บทที่1105 คุณรู้ไหมว่าเขาละทิ้งอะไรเพื่อคุณ
พอเสี่ยวเหยียนได้ยินดังนี้ ก็รู้สึกสะเทือนอารมณ์เล็กน้อย
ที่แท้หานชิงก็ไปหาหลินสวี่เจิ้งจริงๆ
“ผมล่ะแปลกใจจริงๆที่คุณคิดแบบนั้น คุณไม่มั่นใจในตัวเองขนาดนั้นเลยเหรอ? ทั้งๆที่ปกติเป็นสาวน้อยที่มีแรงบันดาลใจในการทำสิ่งต่างๆ แล้วทำไมพอเรื่องอารมณ์ความรู้สึกถึงได้กลายเป็นตาบอดและผ่านไปไม่ได้ยังงั้นล่ะ?”
เสี่ยวเหยียนรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย “ขอโทษด้วยค่ะ ตอนนั้นฉัน……จิตใจสับสนมาก เรื่องราวมันเกิดขึ้นไวมาก ฉันรับไม่ค่อยไหว เพราะฉะนั้นก็เลย……”
หลินสวี่เจิ้งเคาะโต๊ะด้วยปลายนิ้ว
“แล้วอีกอย่าง เหตุผลที่คุณโกรธขนาดนั้นที่จริงแล้วเพราะว่าคุณรู้สึกว่าที่หานชิงทำเรื่องพวกนี้เพราะอยากจะชดเชยให้คุณใช่ไหม? แม้แต่ รู้สึกว่ามันเป็นการกุศล?”
พอได้ยินดังนั้น เสี่ยวเหยียนก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับหลินสวี่เจิ้ง
ไม่คิดเลยว่าเขาจะมองเข้าไปในหัวใจเธอได้ทะลุปรุโปร่งขนาดนั้น เขารู้หมดเลย
“นายหลิน คุณ……”
“แปลกใจว่าทำไมผมถึงเข้าใจอารมณ์คุณได้มากขนาดนี้ใช่ไหม? เพราะว่าเมื่อก่อนภรรยาของผมก็เป็นคนแบบนี้เหมือนกัน ช่วงเวลาที่ยาวนาน เธอมักจะโกรธบ่อยๆถ้าเกิดว่าผมไม่เข้าใจความคิดของเธอดี ตอนนั้นผมยังรู้สึกว่าเธอไม่มีเหตุผลเอาซะเลย หลังจากนั้นถึงได้พึ่งรู้ว่าผมทำผิดไปเอง”
“แต่ว่าหลังจากนั้นภรรยาผมก็พูดอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน เพราะว่าตอนนั้นเธอไม่รู้ถึงหัวใจที่ผมมีให้ ก็เลยคิดว่าที่ผมทำไปทั้งหมดก็เพื่อการกุศล แม้แต่ว่าเป็นการดูถูกเธอ คุณเองก็คิดกับหานชิงแบบนี้เหมือนกัน ใช่ไหม?”
“……”
พอเข้าใจความหมายในสิ่งที่เขาพูด หัวใจของเสี่ยวเหยียนก็เต้นแรงขึ้นมาทันที
จะเป็นไปได้ยังไง?
สิ่งที่หลินสวี่เจิ้งพูด มันหมายความว่า……
แต่ว่า ระหว่างเสี่ยวเหยียนกับหานชิง มันจะไปเหมือนกับเขากับภรรยาได้ยังไง? เขารักภรรยามาก ทั้งสองคนเปรียบเทียบกันไม่ได้เลย
หรือหลินสวี่เจิ้งอาจจะเข้าใจอะไรผิดไป
พอคิดได้แบบนี้ เสี่ยวเหยียนก็กลับมาสงบลงอีกครั้ง พร้อมกับยิ้มให้หลินสวี่เจิ้ง
“วันนี้ที่นายหลินมาที่นี่เพราะเรื่องนี้โดยเฉพาะเลยรึเปล่าคะ? ขอบคุณสิ่งที่คุณพูดกับฉันนะคะ ฉันเข้าใจแล้ว”
หลินสวี่เจิ้งมองดูเธอใกล้ๆ ถึงแม้ว่าเธอจะบอกว่าเข้าใจแล้ว แต่ว่าสายตาของเธอกลับไม่ได้เป็นประกายเลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าเกิดว่าเธอเข้าใจแล้วจริงๆเธอต้องแสดงออกมาแล้ว จะเป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน?
หลินสวี่เจิ้งก็ค้นพบปัญหาอย่างรวดเร็ว
ถ้าเกิดว่าเขาไม่เคยผ่านมันมาก่อน ก็คงจะสังเกตเห็นได้ยาก
พอคิดได้แบบนี้ นิ้วมือที่เคาะโต๊ะของหลินสวี่เจิ้งนั้นก็เริ่มเคาะเป็นจังหวะมากยิ่งขึ้น เขาแม้แต่คิดในใจว่า หลังจากเรื่องทั้งหมดสิ้นสุดลง หานชิงก็จะติดหนี้บุญคุณเขาถึงสองครั้งเลยใช่ไหม?
พอถึงเวลานั้น เขาจะเรียกร้องอะไรดี?
“คุณรู้ไหมว่าเมื่อวานตอนที่ผมโทรหาเขา เขากำลังทำอะไรอยู่?”
เสี่ยวเหยียนขมวดคิ้วเข้าหากัน ไม่เข้าใจความหมายของหลินสวี่เจิ้ง
หลินสวี่เจิ้งยกมุมปากของตัวเองเบาๆ “ผมได้ยินเลขาเขาบอกว่า เขากำลังพูดคุยเรื่องธุรกิจหลายสิบถึงร้อยล้าน”
หลังจากพูดจบ เสี่ยวเหยียนก็มือสั่น สายตามองไปที่หลินสวี่เจิ้งอย่างไม่มั่นใจ
ราวกับว่าไม่แน่ใจ ริมฝีปากของเสี่ยวเหยียนสั่นเบาๆ เธอมองคนที่อยู่ตรงหน้าเธอ
“ที่นายหลินพูดแบบนี้ หมายความว่ายังไงเหรอคะ?”
“ก็ไม่ได้มีความหมายอะไร ก็แค่อยากจะถามคุณว่า ถ้าเกิดว่าคุณรู้ว่าเขายอมทิ้งธุรกิจมูลค่าหลายสิบถึงร้อยล้านเพื่อคุณ คุณจะโกรธขนาดนี้ไหม?”
“……”
ใบหน้าของเสี่ยวเหยียนซีดลงไปเยอะมาก
หลินสวี่เจิ้งยิ้ม “ไม่ต้องเครียดไปหรอก ความเสียหายนี้คุณไม่ได้จำเป็นต้องชดใช้ ผมว่าเขาสมัครใจเองนั่นแหละ”
เสี่ยวเหยียนยังคงพูดอะไรไม่ออก
“ผมพูดไปหมดแล้ว ถ้าเกิดว่าไม่เห็นว่าผมกับเขาเป็นเพื่อนกันมาหลายปี และผมก็รู้จักคุณพอดี วันนี้ผมคงไม่มีทางวิ่งมาที่นี่แน่นอน”
หลังจากพูดจบ หลินสวี่เจิ้งก็กลับออกไป เหลือเพียงแค่เสี่ยวเหยียนที่นั่งสับสนมึนงงอยู่ในห้องส่วนตัวเพียงคนเดียว
เหมือนกับว่าเวลามันหยุดนิ่ง
มีเพียงแค่เข็มในหัวใจของเธอ ที่กำลังเดินไปรอบๆ เธอได้ยินเสียงหัวใจของตัวเอง เริ่มกระแทกร่างกายของเธออย่างแรง เหมือนกับว่าจะหลุดออกมายังไงยังงั้น
เพราะอะไรกัน……
ในเมื่อไม่ได้ชอบเธอ แล้วทำไมถึงต้องละทิ้งธุรกิจที่แทบประเมินค่าไม่ได้แบบนั้นเพื่อเธอด้วย? เพราะว่า——เธออยู่ที่สถานีตำรวจยังงั้นเหรอ? หรือว่า กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ แล้วเขาจะรู้สึกผิดในใจมากยิ่งขึ้นเหรอ?
ก่อนหน้านี้เสี่ยวเหยียนก็ไม่แน่ใจอยู่แล้ว ตอนนี้กลับสับสนยิ่งกว่าเดิม
สรุปแล้วหานชิงคิดยังไงกันแน่?
ว่ากันว่าหัวใจของผู้หญิงนั้นมันยากที่จะเข้าใจ ทำไมเธอถึงได้รู้สึกว่าหัวใจของหานชิงนั้นลึกยิ่งกว่าผู้หญิงทั่วไปอีกเยอะเลยล่ะ?
หลังจากคิดถึงด้านหลัง เสี่ยวเหยียนก็รู้สึกเหมือนกับว่าหัวจะระเบิด
เธอไม่ไปนึกถึงมันอีกแล้ว แล้วก็เปลี่ยนทิศทางให้ตัวเอง
ไม่ว่าหานชิงจะคิดยังไง แต่ว่าครั้งนี้ที่เธอโกรธ ทั้งหมดก็เพราะว่าเธอยังคงชอบหานชิงอยู่ หลังจากนั้นก็นึกว่าเขาทำแค่เพราะว่าสงสาร เธอถึงได้หวั่นไหวขนาดนั้น
ตอนนี้พอมาคิดดูแล้ว คนเขาอุตส่าห์วิ่งไปหาเธอถึงสถานีตำรวจด้วยความหวังดี แต่ผลก็คือเธอโกรธเขา แถมยังปาหนังสือพิมพ์ใส่เขาอีก
อาหารกลับบ้าน……
ไม่งั้น เธอส่งราเม็งไปให้เขา เพื่อเป็นการขอโทษดีไหม?
ยังไงคำพูดพวกนั้นเขาก็เป็นคนพูดออกมาแล้ว แล้วอีกอย่างเขาก็ยังจ่ายค่ารักษาให้เธออีกต่างหาก เธอส่งอาหารไปให้เขาไม่กี่วันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก แล้วอีกอย่าง ถ้าเกิดว่าสิ่งที่หลินสวี่เจิ้งพูดเมื่อกี้เป็นเรื่องจริง ให้เธอส่งอาหารไปให้เขาตลอดชีวิตก็ยังไม่พอเลยไหม?
ปวดหัว เสี่ยวเหยียนกุมหัวของตัวเองแล้วทำเสียงฮึดฮัด
*
วันต่อมา เสี่ยวเหยียนถือราเม็งเตรียมจะออกไปข้างนอก หลัวหุ้ยเหม่ยสอบถามไม่กี่ประโยคก็ไม่รู้จะถามอะไร ก็เลยปล่อยให้เธอไป
เสี่ยวเหยียนเรียกรถไปที่ตึกใหญ่บริษัทตระกูลหาน พอจ่ายค่ารถแล้วก็ถอนหายใจออกมา
นี่น่าจะเป็นการส่งอาหารที่แพงที่สุดที่เธอเคยส่งมา นั่งรถไปกลับค่ารถก็ประมาณ50-60แล้ว แต่ว่าพอคิดว่าหานชิงเสียหายเงินไปมากมายขนาดนั้น เธอก็รู้สึกว่าเงินเพียงเล็กน้อยของเธอนั้นไม่ควรค่าให้กล่าวถึงเลยด้วยซ้ำ
รู้จักกับหานชิงมานานขนาดนี้ ทั้งเคยกอดเคยจูบเขา แม้แต่บ้านเขายังเคยไป แม้แต่เตียงของเขาก็ยังเคยนอนมาแล้ว
แต่ว่ายังไม่เคยมาที่บริษัทเลย
ดังนั้นเสี่ยวเหยียนก็เลยไม่รู้ว่าต้องไปที่ไหน ทำได้แค่ไปสอบถามแผนกต้อนรับ
เสี่ยวเหยียนฉลาดมาก เธอไม่ได้พูดว่าตัวเองจะมาหาประธานหานโดยตรง บอกแค่ว่าตัวเองจะมาหาเลขาซูจิ่ว
พอพนักงานต้อนรับได้ยินว่าเธอมาหาผู้หญิง ก็เลยไม่ได้เกิดความรู้สึกระแวดระวังอะไร แต่ว่าก็ยังหรี่ตาพร้อมกับมองหน้าเธอ
“คุณต้องการพบเลขาของท่านประธานซูจิ่ว ไม่ทราบว่าได้นัดไว้ไหมคะ?”
เสี่ยวเหยียนเขย่าถุงที่อยู่ในมือของตัวเอง แล้วก็ยิ้มจนตาหยีพร้อมกับพูดว่า “เธอสั่งราเม็งจากร้านของฉันถือว่านัดไว้ก่อนไหมคะ?”
“อาหารเดลิเวอรี่เหรอ?”
พนักงานต้อนรับอึ้งไปนิดหน่อย พูดตามตรงถึงแม้ว่าบริษัทของพวกเธอจะมีห้องอาหารให้พนักงาน คุณภาพของโรงอาหารก็ดีมาก แต่ก็หลีกเลี่ยงความเบื่อไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็มีบางทีที่พวกพนักงานไม่ได้ไปกินข้าวที่โรงอาหาร แล้วก็สั่งอาหารเดลิเวอรี่มาส่งแทน”
เพราะฉะนั้นมีคนมาส่งอาหารที่บริษัทก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ปกติมาก ดังนั้นพนักงานต้อนรับก็เลยไม่ได้สงสัยอะไร โทรหาซูจิ่วในทันที
ซูจิ่วที่ได้รับสายก็มึนงง “อาหารเดลิเวอรี่งั้นเหรอ? ฉันสั่งตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
เสี่ยวเหยียนไม่ได้คิดว่าพนักงานต้อนรับจะโทรหาซูจิ่ว ดังนั้นตอนที่อีกฝ่ายกำลังพูดอยู่นั้น เธอก็รีบพูดออกมาเสียงดังทันที
“เลขาซู ฉันจางเสี่ยวเหยียนเองค่ะ คุณสั่งราเม็งจากร้านอาหารของเรา ต้องการให้ฉันขึ้นไปส่งข้างบนไหมคะ? ถ้าเกิดว่าไม่สะดวกล่ะก็ คุณลงมารับเองก็ได้นะ”
“……”
พอได้ยินอีกฝ่ายบอกชื่อของตัวเอง ซูจิ่วก็รีบเปลี่ยนคำพูดทันที
“ที่แท้ก็มาส่งราเม็งนั่นเอง คุณขึ้นลิฟต์มาเลย”
หลังจากวางสาย พนักงานก็มองหน้าเสี่ยวเหยียนด้วยสายตาที่แปลกใจ
“คุณขึ้นลิฟต์ตรงนั้นไปเถอะค่ะ เลขาซูจะรอคุณอยู่ที่ชั้นบน”
“ขอบคุณค่ะ”