บทที่ 1121 จะถือสาอะไรไหม หากจะขอนั่งด้วยคน
หลังจากนั้น ประธานจัดงานสังสรรค์เรียกบริกรคนหนึ่งมา ให้เขาคอยติดตามจางเสี่ยวเหยียน และคอยทำตามคำสั่งของหล่อน
เสี่ยวเหยียนรู้สึกว่าเกินความจำเป็นมาก จึงรีบยกมือบอกปฏิเสธเขาทันที
“ไม่เป็นไรค่ะๆ ไม่เป็นไรจริงๆ ฉันอยู่คนเดียวได้”
หาคนมาคอยติดตามหล่อน หล่อนก็รู้สึกอึดอัด ไม่เป็นส่วนตัว อีกอย่างถึงตอนนั้นคงมีคนมองหล่อนมากขึ้นด้วย
จู่ๆหานชิงกลับพูดขึ้น
“ให้เขาตามคุณไปด้วยเถอะ”
“ห๊ะ ทำไมล่ะ?”
เสี่ยวเหยียนไม่เข้าใจว่าทำไมต้องให้คนมาคอยติดตามหล่อน? หล่อนไม่สะดวกใจนี่นา เสี่ยวเหยียนไม่กล้าพูดออกไปตรงๆ ทำได้เพียงจ้องหน้าหานชิง เผื่อเขาจะเข้าใจความหมายที่หล่อนอยากบอก
แต่ทว่าหานชิงนั้นไม่เข้าใจ พูดขึ้น: “ให้เขาติดตามคุณก่อน เดี๋ยวผมมีธุระต้องออกไปสักพัก”
เสี่ยวเหยียนจึงเข้าใจความหมายของเขา และพยักหน้าลงอย่างหมดหนทาง
“งั้นก็ได้ค่ะ”
จากนั้นบริกรก็คอยเดินตามอยู่เคียงข้างเสี่ยวเหยียน ส่วนหานชิงก็ถูกประธานจัดงานเชิญออกไปคุยธุระแล้ว หลังจากที่หานชิงออกไป สายตาที่จดจ้องมาที่ตัวเธอไม่ได้มีทีท่าลดลงเลย กลับมากขึ้นกว่าเดิม
เสี่ยวเหยียนมองไปรอบๆ จากนั้นเดินตรงไปในมุมที่มีคนอยู่น้อย เพราะถ้าขืนอยู่ตรงนี้ต่อไป หล่อนรู้สึกว่าตัวเองแทบจะหายใจไม่ออก
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หล่อนจึงก้าวเท้าเร็วมากขึ้น จนเกือบสะดุดล้มลงไป
โชคดีที่หนุ่มบริกรที่คอยเดินตามหล่อน ประคองตัวไว้ทัน เสี่ยวเหยียนตกใจมาก จนเหงื่อไหลซึมออกมา
“ขอบคุณนะ…”
ถ้าเมื่อครู่ล้มลงไปจริงๆ คงขายหน้ามากแน่ๆ โชคดีที่ยังไม่เกิดขึ้น
“ไม่เป็นไรครับ คุณจางไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ ค่อยๆเดินนะครับ”
“อื้ม”
จางเสี่ยวเหยียนนั่งลงตรงมุมหนึ่ง ตอนที่หล่อนมาถึงยังไม่ได้ทานอะไร เพราะกลัวว่าถ้าทานมากไปจะทำให้หน้าท้องยื่นออกมา และพอถึงตอนงานจะใส่ชุดราตรีไม่สวย แต่เมื่อเห็นอาหารมากมายวางอยู่บนโต๊ะ ท้องของหล่อนก็ร้องดังขึ้นมาทันที
แต่ทว่า ภายในงาน ยังมีผู้คนมากมายมองมาที่หล่อน ดังนั้นเสี่ยวเหยียนจึงไม่กล้าทานอะไร
เฮ้อ…
ทั้งเหนื่อยทั้งหิว ทั้งยังทานอะไรไม่ได้ รู้สึกทรมานเสียจริง
เสี่ยวเหยียนบ่นพึมพำในใจ แต่บริกรกลับไปตักอาหารมาเสิร์ฟให้หล่อน
“คุณจางลองชิมอันนี้ดูก่อนครับ”
สายตาของจางเสี่ยวเหยียนส่องสว่างเป็นประกายขึ้นมาทันที สิ่งที่บริกรนำมาเสิร์ฟให้หล่อนคือเค้กที่สวยงามมากหนึ่งชิ้น ด้านบนมีผลไม้ที่ถูกแกะสลักเป็นรูปทรงต่างๆอย่างสวยงามวางอยู่ เป็นเพราะครีมบนเค้กมีรสชาติค่อนข้างเลี่ยน จึงเติมผลไม้หลากหลายชนิดเข้าไปเพื่อเป็นการตัดเลี่ยนและทำให้รสชาติสมดุล
หล่อนกลืนน้ำลายลง ท่าทางอยากทานมาก
“คุณจางสามารถทานได้อย่างสบายใจเลยครับ ไม่มีใครมารบกวนคุณแน่นอนครับ”
“จริงเหรอ?” จางเสี่ยวเหยียนยังคงไม่วางใจ เพราะหากมีคนมากมายดูหล่อนทาน จะทำให้หล่อนเองก็รู้สึกเคอะเขิน ทำตัวไม่ถูก หล่อนจึงครุ่นคิดไปมา จากนั้นถามขึ้น: “นายพอจะรู้ไหมว่าที่นี่มีที่เงียบๆบ้างรึเปล่า สถานที่ที่ไม่มีคนเยอะขนาดนั้น?”
บริกรคิดอยู่สักพัก จากนั้นพยักหน้าลง: “ผมรู้จักอยู่ที่หนึ่ง ถ้าคุณจางอยากไป ผมสามารถพาคุณไปได้ครับ”
“ไปได้เหรอ? งั้นเดี๋ยว…”
อันที่จริงหล่อนอยากถามว่าถ้าหานชิงกลับมาแล้วหาหล่อนไม่เจอจะทำยังไง?
บริกรพูดอย่างเอาใจใส่มาก: “ผมพาคุณจางไปก่อน จากนั้นผมจะให้เพื่อนไปบอกให้ประธานหานรับทราบ ถึงตอนนั้น เมื่อประธานหานกลับมาจะได้มาหาคุณได้เลย”
“ขอบคุณนายมากนะ”
เป็นเพราะจะไปในที่ที่ไม่มีใคร ตอนที่จางเสี่ยวเหยียนลุกขึ้นจึงหยิบอาหารที่ดูน่าทานติดไม้ติดมือไปด้วย จากนั้นค่อยๆจัดวางลงบนถาดอาหารของบริการ และเดินออกไปพร้อมกับเขา
สถานที่บริกรพาหล่อนไป อันที่จริงแล้วเป็นสวนหย่อมเล็กๆของประธานจัดงาน
หากจะเทียบกับความวุ่นวายภายในงานแล้ว ที่นี่เงียบสงบกว่ามาก ภายในสวนมีต้นไม้ใหญ่หนึ่งต้น และยังมีดอกไม้ พุ่มหญ้ามากมาย และใต้ต้นไม้ยังมีชิงช้าอันใหญ่มาก ด้านข้างยังมีโต๊ะและเก้าอี้หินอ่อน ถือเป็นสวนที่เงียบสงบและร่มรื่นมาก
เมื่อเสี่ยวเหยียนกวาดสายตามองไปรอบๆ ก็ชอบชิงช้าตัวนั้นทันที ต้องยอมรับว่าบริกรคนนี้สายตาเฉียบคมมาก เมื่อเห็นว่าหล่อนชอบ ผ่านไปเพียงชั่วขณะเดียวหนุ่มบริกรก็พูดขึ้น: “ถ้าคุณจางชอบ สามารถนั่งทานอาหารบนชิงช้าได้นะครับ”
“ได้จริงเหรอ? จะไม่สะดวกรึเปล่า?”
“ไม่หรอกครับ ท่านประธานได้สั่งไว้แล้ว วันนี้คุณเป็นแขกวีไอพี ต้องดูแลรับใช้คุณเป็นอย่างดี คุณว่ายังไงก็เป็นอย่างนั้นครับ หรือแม้แต่คุณอยากไปทานอาหารในห้องของท่านประธานก็ทำได้นะครับ”
“……”
นี่มันก็มากเกินไป หล่อนไม่มีทางไปทานข้าวในห้องของเจ้านายของพวกเขาหรอก ต้องเป็นคนนิสัยยังไงกันถึงจะทำเรื่องแบบนี้ได้?
แต่คำพูดของเขา ทำให้เสี่ยวเหยียนนั่งลงบนชิงช้าได้อย่างสบายใจ จากนั้นหล่อนจึงหยิบเค้กไปนั่งทานบนนั้น
ความรู้สึกแบบนี้ช่างเยี่ยมยอดไปเลย เสี่ยวเหยียนรู้สึกมีความสุขอยู่ภายในใจ
เดิมทีคิดว่าจะมีความสุขสงบแบบนี้ไปจนถึงหานชิงกลับมาได้ เสี่ยวเหยียนจึงตัดสินใจหลบอยู่ตรงนี้จนกว่างานจะจบ แต่ใครจะไปคาดคิดว่า จะมีคนบางคนมาขัดจังหวะหล่อนเสียก่อน
นั่นก็คือซูเหยาเหยาที่เคยบอกว่าจะมาแอบดูสถานการณ์
ซูเหยาเหยามาตัวคนเดียว เพราะหล่อนเป็นผู้หญิง จึงไม่ได้คิดอะไรมาก เมื่อบริกรส่งสายตามองหล่อน จากนั้นก็เบี่ยงสายตาหลบไป
แต่ซูเหยาเหยากลับเดินตรงมาทางนี้
“ขอโทษนะคะ” ซูเหยาเหยายิ้มให้เสี่ยวเหยียนและบริกร “ฉันออกมาเข้าห้องน้ำ จากนั้นก็หลงทาง ที่นี่ใหญ่มากจริงๆเลยนะคะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสี่ยวเหยียนอึ้งตะลึงไปทันที: “หลงทาง?”
เมื่อครุ่นคิดสักพัก จึงพยักหน้าตาม “ใหญ่มากจริงๆค่ะ”
เมื่อครู่หล่อนเดินตามหลังบริกรตั้งนานกว่าจะมาถึงที่นี่ ถ้าบริกรไม่พามา หากตอนนี้ให้หล่อนเดินกลับไปที่งานเลี้ยงเอง หล่อนคง…หาทางกลับไม่เจอเช่นกัน
“นั่นสิ เธอกำลังทำอะไรอยู่เหรอ? ทำไมนั่งอยู่บนชิงช้าล่ะ?” ซูเหยาเหยามองคุณจางด้วยใบหน้าอันอ่อนหวาน และค่อยๆเดินเข้าไปใกล้
เมื่อบริกรเห็นหล่อน อยากจะรีบเข้าไปขวางไว้ แต่ดูเหมือนว่าหล่อนจะไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร และยังเป็นแขกที่เดินหลงทางมา จึงหยุดความคิดนี้ไว้
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เสี่ยวเหยียนจึงรู้สึกเคอะเขินเล็กน้อย
“ด้านใน…คนเยอะเกินไป ฉันรู้สึกอึดอัด ก็เลยออกมาเดินเล่นรับลม พอเห็นชิงช้าตัวนี้ที่สวยมาก ก็เลยอดไม่ได้ที่จะนั่งลงสักหน่อย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซูเหยาเหยาจึงเหลือบมองดูชิงช้าที่หล่อนกำลังนั่งอยู่ จากนั้นพยักหน้าลงด้วยความชื่นชม
“สวยมากจริงๆ เจ้านายของพวกนายนี่รสนิยมดีมาก มีชิงช้าแบบนี้ในสวนด้วย เป็นเพราะในบ้านมีเด็กเหรอ?”
บริกรพยักหน้าลง
“ใช่ครับ เป็นคำสั่งจากคุณหนูให้ทำขึ้นมาครับ”
หา? สีหน้าของเสี่ยวเหยียนเปลี่ยนไปทันที ที่แท้ก็เป็นชิงช้าให้เด็กเล่น แต่หล่อนโตขนาดนี้แล้วกลับมาเล่นอยู่อีก คงดูปัญญาอ่อนมากสินะ?
“คุณจางนั่งเถอะครับ ไม่เป็นไร ช่วงนี้คุณหนูไม่อยู่ที่บ้าน อีกอย่างคุณชอบชิงช้าตัวนี้มาก หล่อนคงไม่ถือสาอะไร”
ซูเหยาเหยาเห็นเช่นนั้น จ้องไปที่ชิงช้า จู่ๆก็พูดขึ้น: “ชิงช้าตัวนี้ดูใหญ่มากเลย จะถือสาอะไรไหม หากจะขอนั่งอีกคน?”
“เอ่อ…” เสี่ยวเหยียนก็ไม่ค่อยแน่ใจ จึงทำได้เพียงหันไปถามบริกร
ซูเหยาเหยายิ้มอย่างเคอะเขิน
“ขอโทษนะคะ ดูเหมือนว่าฉันจะขอมากไปหน่อย แต่ฉันก็ไม่อยากกลับเข้าไปในงาน อีกอย่างหลงทางมาเจอสถานที่น่าสนใจขนาดนี้ ก็อยากจะขออยู่ดื่มด่ำด้วย ไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่นนะ”