บทที่ 1122 คนเดียวสบายใจ
“ไม่เป็นไร แต่…” เสี่ยวเหยียนยังคงหันไปถามความเห็นของบริกร
บริกรยิ้มให้: “ถ้าคุณจางยอมให้หล่อนนั่งด้วย ก็ตามเจตนาของคุณจางเลยครับ แม้ว่าชิงช้าตัวนี้จะไม่เคยมีใครนั่งพร้อมกันสองคนมาก่อน แต่ดูแล้วคงไม่มีปัญหาอะไรครับ”
“…ไม่เคยมีใครนั่งสองคนมาก่อน?” เมื่อบริกรพูดมาเช่นนี้ เสี่ยวเหยียนรู้สึกตื่นตกใจขึ้นมาทันที
หล่อนไม่ได้กลัวตกลงมา เพียงแค่กลัวว่าจะทำให้ชิงช้าพัง เพราะนี่ไม่ใช่ของของหล่อน ให้หล่อนตัดสินใจคงจะดูไม่ดี
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เสี่ยวเหยียนจึงลงมาจากชิงช้า จากนั้นพูดขอโทษกับซูเหยาเหยา “ขอโทษนะคะ ชิงช้าตัวนี้ไม่ใช่ของฉัน ดังนั้นฉันไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะให้เธอนั่งด้วยได้หรือไม่ ถ้าเธออยากนั่ง เธอตัดสินใจเองได้ตามสบายเลย”
ซูเหยาเหยา: “…”
เดิมทีเป็นแค่เรื่องเล็กๆ ซูเหยาเหยาไม่ได้คิดอะไรมาก หล่อนจะให้นั่งหรือไม่ก็ไม่เป็นไร หล่อนแค่อยากหาโอกาสเข้าใกล้ แอบถามเรื่องหล่อนกับหานชิงเท่านั้น
แต่ตอนนี้ล่ะ? คิดไม่ถึงเลยว่าเสี่ยวเหยียนจะให้หล่อนตัดสินใจเอง งั้นก็หมายความว่าหล่อนคืนอำนาจตัดสินใจให้หล่อนแล้วสิ และไม่ว่าผลของการตัดสินใจจะเป็นอย่างไร สุดท้ายหล่อนก็ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ
เห็นทีหล่อนคงดูถูกหญิงสาวคนนี้มากไปแล้ว หล่อนไม่ได้ซื่อใสเหมือนลักษณะภายนอก
ถ้าหล่อนอยากจะหยั่งเชิงถาม มันก็คงจะยากหน่อยใช่ไหม?
แต่ไม่นานนัก ซูเหยาเหยาก็ตั้งสติขึ้นมาได้ ยิ้มและพูดตอบ: “ในเมื่อพูดมาขนาดนี้แล้ว ถ้าฉันยังขึ้นไปนั่งอีกก็คงไม่เหมาะสมเท่าไหร่ แต่ทำไมเธอถึงคิดอยากออกมาล่ะ? ฉันว่าในงานครึกครื้นมากเลยนะ”
ขณะที่ซูเหยาเหยาพูดอยู่ หล่อนกลับเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้หินอ่อนด้านข้าง ชายกระโปรงยาวลากพื้น
เสี่ยวเหยียนเห็นเช่นนั้น จึงต้องเดินไปนั่งตรงข้ามหล่อน
กระโปรงของหล่อนไม่ได้ยาวขนาดนั้น คลุมเข่าพอดี เผยให้เห็นเรียวขาอันสวยงาม เมื่อนั่งลงก็ไม่ทำให้ชายกระโปรงลากพื้น
ฉากนี้ทำให้เห็นถึงความแตกต่างทั้งสอง ทำให้ซูเหยาเหยารู้สึกไม่พอใจขึ้นมา
หล่อนชอบชุดราตรีของเสี่ยวเหยียน เป็นผลงานของดีไซน์เนอร์คนหนึ่ง หล่อนชอบผลงานของดีไซน์เนอร์ผู้นี้มาก แต่ที่น่าขัดใจก็คือ…ผลงานของดีไซน์เนอร์คนนี้มีเพียงแบบละตัวเท่านั้น อีกทั้งยังไม่มีไซส์ที่หล่อนใส่ได้อีกด้วย
ถูกต้อง ซูเหยาเหยาเป็นคนที่มีรูปร่างค่อนข้างอวบ ทานน้อย แต่ยังคงอวบท้วม แต่หล่อนก็ไม่ยอมขยับออกกำลังกาย…ดังนั้นจึงทำได้เพียงควบคุมตัวเองไม่ให้ทานของที่ทำให้อ้วน แต่บางครั้งหล่อนก็อดใจตัวเองไม่ได้ที่จะทานของหวานหรือของทอด พออ้วน เมื่อใส่กระโปรงแล้วก็ไม่พอดีตัว เผยให้เห็นถึงจุดที่ไม่สวยงาม และขาของหล่อนยังใหญ่อีกด้วย
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าผลงานของนักออกแบบท่านนี้จะดูดีและเหมาะสมมากเมื่ออยู่บนเรือนร่างของเสี่ยวเหยียน
“งานเลี้ยงครึกครื้นมากจริงๆ แต่ฉันอยากอยู่คนเดียว สบายใจกว่า” เสี่ยวเหยียนเพิ่งจะนั่งได้ไม่นาน ก็พูดอธิบาย
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซูเหยาเหยาก็ตั้งสติขึ้นมา ยิ้มให้: “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ งั้นฉันก็เหมือนกับเธอ งานเลี้ยงช่างน่าเบื่อ ก็เลยออกมาเดินเล่น คิดไม่ถึงเลยว่าจะหลงทาง ถ้าเธอไม่ถือสาอะไร ฉันขอนั่งคุยกับเธอตรงนี้สักพักได้ไหม?”
จางเสี่ยวเหยียนพยักหน้าลงอย่างนอบน้อม: “ได้สิ”
เพราะตอนที่เสี่ยวเหยียนออกมา หล่อนหยิบเค้กออกมาเยอะมาก หล่อนก็ไม่อยากกินคนเดียวจนหมด จึงแบ่งเค้กให้ซูเหยาเหยาได้ทานด้วย
เมื่อเห็นเค้ก สีหน้าของซูเหยาเหยาเปลี่ยนไปทันที
“ไม่เป็นไร ฉันลดความอ้วนอยู่ ของพวกนี้แคลอรี่สูงเกินไป”
“งั้นเหรอ?” เสี่ยวเหยียนมองดูขนมที่ตัวเองเอามา ดูเหมือนว่าจะมีแต่ของที่แคลอรี่สูงจริงๆ หล่อนครุ่นคิดสักพัก “ไม่ลองชิมสักหน่อยเหรอ?”
ซูเหยาเหยาส่ายมือไปมา
“ก็ได้ งั้นฉันไม่เกรงใจแล้วนะ วันนี้ฉันยังไม่ได้ทานอะไรเลย ฉันทานอะไรเติมท้องสักหน่อย”
เมื่อพูดจบ เสี่ยวเหยียนก็เริ่มทานเค้กด้วยความตั้งใจ
ตอนแรกซูเหยาเหยาคิดว่าหล่อนเป็นพวกคนที่กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน แต่เมื่อได้ยินหล่อนบอกว่าวันนี้ยังไม่ทานอะไร หล่อนจึงคิดเยาะเย้ยภายในใจขึ้นมาทันที
อะไรกัน ที่แท้ก็คนที่กลัวอ้วนจนหิวกระหาย แล้วตอนนี้ยังมีกินเค้กตรงนี้อีก? เสแสร้งให้ใครดู
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ซูเหยาเหยาจึงพูดขึ้น: “เธอทานเค้กอยากขนาดนี้ ไม่กลัวอ้วนเหรอ?”
เสี่ยวเหยียนส่ายหน้า: “คงไม่เป็นไรหรอก ฉันชอบทานเค้กมากเลย”
ก็แค่กลัวว่ากินเยอะแล้ว ท้องจะป่องแค่นั้น
“……”
เหอะๆ ซูเหยาเหยาหัวเราะเยาะอยู่ภายในใจ ให้เธอได้เสแสร้งต่อ ฉันจะทำให้เธอต้องขายหน้า
“เธอไม่ทานอะไรทั้งวัน ไม่ได้เป็นเพราะลดความอ้วนหรือไง?”
เสี่ยวเหยียนรู้สึกว่าคำพูดนี้ฟังดูแปลกๆ จึงพยักหน้าลง “อื้ม กระโปรงตัวนี้ต้องพึ่งรูปร่างที่ดี ฉันไม่กล้ากินอะไรเพราะกลัวว่าท้องจะป่องออกมา ดังนั้นก็เลยหิว แต่เดี๋ยวงานเลี้ยงจบ ฉันก็คงไม่ต้องสวมชุดนี้แล้ว ก็เลยคิดว่ากินนิดหน่อย คงไม่เป็นอะไรหรอก”
ซูเหยาเหยา: “…”
คิดไม่ถึงเลยว่าหล่อนจะพูดตรงขนาดนี้ อีกทั้งไม่รู้เลยว่าตัวเองพูดออกแบบนี้แล้วจะมีปัญหา ซูเหยาเหยารู้สึกสงสัย: “ปกติเธอลดความอ้วนไหม?”
เสี่ยวเหยียนส่ายหน้า: “ไม่ลดค่ะ ช่วงนี้ทำงานยุ่งมาก ทำให้ผอมเกินไปแล้ว”
เมื่อก่อนหล่อนรักษาน้ำหนักไว้ได้ดีมาก แต่หลังจากกลับมาจากต่างประเทศหล่อนก็ผอมมาโดยตลอด ถ้าเป็นเมื่อก่อน หล่อนไม่มั่นใจเลยว่าจะใส่กระโปรงตัวนี้ได้หรือไม่ ชีวิตหนอ~
ซูเหยาเหยามองดูใบหน้าอันเรียวเล็กและแขนอันซูบผอม และเอวที่คอดมาก จึงไม่อยากพูดอะไร
เสี่ยวเหยียนกำลังทานอย่างเชื่องช้า จนไม่ได้สนใจคำพูดของซูเหยาเหยาเลยสักนิด ซูเหยาเหยานั่งอยู่สักพัก สุดท้ายทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงเอ่ยปากถามขึ้น
“เอ่อ…เมื่อครู่ฉันเหมือนว่าฉันเห็นเธออยู่กับประธานหาน?”
“เอ๊ะ?” หล่อนพูดถึงประธานหาน เสี่ยวเหยียนที่กำลังทานอยู่ หยุดชะงักไปทันที จนเกือบจะสำลักออกมา หล่อนลูบหน้าอกของตัวเองอยู่นานสักพัก บริกรจึงรีบนำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟให้: “คุณจางดื่มน้ำสักหน่อยครับ”
เสี่ยวเหยียนจึงหยิบมาดื่ม ทำให้รู้สึกโล่งขึ้น จากนั้นจึงหันไปมองซูเหยาเหยาที่อยู่ตรงหน้า
หล่อนหน้าตาดี อีกทั้งยังสวมชุดที่สวยและแพงมาก ก่อนหน้านี้หล่อนบอกว่าตัวเองออกมาเข้าห้องน้ำ ไม่ทันระวังจึงหลงทางมาที่นี่ แต่ระยะทางระหว่างงานเลี้ยงกับที่ตรงนี้นั้นไกลมาก ถ้าบริกรไม่ได้เป็นคนพาหล่อนมา ไม่ว่าหล่อนจะหลงทางยังไงก็ไม่มีทางเดินมาถึงที่นี่ได้
เมื่อครู่หล่อนเพียงแค่คิดว่าไม่คุ้นเคยกับที่นี่จึงหลงทาง
แต่หลังจากที่หล่อนพูดถึงประธานหาน เสี่ยวเหยียนจึงรู้สึกผิดสังเกต
เมื่อมาคิดดูดีๆตอนนี้ รู้สึกแปลกจริงๆ
ไม่ว่าจะไกลขนาดไหน ก็คงต้องเดินไปที่อื่นจึงจะถูก ทำไมถึงหลงมาถึงที่นี่ได้
อีกอย่างหล่อนก็แค่หลงทาง ถามทางสักหน่อยก็กลับไปได้แล้วไม่ใช่หรือไง ทำไมต้องอยู่ถามเรื่องแบบนี้กับหล่อน?
เมื่อถูกฝ่ายตรงข้ามจ้องมองมาเช่นนี้ ไม่รู้ว่าทำไม ซูเหยาเหยาจึงรู้สึกกลัวขึ้นมา อีกอย่างสายตาของสาวน้อยคนนี้ดูแหลมคมเหลือเกิน หล่อนถามเพียงคำถามเดียวเท่านั้นเอง
เมื่อคิดถึงตอนนี้ หล่อนรีบเอ่ยปากพูดทันที
“เธออย่าเข้าใจผิดนะ ฉันแค่ถามดู ถ้าเธอไม่สะดวกตอบ ฉันก็จะไม่ถามแล้ว”