บทที่ 1117 รอเธอโดยเฉพาะ
“ไม่จริงๆค่ะ ขอบคุณ” เสี่ยวเหยียนปฏิเสธอีกฝ่ายด้วยความกระดากอาย จากนั้นก็ก้มหน้าไม่คุยกับอีกฝ่ายอีกเลย ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเธออายเพราะเรื่องนี้
“เธอนี่หน้าบางมากจริงๆเลย แค่ถามเรื่องนี้ก็อายซะแบบนี้แล้ว เธอเป็นเสียแบบนี้จะจีบประธานหานได้อย่างไร?”
“…” เมื่อเสี่ยวเหยียนได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าปลายตามองซูจิ่ว “ความจริง…เมื่อก่อนตอนที่ฉันจีบเขา ฉันไม่เคยอายเลยแม้แต่น้อย ไม่สิ ก็น่าจะอายอยู่บ้าง แต่ว่า…”
น่าจะเป็นเพราะพอเริ่มที่จะเป็นผู้กล้า เธอก็รู้สึกว่าตัวเองสามารถทำได้ทุกอย่าง จนกระทั่งต่อมาโดนปฏิเสธอยู่หลายครั้งจึงค่อยๆหมดความหวัง
ความอายเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แค่เพียงว่าตอนนั้นเธอมีความกล้าหาญ ใจนึกอยากทำอะไรก็ทำ
ซึ่งแตกต่างจากตอนนี้ที่มีความกลัวและความกังวลเป็นอารมณ์หลัก และความอยากก็วางอยู่ในตำแหน่งสุดท้าย
“แต่อะไร?”
“เปล่าค่ะ” เสี่ยวเหยียนส่ายหน้า เห็นได้ชัดว่าอารมณ์สนุกลดลงไปในชั่วขณะ เมื่อซูจิ่วเห็นเธอหลุบหน้าลงแบบนี้ก็เอื้อมมือมาตบไหล่เธอ “ไม่เป็นไรนะ เมื่อก่อนก็คือเมื่อก่อน ตอนนี้คือตอนนี้ อนาคตที่สวยงาม โอกาสและเวลากำลังรอเธออยู่ ”
คำพูดให้กำลังใจนี้มีพลังมาก เสี่ยวเหยียนพูดซ้ำๆอยู่หลายครั้งในใจของเธอและในที่สุดก็ยิ้มเห็นด้วยออกมา
“อืม!”
สาวน้อยที่อยู่ตรงหน้ากลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง “แบบนี้สิถึงจะถูก เดี๋ยวพอไปงานเลี้ยงก็ต้องร่าเริงให้ได้แบบนี้นะ”
“ขอบคุณคุณค่ะเลขาซู”
เนื่องจากผิวของเสี่ยวเหยียนดีมาก ช่างแต่งหน้าจึงทำงานเสร็จได้อย่างง่ายดาย พอแต่งหน้าเสร็จก็ยังพูดว่า
“คุณผู้หญิงท่านนี้ผิวดีมากเลยค่ะ ฉันเป็นช่างแต่งหน้ามาหลายปีก็เพิ่งเคยเจอคนมีสภาพผิวดีไม่กี่คน แต่งเพียงนิดเดียวก็ได้แล้ว ไม่ต้องเสียเวลาแต่งหนาๆ”
เสี่ยวเหยียนยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเขินอายเมื่อถูกช่างแต่งหน้าชม
ช่างแต่งหน้ายิ่งมองเสี่ยวเหยียนก็ยิ่งรู้สึกว่าเธอน่ารัก เกือบอดยื่นมือไปลูบหัวเธอไม่ได้ แต่พอนึกถึงทรงผมที่ตัวเองใช้เวลานานกว่าจะทำเสร็จจึงได้แต่เก็บมือลง เพราะถ้าเกิดยุ่งขึ้นมาจะต้องทำอีกรอบ
หลังจากที่ทั้งสองออกมาท้องฟ้าก็มืดแล้ว ทั้งเมืองไม่ได้จมไปกับความมืด แต่กลับสว่างไสวขึ้นมาด้วยดวงไฟทีละหย่อมส่องสว่างในยามค่ำคืน
“เสร็จแล้ว แต่งได้สวยมาก ถ้าไม่มีอะไรขัดข้อง เย็นนี้เธอน่าจะเป็นผู้หญิงที่เฉิดฉายที่สุดในงาน”
เดิมทีเสี่ยวเหยียนก็ประหม่าจนต้องหายใจเข้าลึกๆอยู่แล้ว พอได้ยินคำพูดนี้ก็แทบจะหายใจไม่ออก
“อะ อะไรนะคะ? เฉิดฉายที่สุดในงาน?”
“ใช่แล้ว” ซูจิ่วขยิบตาให้เธอผ่านกระจกมองหลัง “หรือเธอไม่คิดว่าการแต่งตัวแบบนี้มันสวยมาก?”
“…ก็สวยจริงๆแหละ แต่…มันเป็นแค่ในความคิดของตัวเอง”
เธอรู้จักใบหน้าค่าตาของตัวเองดี ซึ่งมันไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าคนสวยเลย แล้วจะเฉิดฉายที่สุดในงานได้อย่างไร? อีกอย่างเธอก็ไม่อยากโดดเด่นอยู่ในงาน ถ้าเกิดสายตาทุกคนจับจ้องมาที่เธอ เธอก็คงทำตัวไม่ถูก
พอคิดถึงใบหน้าค่าตาของตัวเองที่ไม่มีความเป็นไปได้แล้ว เสี่ยวเหยียนก็ถอนหายใจ
อย่างไรก็ตามซูจิ่วก็เหมือนจะตั้งใจ เธอถอนหายใจอยู่ข้างๆและพูดต่อ “งั้นเธออาจจะเข้าใจตัวเองผิดไปบ้างแล้ว แม้เธอจะไม่ได้หน้าตาสะสวยมากนัก แต่เชื่อฉันเถอะว่าพลังในตัวเธอมันเฉิดฉายมากจริงๆ เธอประเมินเสน่ห์ประธานหานต่ำเกินไป เขาโสดมานานขนาดนี้และเหตุผลที่เขาปฏิเสธหญิงสาวคนดังมาตั้งหลายครั้งก็เป็นเพราะเขาไม่ได้มีคู่ควงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ถ้ามีล่ะก็ พวกผู้หญิงที่เคยถูกเขาปฏิเสธพวกนั้นก็คงพากันกระโจนกัดคู่ควงเขาตายไปแล้ว”
กัดตาย…
เสี่ยวเหยียนเย็นหลังวาบ เหยียดหลังตรงพลางมองซูจิ่วไม่ยอมขยับ ในหัวได้จินตนาการภาพที่เธอพูดเอาไว้ทั้งหมด
หรือจะพูดได้ว่าเหตุผลที่เธอเฉิดฉายในงานคืนนี้ไม่ได้เป็นเพราะใบหน้าค่าตาของเธอ หรือเป็นเพราะชุดที่เธอสวม แต่เป็นเพราะ…เธอยืนอยู่เคียงข้างหานชิง?
หากเป็นเพราะเหตุผลนี้ ทุกอย่างก็ดูจะสมเหตุสมผล โดย99.9%จะต้องเป็นจุดสนใจของสายตาผู้คนในงาน เนื่องจากหานชิงคือจุดสนใจ และเธอก็ยืนอยู่เคียงข้างเขา…
ทันใดนั้นเสี่ยวเหยียนก็นึกเสียใจขึ้นมาเล็กน้อย ทำไมเธอต้องตอบตกลงมาเป็นคู่ควงของเขาด้วยนะ
แค่เพียงตอนนั้นเธอไม่รู้จะทำอย่างไรดี เธอวิ่งหนีไปโดยไม่รู้ตัวและไม่คิดจะปฏิเสธเขา
“กลัวเหรอ?” ซูจิ่วเหลือบมองเธอและถามอย่างขบขัน
เสี่ยวเหยียนไม่ได้พูดอะไร
“เธอกลัวอะไร? ในเมื่อชอบเขาก็ต้องกล้าที่จะยืนเคียงข้างเขาไม่ใช่เหรอ?”
“……”
เมื่อได้ยินดังนั้นเสี่ยวเหยียนก็เงยหน้าขึ้น
“เธอไม่ยืนเคียงข้างเขา จะไปเป็นผู้หญิงของเขาได้อย่างไร?”
“แต่ว่า…” เสี่ยวเหยียนกัดปากตัวเองด้วยความไม่มั่นใจเล็กน้อย “ฉันคิดว่าตัวเองแย่เกินไป ไม่…ไม่คู่ควรกับเขาเลย”
“คำจำกัดความของคำว่าคู่ควรคืออะไร? พื้นเพครอบครัว? หน้าตา? หรือว่านิสัย? สำหรับฉันแล้วมันไม่ใช่ แต่มันคือความรู้สึกของพวกเธอต่างหากล่ะ จากนั้นยังต้องมีความกล้าในการเอาชนะร่วมกัน แม้ว่าหลายสิ่งในโลกแห่งความจริงจะโหดร้าย ขอเพียงเรากล้าเผชิญหน้ากับความจริง พูดตามตรงฉันแต่งงานมาหลายปีแล้ว ตอนที่เจอสามี ฉันก็รู้สึกว่าฉันยังเชื่อมั่นในความรัก”
“ดีจัง” เสี่ยวเหยียนรู้สึกอิจฉาอย่างสัตย์จริง
“แล้วเธอจะมีวันนั้น เชื่อฉันสิ”
พูดก็พูดซูจิ่วเป็นคนที่เอาใจใส่คนอื่นจริงๆ
หลังจากมาถึงสถานที่จัดงานเลี้ยง ซูจิ่วก็ลงจากรถพร้อมเสี่ยวเหยียน เนื่องจากใส่รองเท้าส้นสูง เสี่ยวเหยียนจึงเดินไม่ค่อยสะดวกเล็กน้อย เธอยังจำรองเท้าส้นสูงที่ไม่พอดีเท้าคู่นั้นที่เธอใส่ตอนไปเยี่ยมลูกค้ากับหานชิงครั้งสุดท้ายได้ รองเท้าคู่นั้นทำให้ส้นเท้าเธอบวมและเจ็บไปหลายวัน
แต่ในตอนนั้นหัวใจเจ็บยิ่งกว่า
“นั่น…เลขาซู…” เสี่ยวเหยียนเดินตามซูจิ่วอย่างลังเล “นี่คือสถานที่จัดเลี้ยงใช่ไหม?”
“ใช่”
ทว่าทำไมเธอยังไม่พบหานชิงล่ะ? หรือเขาจะเดินเข้าไปแล้ว? ไม่ได้รอเธอ?
พอคิดได้ดังนั้น เสี่ยวเหยียนก็รู้สึกผิดหวัง
“ผิดหวังมากเหรอ?” เสียงของซูจิ่วดังมาจากข้างๆ
เสี่ยวเหยียนรีบปรับอารมณ์และการแสดงออก “เปล่าค่ะ”
ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แม้ในใจจะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ยังมีความสุขมาก อันที่จริงการที่หานชิงเชิญเธอมาร่วมงานเลี้ยงในฐานะคู่ควงของเขาก็ถือว่าเป็นก้าวแรกที่ดีแล้ว
ต่อจากนี้เธอแค่พยายามให้หนักอีกครั้ง
“เธอเห็นทางเข้านั่นไหม?”
ทางเข้า?
พอเสี่ยวเหยียนมองไปรอบๆก็เห็นที่ที่มีคนพลุกพล่าน ตรงนั้นปูด้วยพรมแดงซึ่งมีผู้คนมากมายเดินผ่านไปมา และตอนเข้างานจำเป็นต้องมีบัตรเชิญ
แต่ในเวลานี้มีคนรูปร่างสูงใหญ่และสง่างามอยู่ตรงทางเข้าซึ่งยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน
หานชิง!
เสี่ยวเหยียนรู้สึกราวกับว่าหัวใจของเธอถูกกระแทกอย่างแรง ริมฝีปากสีชมพูของเธออ้าเล็กน้อย เธอตื่นเต้นมากจนแทบจะเรียกชื่อเขาออกมาตรงนั้น
แต่ไม่นานก็รู้ตัวว่ามีคนจำนวนมากอยู่ในงาน เธอจึงห้ามตัวเองได้ทันเวลา
“ตอนนี้ยังผิดหวังอีกไหม? ประธานหานอุตส่าห์ออกมารอเธอโดยเฉพาะเลยนะ”