บทที่ 1116 พอจะชอบไหม
พอพูดมาถึงตรงนี้ ก็เข้าใจเนื้อหาข้างหลังได้อย่างชัดเจน
ทุกคนไม่ได้คาดคิดว่าเสี่ยวเหยียนจะตบตีได้ แต่คำพูดไม่กี่คำกลับทำให้พวกเธอหมดคำพูด
หลังจากนั้นไม่นานสาวร่างสูงก็พูดขึ้นมาว่า “อย่าคิดนะว่าคนส่งอาหารอย่างเธอจะได้เป็นผู้หญิงของประธานหาน ถ้าวันหนึ่งเขากินจนเอียนแล้วล่ะก็ เธอก็ต้องกระเด็นกลับไปจุดเดิม”
“ฉันมาส่งอาหารให้เขาก็เพราะฉันติดหนี้บุญคุณเขาที่ทำให้ธุรกิจของเขาเสียหาย ส่วนเขาจะกินจนเอียนหรือไม่ นั่นมันเรื่องของฉัน มันเกี่ยวกับพวกเธอตรงไหน?”
“ฉันต้องขอตัวก่อน”
พอพูดจบ เสี่ยวเหยียนก็เดินไปที่ลิฟต์
หลังจากที่เธอเดินจากไป ทุกคนก็มารวมตัวกันด้วยความไม่พอใจ
แผนกต้อนรับถามอย่างระมัดระวัง “ทำไมยังไม่แยกย้ายกันอีก?”
“นี่แผนกต้อนรับ มันเกิดอะไรขึ้น? ไหนเธอบอกว่าเธอคนนั้นหน้าตาบ้านๆไง? อีกอย่างทำไมเธอยังได้ปากคอเราะรายขนาดนั้น?”
แผนกต้อนรับ “…ฉันไม่ได้บอกว่าเธอหน้าตาบ้านๆเสียหน่อย ฉันก็แค่บอกว่าจำไม่ได้ว่าเธอหน้าตาอย่างไรแค่นั้นเอง”
“หน้าตาแบบนี้เนี่ยนะ เธอจำไม่ได้?”
“เปล่า ฉันเป็นโรคจำหน้าคนไม่ได้”
อันที่จริงเธอโกหก เพราะตราบใดที่เธอยืนยันว่าเป็นโรคจำหน้าคนไม่ได้ก็ไม่มีใครพูดว่าเป็นความผิดของเธอ และเธอก็ไม่ต้องพูดต่อความยาวสาวความยืดอีกต่อไป
“ช่างเถอะ ให้เธอได้ใจไปก่อนสักสองสามวัน ดูแล้วเธอคงหยิ่งยโสอยู่เอาการ ส่วนพวกเธอลองไปดูที่ร้านของเธอซิ ไปดูว่าร้านอยู่ตรงไหน พอถึงตอนที่ประธานหานกินเบื่อแล้ว พวกเราก็ไปเยี่ยมเธอที่ร้านเสียหน่อยแล้วกัน”
*
เสี่ยวเหยียนมาส่งราเม็งให้หานชิงตามที่สัญญาไว้ แต่เดิมเมื่อวานนี้เธอจากไปโดยไม่ได้บอกลา ตอนที่เธอมาถึงวันนี้ก็รู้สึกจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ยิ่งพอผ่านเหตุการณ์ที่ชั้นล่างมาแล้ว เสี่ยวเหยียนก็พบว่าตอนนี้เธอไม่ได้เกรงกลัวแม้แต่นิดเดียว
อาจเป็นเพราะถูกทำให้โมโห ดังนั้นตอนที่เสี่ยวเหยียนเดินเข้าไปจึงหน้าแดง ดวงตาของเธอดูเหมือนลุกเป็นไฟ
ไม่นานหานชิงก็พบว่าเธอมีบางอย่างผิดปกติ
“เป็นอะไร?”
ในขณะที่ลุกขึ้น เขาก็เอ่ยถาม
เมื่อได้ยินดังนั้น เสี่ยวเหยียนก็ผงะไปสักพัก จากนั้นก็ส่ายหน้า “เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร”
“แล้วทำไมต้องหน้าแดง?”
เสี่ยวเหยียนยืนมือมาแตะแก้มตัวเองซึ่งร้อนผ่าวอย่างเห็นได้ชัด เธอมักจะเป็นเสียแบบนี้ พออารมณ์ขึ้นก็หน้าแดง ดังนั้นเธอจึงลูบแก้มตัวเอง “น่าจะร้อนไปหน่อยน่ะค่ะ”
หานชิงเหลือบมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง วันนี้พระอาทิตย์ค่อนข้างใหญ่เล็กน้อย เขาจึงไม่ได้ถามลึกลงไปมาก
“ชุดราตรีนั่น เธอพอจะชอบไหม?”
เขาเป็นฝ่ายถามเรื่องเมื่อวานก่อน เสี่ยวเหยียนหน้าร้อนผ่าวอีกครั้ง ครั้งก่อนเป็นเพราะอารมณ์ขึ้น แต่ตอนนี้กลับพยักหน้าด้วยความเขินอาย “ชอบ ชอบค่ะ…”
เธอพูดติดๆขัดๆเพราะความประหม่า
“พรุ่งนี้เธอไม่ต้องมาส่งของแล้วเพราะมีงานเลี้ยงตอนเย็น ตอนบ่ายฉันจะให้ซูจิ่วไปรับ”
เสี่ยวเหยียนพยักหน้าอย่างว่าง่าย “ค่ะ ได้ค่ะ”
ในขณะที่พูดคุยกัน เธอเอาแต่มองปลายเท้าของตัวเองตลอดเวลาเหมือนกับสัตว์น้อยขี้อาย ใบหูเป็นสีชมพู
“งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวนะคะ”
“อืม พรุ่งนี้เจอกัน”
“ค่ะ พรุ่งนี้เจอกัน” เสี่ยวเหยียนเงยหน้าแล้วมองเขาเงียบๆพลางโบกมือให้เขา จากนั้นก็เดินออกไป
*
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วก็ถึงเวลาที่ซูจิ่วต้องมารับเสี่ยวเหยียน เธอมาถึงชั้นล่างของที่พักเสี่ยวเหยียน เสี่ยวเหยียนเข้ามาในรถพร้อมกับอุ้มถุงใบหนึ่ง
เมื่อซูจิ่วเห็นว่าเสี่ยวเหยียนยังคงสวมชุดธรรมดาจึงเลิกคิ้วถาม “ทำไมเธอยังไม่เปลี่ยนชุด?”
เสี่ยวเหยียนกระแอมอย่างเขินอายพลางอธิบาย “เพื่อนบ้านค่อนข้างเยอะน่ะค่ะ ถ้าขืนสวมชุดเดินออกมา ทุกคนจะเห็นกันหมด”
“กลัวอะไร ใส่ออกมาสวยๆยังจะกลัวคนมองอีกเนี่ยนะ?”
ไม่รู้จะอธิบายให้ซูจิ่วฟังอย่างไร เสี่ยวเหยียนจึงไม่ได้พูดอะไรอีก
“เอาเถอะ ฉันเข้าใจ ก็เธอยังเป็นสาวน้อยอยู่เลยเนาะ อายบ้างก็เป็นเรื่องปกติ งั้นฉันจะพาเธอไปแต่งหน้าก่อนแล้วเดี๋ยวก็ไปเปลี่ยนชุดที่นั่นเลยก็ได้”
“ขอบคุณค่ะเลขาซู”
ซูจิ่วขับรถต่อ ในขณะที่รอไฟแดง จู่ๆเธอก็พูดขึ้นมาว่า
“อันที่จริงหลายปีมานี้ประธานหานไม่เคยควงผู้หญิงออกงานเลย”
“หืม?” เสี่ยวเหยียนนิ่งไปสักพักพลางมองมาทางเธอ
ทำไมจู่ๆถึงพูดแบบนี้ล่ะ…
“ยกเว้นฉันน่ะ แน่นอนว่าในสายตาของประธานหาน ฉันไม่นับว่าเป็นผู้หญิงหรอก ฉันเป็นแค่ลูกน้องและเลขาแค่นั้นเอง”
“……”
“เนื่องจากสถานะของประธานหานค่อนข้างพิเศษ เพราะฉะนั้นทุกคนในงานเลี้ยงจึงรู้ว่าเขาคือใคร มีผู้หญิงหลายคนจะเชิญเขาไปร่วมงานเลี้ยงด้วยซ้ำ แต่เขากลับปฏิเสธไปหมด เธอรู้ไหมว่าทำไม? เพราะทันทีที่เขามีผู้หญิงอยู่ข้างกาย หลายคนก็จะเริ่มเดาถึงสถานะของผู้หญิงคนนั้นกันไปต่างๆนาๆ และผู้หญิงคนนี้ก็ได้ผลประโยชน์จากการเป็นคู่ควงของประธานหาน ประธานหานจึงไม่ปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้น ”
เสี่ยวเหยียนกะพริบตา สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานั้นเกินจินตนาการ
แรกเริ่มคือหลินสวี่เจิ้ง ต่อมาก็คือซูจิ่วที่พูดคำพูดแปลกๆกับเธอ ถึงอย่างไรเธอก็แยกแยะความคิดบางอย่างได้ด้วยตัวเอง แต่เธอไม่กล้าคาดเดาว่าจริงหรือไม่
ถ้าจริง เหตุผลคืออะไร? เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ต่างจากเมื่อก่อน
กลัวว่าเธอจะคิดผิด กลัวว่าเธอจะคิดมากไปและเริ่มเข้าข้างตัวเอง
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเธอมองเห็นความหวัง คราวนี้จะต้องทำให้สำเร็จ
พอคิดได้ดังนั้น เสี่ยวเหยียนก็ค่อยยิ้มออกมา “ขอบคุณที่คุณพูดเรื่องนี้กับฉัน มันทำให้ฉันเข้าใจเขามากขึ้น”
ถ้าไม่ใช่เพราะคำพูดของซูจิ่ว เธอก็คงไม่รู้เรื่องราวเหล่านี้
ซูจิ่วมองเธออย่างขบขัน
“ที่ฉันพูดเรื่องพวกนี้ไปไม่ใช่เพราะอยากให้เธอเข้าใจเขา”
เสี่ยวเหยียนใบ้กิน
“ฉันก็แค่อยากให้เธอได้สติขึ้นมาบ้าง”
“ได้สติ?”
“เฮ้อ สาวน้อยอย่างเธอทำไมถึงได้เข้าใจยากแบบนี้นะ คราวที่แล้วก็บอกเธอไปบ้างแล้วไงว่าเธอน่ะเป็นคนพิเศษ ส่วนเรื่องในคราวนี้ก็สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น ฉันกำลังจะบอกว่า บางทีในอนาคตเธออาจจะเป็นคนที่ประธานหานเดินเข้าไปหาตอนสุดท้ายก็ได้”
พอพูดถึงตรงนี้ ซูจิ่วก็หันไปมองเสี่ยวเหยียนด้วยสายตาลึกซึ้ง “สู้ๆ เมื่อก่อนฉันเคยพยายามอย่างหนักมาเป็นเวลานานแต่ก็ไม่เคยอยู่ในสายตาเขาเลยนอกจากเรื่องงาน ตอนนี้เธอต่างออกไป ถ้าท้ายที่สุดแล้วเธอจับเขาไว้ไม่ได้ ฉันจะดูถูกเธอ”
เดิมทีเสี่ยวเหยียนยังคิดว่าซูจิ่วไม่ถูกชะตากับเธอ แต่ไม่คิดเลยว่าซูจิ่วจะใจกว้างขนาดนี้
แท้ที่จริงแล้วเธอเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจกว้างขวาง เสี่ยวเหยียนยิ้มตอบ “ฉันจะพยายามค่ะ!”
พอมาถึงสถานที่แต่งหน้า เสี่ยวเหยียนก็ไปเปลี่ยนชุดก่อนเป็นอันดับแรก หลังจากที่เธอเปลี่ยนชุดเสร็จ ช่างแต่งหน้าก็กวาดตามองเธอที่สวมชุดราตรีอยู่ตรงหน้า จากนั้นก็ถามว่า “ฉันควรจะเสริมอะไรให้คุณสักหน่อยดีไหม?”
“เอ๊ะ?”เสี่ยวเหยียนไม่ตอบสนองไปสักพัก “เสริมอะไรคะ?”
ซูจิ่วยิ้มอย่างมีเลศนัยอยู่ข้างๆ “ก็ทำให้เธอดูเป็นสาวขึ้นมาหน่อยน่ะสิ!”
ที่ที่เธอจ้องอยู่ก็คือ…
ทันใดนั้นเสี่ยวเหยียนก็เข้าใจได้ เธอหน้าแดงพลางกอดตัวเองไว้และพูดอย่างอายๆ “ไม่ ไม่ต้องหรอกค่ะ”
เนื่องจากช่วงนี้เธอผอมอยู่แล้วบวกกับสภาพจิตใจไม่ค่อยดี ดังนั้นจึงยิ่งผอมลงไปมาก ร่างกายบางแห่งจึงลดลงเล็กน้อย แต่ไหนแต่ไรมาเธอก็ไม่เคยให้ความสนใจกับเรื่องนี้เลย ไม่คิดว่าพอเปลี่ยนชุดราตรีแล้วจะโดนเมินแบบนี้…
ตอนที่นั่งลงแต่งหน้า ช่างแต่งหน้ายังถามเธอว่า
“คุณผู้หญิงไม่อยากเสริมจริงๆเหรอคะ? ถ้าเสริมแล้วจะทำให้ดูสวยขึ้นนะคะ”