาหานมู่จื่อกับส้งอานปรับตัวแทบไม่ทัน แล้วหันไปมองเย่โม่เซินอย่างไม่เข้าใจ
แววตาของเย่โม่เซินลุกโชนราวกับเปลวไฟ จ้องเขม็งไปทางหานมู่จื่อ
สายตานั้นทั้งมุ่งมั่นและจริงจัง ภายในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกที่อัดแน่น รอยยิ้มมุมปากของหานมู่จื่อค่อยๆจางไป สีหน้าถูกแทนที่ด้วยความเคร่งขรึมเล็กน้อย
“คุณ……”
เธอเปิดปากพูดด้วยเสียงแหบพร่า แต่ว่าก็ไม่กล้าพูดสิ่งที่อยากจะพูดออกมา เพราะกลัวว่าจะไปสะกิดจุดของอีกฝ่ายเข้า เลยทำได้แค่คอยเฝ้าสังเกตดูอย่างระมัดระวัง
ขนาดส้งอานที่อยู่ข้างๆเองก็ยังสัมผัสได้ถึงบางอย่าง รู้สึกว่าบรรยากาศภายในห้องผู้ป่วยเริ่มอึดอัดขึ้น เธอขมวดคิ้วแต่ไม่ได้พูดอะไร
“อืม”
ตอนที่หานมู่จื่อคอยเฝ้าสังเกตด้วยความไม่มั่นใจนั้น เย่โม่เซินก็พยักหน้าเบาๆ แล้วพูดขึ้นเรียบๆว่า “ฉันจำได้หมดแล้ว”
เรื่องทุกอย่าง เขาจำมันได้หมดแล้ว
ขณะนั้น เขารู้สึกเหมือนกับได้ย้อนเวลากลับไป เรื่องราวทุกอย่างวนเวียนเข้ามาในหัวเขาอีกรอบ ราวกับได้เข้าไปในความฝันของทั้งสามชาติที่ผ่านมา
เขารู้สึกว่าทุกสิ่งที่อยู่ในความฝันนั้นไม่ใช่ความจริง เพราะทุกครั้งที่เกิดเรื่องขึ้น เขาก็รู้สึกว่ามันเป็นเหตุการณ์ที่เขาเคยผ่านมาแล้ว เขาจะมาเสียเวลาอยู่ที่นี่ไม่ได้ เขาจะต้องไปหาผู้หญิงที่รอเขาอยู่ในอนาคต
ภายในความฝัน บางครั้งเย่โม่เซินก็จะได้ยินเสียงบ่นพึมพำแผ่วเบา อยู่ใกล้เขามาก แต่ก็เหมือนเสียงที่มาจากฟากฟ้า
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ตื่นขึ้นมาได้แล้ว จำเรื่องทุกอย่างได้แล้ว ผู้หญิงที่ตัวเองรักก็ยืนอยู่ตรงหน้าตัวเองแล้ว
ภายในห้องผู้ป่วยเงียบจนน่าประหลาด
“เย่โม่เซินคนก่อนของเธอคือไอ้เลวคนหนึ่ง ต่อไปจะไม่มีอีกแล้ว จะไม่มีวันมีอีก”
หานมู่จื่อเริ่มรู้สึกคัดจมูก เธอกัดริมฝีปากล่างของตัวเองแน่น มือที่แนบอยู่ข้างตัวก็เริ่มกำแน่น
เขาจำทุกอย่าง……ได้แล้วจริงๆสินะ
เธอยังคิดอยู่เลยว่า จำไม่ได้ก็ช่าง ยังไงสำหรับเธอแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความรู้สึกระหว่างทั้งสองคน ไม่ใช่ความทรงจำที่เคยมีร่วมกันเหล่านั้น
แต่คิดไม่ถึงเลย ว่าในช่วงที่เขาหลับอยู่นั้น เขาจะจำเรื่องราวทั้งหมดได้แล้ว
“เธอยินยอมที่จะมอบชีวิตที่เหลือ ให้กับคนเลวคนนี้ไหม ให้เขาได้ชดใช้ให้เธอตลอดชีวิต ปกป้องเธอตลอดไปไหม”
นัยน์ตาของหานมู่จื่อรื้นไปด้วยน้ำตา จนแทบจะมองผู้ชายตรงหน้าได้ไม่ชัดแล้ว
ส้งอานที่อยู่ด้านข้าง “……”
เธอคิดว่าตัวเองฟังผิดไปเสียอีก นี่เย่โม่เซินกำลังขอแต่งงานอยู่หรือ ?
แถมยังอยู่ในโรงพยาบาลอีกด้วย ?
“เจ้าเด็กบ้า ฉันขอเตือนนายนะว่าอย่าทำเกิน……”
“ได้”
ส้งอานยังไม่ทันได้พูดจบ หานมู่จื่อที่อยู่ข้างๆเธอก็ยิ้มแล้วพยักหน้า น้ำตาก็ร่วงลงมาตามแล้ว
ส้งอานมองเธอด้วยความประหลาดใจ
“มู่จื่อ เธอไปตอบรับเขาทำไม เจ้าเด็กนี่มันไม่มีความจริงใจเลยสักนิด…….”
หานมู่จื่อหัวเราะแล้วก็ร้องไห้ไปพร้อมกัน เย่โม่เซินลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบากแล้วเดินมาทางเธอ กลิ่นอายอันหนักแน่นของชายหนุ่มโอบล้อมเข้ามาทันที เขายกมือขึ้นเช็ดคราบน้ำตาให้หานมู่จื่อ
แต่เพราะหานมู่จื่อตื่นเต้นมากเกินไป น้ำตาก็เลยไหลออกมาเป็นสาย แบบไม่มีท่าทีว่าจะหยุด
เย่โม่เซินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เลยก้มหน้าลงจูบที่หางตาของเธอ เพื่อช่วยเธอหยุดน้ำตาเอาไว้
ส้งอาน “……”
เอาเถอะ วันนี้เธอคงมาเพื่อนกินอาหารความรักจริงๆ
แต่เพราะเห็นแก่หลานชายที่พึ่งจะตื่นขึ้นมา ก็เลยปล่อยให้เขาทำต่อไป
*
ในวันนั้นหลังจากตรวจเช็กแล้ว ไม่พบความผิดปกติใดๆ ทางโรงพยาบาลก็เลยจัดการนัดวันให้เข้ามาตรวจร่างกายอีกครั้งเท่านั้น
เพราะว่าเย่โม่เซินพึ่งจะตื่นขึ้นมา ดังนั้นยู่ฉือก็เลยตั้งใจว่าจะจัดงานเลี้ยงฉลอง และรับเชิญแค่มิตรสหายคนสนิทเท่านั้น
ดังนั้นคนที่มาในวันงานจึงมีแค่ ครอบครัวของเสี่ยวเหยียน หานชิง เซียวซู่ ส้งอาน เพราะว่าคนค่อนข้างน้อย ดังนั้นหานมู่จื่อก็เลยเชิญนักออกแบบที่บริษัทของเธอมาเข้าร่วมด้วย
เมื่อนักออกแบบที่รวมตัวกันเป็นกลุ่ม ได้รู้จักตัวตนและฐานะของยู่ฉือจินแล้ว ต่างก็อึ้งกิมกี่กันไปเลย
เลิงเยาเยาโห่ร้องออกมา “เทพธิดาของฉันช่างเก่งกาจจริงๆ ตัวเองยอดเยี่ยมยังไม่พอ คนที่เจอก็ยังยอดเยี่ยมขนาดนี้ โอ้โห ฉันก็ต้องพยายามทำให้ตัวเองยอดเยี่ยม แล้วไปหาคนที่ยอดเยี่ยม!”
หวังอานที่อยู่อีกข้างพอได้ยินคำพูดประโยคนั้นแล้วก็ร้อนรนขึ้นมา
“ถ้าอย่างนั้นก็จะพยายาม เป็นคนที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าเธอ”
ส่วนอีกด้านนั้น
เสี่ยวเหยียนอยู่กับหานมู่จื่อ แล้วเริ่มเอ่ยถามขึ้น
“ฉันได้ยินว่าวันนั้นพอคุณชายเย่ตื่นขึ้นมาก็ขอเธอแต่งงานในโรงพยาบาลเลยเหรอ”
เมื่อพูดถึงเรื่องในวันนั้น หานมู่จื่อก็ยังคงใจสั่น แล้วก็พยักหน้าที่แดงระเรื่อเบาๆ
“ไม่จริงน่า ฉันคิดว่าเป็นเรื่องโกหกซะอีก คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเรื่องจริง” เสี่ยวเหยียนเอามือเท้าคาง ทำหน้าอิจฉา “แค่ได้ฟังก็รู้สึกอิจฉาแล้วทำไงดี”
พอพูดจบ เธอก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาอีกครั้ง
“ใช่แล้ว เธอให้ฉันชวนคุณพ่อกับคุณแม่มา เดิมทีฉันก็ไม่อยากรับปากหรอกนะ แต่คิดไม่ถึงว่าพอไปบอกพวกเขาแล้ว พวกเขากลับดีใจกันยกใหญ่ ฉันก็เลยพาพวกเขามาเที่ยวเล่น”
“ไม่เป็นไร ให้คุณลุงกับคุณน้าเที่ยวเล่นที่นี่ให้เต็มที่เถอะ”
เสียงประตูเปิดดังขึ้น เสี่ยวเหยียนเห็นว่าเย่โม่เซินเดินเข้ามา พอเห็นเธอก็ชะงักไป ราวกับคิดไม่ถึงว่าเธอจะมาอยู่ที่นี่
เสี่ยวเหยียนรีบกระเด้งตัวขึ้นมาทันที
“จู่ๆฉันก็รู้สึกหิวขึ้นมา ฉันขอออกไปหาอะไรกินหน่อยนะ ฉันไปก่อนนะมู่จื่อ”
จากนั้นก็หายลับไปจากสายตาของเย่โม่เซินกับหานมู่จื่อ
หลังจากออกมาจากห้องแล้ว เสี่ยวเหยียนก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
เธอไม่ได้ตาไร้แววขนาดนั้น สีหน้าตอนที่เย่โม่เซินเห็นเธอ เห็นได้ชัดว่ากำลังบอกว่าถูกรบกวน
ยังดีที่เธอหนีได้เร็ว
คนที่ถูกเชิญมาร่วมงานเลี้ยงมีไม่มาก แต่ยังไงก็เป็นงานเลี้ยงฉลอง คนก็เลยเยอะกว่าปกติ
ตอนที่เสี่ยวเหยียนเดินผ่านตลอดทางก็มีแต่คนที่หน้าคุ้นทั้งนั้น
เพราะยังไงก็เป็นคนของบริษัทที่เคยทำงานมาก่อน
“เสี่ยวเหยียน ทำไมจู่ๆเธอถึงลาออกล่ะ ตอนนี้เธอไปทำงานที่ไหนเหรอ”
“เห็นเธอหายไปจากบริษัทแบบไร้สุ้มเสียง ฉันยังคิดว่าเธอกับมู่จื่อทะเลาะกันเสียอีก ดูท่าว่าจะไม่ใช่สินะ”
คนเป็นกลุ่มเข้ามารุมถามคำถามกับเสี่ยวเหยียน