บทที่1109 ฉันสัญญาแล้วว่าจะไม่พูด
“ก็ได้ ถ้ายังงั้นเดี๋ยวฉันจะช่วยไปดูให้ว่าเธอเป็นอะไรไป เธอไม่ยอมเจอแก แต่เธอก็น่าจะยอมเจอฉันนะ”
เย่โม่เซินเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ว่าก็พยักหน้า
“รบกวนด้วยนะครับคุณน้า”
“ชิ ค่อยมีมารยาทขึ้นมาหน่อย พอแกเรียกว่าคุณน้าแบบนี้ ต่อให้แกทำเรื่องอะไรผิดมา ฉันก็จะช่วยแกเกลี้ยกล่อมกับมู่จื่อเอง”หลังจากพูดจบ ก็พูดต่อ “แต่ว่าถ้าเกิดว่าแกแอบไปเด็ดดอกไม้ข้างนอกมาล่ะก็ ฉันจะเกลี้ยกล่อมให้เธอมาตัดขาแกกับฉันซะ”
หลังจากนั้นส้งอานก็ไปหาหานมู่จื่อ พอได้ยินเสียงคนเคาะประตู หานมู่จื่อก็นั่งพิงโซฟาอยู่ ไม่อยากแม้แต่จะขยับ
“มู่จื่อ น้าเอง”
พอได้ยินเสียงส้งอานดังมาจากด้านนอก หานมู่จื่อถึงได้สติ คุณน้างั้นเหรอ? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?
อย่างรวดเร็ว หานมู่จื่อก็รู้ทันทีว่าเย่โม่เซินต้องบอกให้ส้งอานมาที่นี่แน่ๆ หึ ไอ้คนเลวคนนี้เรียกพวกมาช่วยงั้นเหรอ เธอโกรธจะตายอยู่แล้ว
อีกฝ่ายเป็นผู้ใหญ่ หานมู่จื่อจะเสแสร้งทำเป็นไม่ได้อยู่ที่นี่ไม่ได้ เลยได้แต่พูดออกมา
“คุณน้า มีเรื่องอะไรรึเปล่าคะ?”
“น้าได้ยินมาว่าสองวันมานี้หนูเหมือนจะไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นก็เลยเป็นห่วงนิดหน่อย ก็เลยมาเยี่ยมหนู หนูยังสบายดีไหม? อยากให้น้าพาหนูไปตรวจที่โรงพยาบาลไหม? หรือว่า ถ้าเกิดว่าหนูไม่อยากไปโรงพยาบาลก็ไม่เป็นไรหรอก ยังไงก่อนหน้านี้น้าก็เคยเป็นหมอมาก่อน น่าจะเข้าใจสถานการณ์ของหนู น้าเข้าไปดูให้หนูดีไหม?”
หลังจากพูดจบ ส้งอานก็ลองเปิดประตู เสียงดังกึก ถึงแม้ว่าจะมีเสียงดังขึ้นที่ประตู แต่ว่าประตูก็ไม่ได้ถูกเปิดออก เพราะว่าหานมู่จื่อล็อกจากด้านใน
หานมู่จื่อค้ำแขนเกาอี้แล้วลุกขึ้น หลังจากนั้นก็เดินไปหน้าประตูแล้วเอ่ยปากถามส้งอาน
“คุณน้า มาคนเดียวรึเปล่าคะ?”
ส้งอานรู้ว่าเธอกังวลเรื่องอะไร แต่ไม่คิดว่าเธอจะถามออกมาตรงขนาดนี้ อดไม่ได้ที่จะแอบหัวเราะในใจ ต้องขอบคุณที่เธอมองการณ์ไกล ไล่เย่โม่เซินออกไปก่อน ไม่ยังงั้นหานมู่จื่อต้องไม่เปิดประตูให้เธอแน่นอน
พอคิดได้แบบนี้ ส้งอานก็พูดว่า “อืม ด้านนอกมีแค่น้าอยู่คนเดียว หนูเปิดประตูได้อย่างสบายใจ มีเรื่องอะไรก็พูดกับน้าได้ ถ้าเกิดว่าได้รับความคับข้องใจอะไรล่ะก็ น้าจะจัดการแทนหนูเอง ไม่เหลือไอ้เจ้าเด็กบ้าเย่โม่เซินไว้แน่นอน”
แกร๊ก——
ประตูเปิดออกเล็กๆ ส้งอานมองดูอย่างละเอียด แต่ว่าก็ไม่เห็นร่างของหานมู่จื่อ “หนูอยู่ไหนน่ะ?”
“คุณน้า หนูอยู่นี่ค่ะ……”หานมู่จื่อเปิดประตูให้กว้างขึ้นเล็กน้อย ส้งอานก็เบียดตัวเข้าไป พอเธอเข้าไปแล้ว หานมู่จื่อก็ปิดประตูด้วยความรวดเร็วทันที กลัวว่าจะมีคนที่ตามส้งอานมาด้านหลังตามเข้ามาด้วย
“วางใจเถอะ หนูไม่อยากจะเจอเขาในเวลานี้ เขาก็ไม่พยายามฝืนเข้ามาหรอกนะ ไม่ยังงั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องมาหาฉันหรอก”
ถ้าเกิดว่าไม่ได้กลัวว่ามู่จื่อจะรับไม่ไหว ก็คงไม่ได้มาหาน้าอย่างเธอหรอกไม่ใช่เหรอ?
ระหว่างที่พูดอยู่นั้น ส้งอานก็สำรวจหานมู่จื่อ ที่จริงทั้งสองคนก็ไม่ได้เจอกันนานแล้ว เพราะว่าหลังจากที่เย่โม่เซินได้ความทรงจำกลับมานั้น ส้งอานก็ไม่ได้รบกวนคู่สามีภรรยาคู่นี้ แล้วก็กลับไปที่บ้านของตัวเอง แล้วก็พาชายแก่กลับไปด้วย บางทีก็พาเขาบินไปต่างประเทศบ้างเป็นครั้งคราว
เมื่อคิดอย่างละเอียดแล้ว เธอกับมู่จื่อน่าจะไม่ได้เจอหน้ากันประมาณสองเดือนแล้วนะ
เมื่อสองเดือนก่อน เธอก็พบว่าท้องของมู่จื่อกไม่ได้เล็ก แต่ไม่คิดเลยว่าหลังจากผ่านไปสองเดือน
ส้งอานอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“มู่จื่อ ทำไมหนูถึงได้……”อ้วนขนาดนี้?
ประโยคหลังเธอไม่กล้าพูดออกมา กลัวว่ามันจะไปทำร้ายความภาคภูมิใจในตัวเองของมู่จื่อเข้า แต่ว่าเมื่อกี้เธอหัวเราะออกมาอย่างชัดเจนมาก เธอจ้องมองไปที่เธออีกครั้ง แล้วก็ไม่สามารถซ่อนได้
แล้วก็เป็นอย่างที่คิด หลังจากที่เธอหัวเราะออกมา แก้มขาวๆของหานมู่จื่อก็แดงขึ้นมาทันที แล้วก็หันกลับไปด้วยความเก้อเขิน
“คุณน้าอย่าหัวเราะหนูสิคะ”
ส้งอานเก็บเสียงหัวเราะของตัวเอง หลังจากนั้นก็จ้องไปที่เธอ “ไม่ได้เจอกันแค่สองเดือนเอง หนูทำได้ยังไงกัน?”
สีหน้าของดหานมู่จื่อดูกลัดกลุ้มใจ “ไม่รู้เลยค่ะ น่าจะเพราะว่ากินแล้วก็นอน นอนแล้วก็กินมั้งคะ แต่ว่าตอนที่ท้องเสี่ยวหมี่โต้วนั้นไม่ได้เป็นแบบนี้เลยนะ”
ระหว่างที่พูดอยู่นั้น ส้งอานก็เห็นความทุกข์ปรากฏบนใบหน้าของหานมู่จื่อ เธอดูโศกเศร้ากับเรื่องนี้
“ดังนั้น ที่หนูหลีกเลี่ยงไม่ยอมเจอหน้าโม่เซิน ที่แท้ก็เพราะว่าเรื่องนี้เองยังงั้นเหรอ?”
ถึงแม้ว่าจะกระอักกระอ่วน แต่ว่าหานมู่จื่อก็พยักหน้ายอมรับ
“คุณน้าคะ ทุกคนต่างก็เป็นผู้หญิงหนูก็จะไม่ปิดบังน้า แต่ว่าถ้าเกิดว่าเป็นไปได้ล่ะก็ หนูล่ะอยากจะให้เขาคลอดลูกเองจริงๆ”ก่อนหน้านี้ตอนที่ตั้งท้องเสี่ยวหมี่โต้วหุ่นของเธอไม่ได้เป็นแบบนี้เลย แต่ว่าตอนนั้นก็ผิดรูปไปนิดหน่อย เธอใช้เวลาอยู่พักหนึ่งแล้วมันก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม
ตอนนั้นเธออยู่ตัวคนเดียว ไม่มีเย่โม่เซินอยู่ข้างๆ เธอไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร ดังนั้นเธอจะเปลี่ยนไปเป็นยังไงเธอก็ไม่สนใจ
แต่ว่าตอนนี้ล่ะ? คนข้างๆอยู่ตรงหน้าเธอตลอดเวลา มองดูเธอน่าเกลียดแล้วก็อ้วนขึ้นเรื่อยๆ แค่คิดก็รู้สึกพังมากแล้ว
“ยัยโง่ หนูคิดอะไรของหนูอยู่น่ะ? ผู้หญิงก็ต่างต้องมีวันเวลาพวกนี้กันทั้งนั้น ถ้าเกิดว่าอ้วนเพราะว่ามีลูก แล้วเขาจะไม่ชอบหนูแล้ว หรือว่าทิ้งหนูล่ะก็ แล้วจะอยู่กับเขาต่อไปเพื่ออะไรกัน? แค่คลอดลูกก็ลำบากพอแล้ว หนูยังคิดจะซ่อนตัวอีกยังงั้นเหรอ? ถ้าเกิดว่าหนูคิดแบบนี้จริงๆ อย่าโทษที่น้าจะด่าหนูนะ”
“แต่ว่า……” หานมู่จื่อก้มหน้าด้วยความหงุดหงิด มองไปที่แขนและน่องที่จ้ำม่ำของตัวเอง ก็รู้สึกผิดวัง
“มาๆๆ ไม่ต้องกังวลไปหรอกน่า คลอดออกมาเสร็จก็ดีแล้ว หนูก็ยังคงเป็นหนูอยู่”
หลังจากนั้นส้งอานก็ช่วยหานมู่จื่อเรื่องความคิดมากมาย ไม่ยอมปล่อยให้เธอซ่อนตัวอยู่คนเดียวแล้วคลอดลูกเด็ดขาด ต้องมีเย่โม่เซินอยู่ด้วย
หลังจากเกลี้ยกล่อมอยู่ทั้งวัน ในที่สุดหานมู่จื่อก็พยักหน้า
ตอนที่ส้งอานออกมานั้น เย่โม่เซินก็เฝ้าอยู่ที่หน้าประตู พอเห็นเธอก็รีบเดินเข้ามาด้วยความรวดเร็ว
“เป็นไงบ้างครับ? มู่จื่อพูดไหมว่าทำไมถึงไม่สนใจผม?”
หลังจากพูดมาทั้งวัน ริมฝีปากของเธอก็เริ่มหมดเรี่ยวแรงแล้ว ดังนั้นก็เลยชี้นิ้วสั่งเย่โม่เซิน “ไป ไปเทน้ำมาให้น้าหน่อย”
“……”
เย่โม่เซินยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน
ส้งอานเลิกคิ้วขึ้น “ไม่ไปเอาให้เหรอ? หรือว่าไม่อยากจะรู้ว่ามู่จื่อคิดยังไงยังงั้นเหรอ? หรือว่า แกไม่อยากเจอเธอเลย?”
นี่มันคือการข่มขู่ชัดๆ
เย่โม่เซินขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ แล้วก็เดินไปเทน้ำให้ส้งอาน
พอน้ำดื่มลงท้องไป คอของเธอก็รู้สึกสบายขึ้นเยอะ ส้งอานวางแก้วไว้ข้างๆ ก็พบว่าเย่โม่เซินกำลังมองมาที่ตัวเองด้วยสายตาที่เย็นชา น้ำเสียงเหมือนอยากจะฆ่าคนยังไงยังงั้น
“ตอนนี้พูดได้แล้วมั้งครับ?”
“ทำไม? ฉันเหมือนกับเป็นศัตรูที่ฆ่าพ่อของแกยังงั้นแหละ ถ้าเกิดว่าฉันไม่พูดแล้วแกจะทำอะไรได้?”
ใบหน้าของเย่โม่เซินก็กลายเป็นสีฟ้าในทันที หลังจากคิดอยู่สองวินาที เขาก็ค่อยๆเปิดริมฝีปากบางของเขาออก
“ทำให้น้ำของน้าที่พึ่งดื่มเข้าไปกระอักออกมาใหม่ น่าจะไม่ยากเท่าไหร่นะครับ”
“!!!”
ส้งอานมองหน้าเย่โม่เซินอย่างผิดหวัง
“นี่แกเห็นฉันเป็นน้าแกอยู่รึเปล่า? ทำไมตอนที่มาขอให้ฉันช่วยไม่ได้มีท่าทีแบบนี้เลย ก็ได้ๆ ฉันคุยกับเธอเรียบร้อยแล้ว คืนนี้เธอไม่ล็อกแกไว้นอกประตูอีกแล้วล่ะ”
พอได้ยินคำตอบที่ตัวเองต้องการ แต่เย่โม่เซินก็ยังไม่รู้ว่าทำไมหลายวันมานี้หานมู่จื่อถึงไม่สนใจเขา ดังนั้นเขาก็เลยยังไม่ได้เดินออกไป แต่เอ่ยปากถามแทน
“เป็นเพราะอะไร?”
“เพราะอะไร? ฉันรับปากเธอไว้แล้วว่าจะไม่บอกแก ถ้าเกิดว่าแกอยากรู้ล่ะก็ ก็ไปถามเธอเองสิ”