บทที่ 1126ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น
พูดถึงขนาดนี้แล้ว ลุงหนานจึงรู้สึกว่าตัวเองไม่จำเป็นพูดเยอะอีกแล้ว ยังไงเรื่องของผู้หญิงกับผู้ชายก็มีแต่เรื่องแบบนั้น เขาเองก็แก่แล้วพูดอะไรไม่ได้ ท่านประธานคงจัดการตัวเองได้
หลังจากเห็นเสี่ยวเหยียนเดินขึ้นไปแล้ว หานชิงจึงบอกให้ลุงหนานขับรถออกไป
เสี่ยวเหยียนกลับถึงห้องอย่างไร้เรี่ยวแรง
ตอนที่อยู่บนรถ หล่อนถอดรองเท้าออก ตอนลงจากรถจึงไม่ได้หยิบรองเท้าลงมาด้วย จึงต้องเดินเท้าเปล่าไปถึงหน้าประตู จากนั้นก็สแกนนิ้วเข้าห้องไป
หล่อนเพิ่งเข้าไปในห้อง ตอนปิดประตูก็หันไปเห็นหลัวหุ้ยเหม่ยที่นั่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล
หล่อนยืนสองมือกอดอกอยู่ตรงหน้า มองหล่อนด้วยความสงสัย
“ในที่สุดก็ยอมกลับมาแล้วเหรอ? ยังใส่ชุดกระโปรงสวยขนาดนี้ด้วย? หรือว่าคนที่มาส่งลูกก็คือ…”
“ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องพูดอะไร! ไม่มีอะไรทั้งนั้น!”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เสี่ยวเหยียนก็อารมณ์เสียจนพูดขัดหลัวหุ้ยเหม่ย
หลัวหุ้ยเหม่ยเพิ่งสังเกตเห็นว่าสีหน้าของลูกสาวซีดเซียวมาก อีกอย่างตอนที่กำลังพูด ตาของหล่อนยังแดงอีกด้วย
หล่อนตกใจตะลึง รีบเดินเข้าไปดู
“นี่ลูกเป็นอะไรไป?”
ตอนบ่ายเห็นหล่อนออกไปด้วยท่าทางดีใจมีความสุข ทำไมกลับมาแล้วเปลี่ยนไปขนาดนี้ล่ะ?
หลัวหุ้ยเหม่ยไม่แน่ใจว่าหล่อนเป็นอะไรไป เพียงแค่เห็นว่าตาของลูกสาวนั้นแดงมาก คนเป็นแม่จึงรู้สึกร้อนใจมาก ได้แต่คอยถามหล่อนตลอด: “เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึเปล่า? ลูกออกไปกับใคร? คนที่มาส่งลูกเมื่อกี๊รังแกลูก?”
หลัวหุ้ยเหม่ยไม่ถามอะไรยังดีกว่า เสี่ยวเหยียนสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ กระทั่งกลับเข้าห้องไปด้วยสีหน้านิ่งเรียบ และอาบน้ำพร้อมล้มตัวลงนอนได้เหมือนหุ่นยนต์
แต่ใครจะไปคาดคิด เมื่อได้รับความห่วงใยจากคนในครอบครัว ใจของหล่อนก็แตกสลายไปทันที
หล่อนเผยอปากขึ้นเล็กน้อย อยากพูดบางอย่างกับหลัวหุ้ยเหม่ย แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร น้ำตาก็ไหลรินออกมา จากนั้นก็สะอึกสะอื้นไม่หยุด
หลัวหุ้ยเหม่ยรีบเช็ดน้ำตาให้หล่อน
“ลูกอย่าร้องไห้สิ บอกแม่มาซิว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“หื่อ…” เสี่ยวเหยียนอยากพูด แต่กลับพูดอะไรไม่ออกเลย
ทำได้เพียงขยับตัวเข้าไปซุกในอ้อมอกของหลัวหุ้ยเหม่ย หลัวหุ้ยเหม่ยอ้าแขนสองข้างรับหล่อน ไหล่ของหล่อนเปียกอย่างรวดเร็ว หล่อนอยากถาม แต่เมื่อเห็นสภาพของลูกในตอนนี้ กลัวว่าหล่อนจะพูดอะไรออกมาไม่ชัดเจน จึงหยุดความคิดนั้นไป ค่อยๆลูบไหล่ของเสี่ยวเหยียน
“เหยียนเหยียน พวกเราไม่พูดแล้วนะ ไม่ต้องร้องไห้แล้ว เด็กดี~”
พ่อจางที่อยู่ในห้องกำลังเตรียมจะนอน เมื่อได้ยินเสียงบางอย่างด้านนอกจึงเปิดประตูออกไปดู เขาเห็นลูกสาวของตัวเองร้องไห้หนักมาก อยากจะเดินเข้าไป
สุดท้ายถูกหลัวหุ้ยเหม่ยปัดมือบอกให้เขาหยุดอยู่ที่เดิม และบอกเป็นนัยว่าให้เขากลับไปที่ห้อง อย่าออกมาเดินเพ่นพ่าน พ่อจางจนปัญญา แต่ก็ยังยอมกลับไปที่ห้อง
เสี่ยวเหยียนไม่รู้ว่าตัวเองร้องไห้อยู่นานเท่าไหร่ สุดท้ายหล่อนก็ถูกหลัวหุ้ยเหม่ยพากลับไปที่ห้อง และหล่อนก็ไม่มีแรงอาบน้ำ สวมชุดราตรีสีขาวล้มนอนลงไปบนเตียง
“เหนื่อยใช่ไหม? นอนก่อนไหม ตื่นแล้วค่อยอาบน้ำ?”
เสี่ยวเหยียนพยักหน้าตาม ร้องไห้จนตาบวมเป่ง นอนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทีน่าสงสาร
หลัวหุ้ยเหม่ยรู้สึกสงสารลูกจับใจ หล่อนหยิบผ้าเช็ดหน้าที่เปียกชื้นขึ้นมาเช็ดน้ำตาแทนหล่อน ลูบหน้าผากของหล่อน และพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวาน: “นอนหลับพักผ่อนดีๆนะ แม่จะคอยเฝ้าอยู่ตรงนี้”
เสี่ยวเหยียนหลับตาลง แต่มือยังคงจับหลัวหุ้ยเหม่ยไว้ คงเป็นเพราะร้องไห้จนเหนื่อย ไม่นานนักหล่อนก็หลับไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อพ่อจางไม่ได้ยินเสียงด้านนอกแล้ว จึงแอบเดินออกมา จากนั้นแอบแง้มประตูห้องเสี่ยวเหยียนเข้ามาดู
เมื่อหลัวหุ้ยเหม่ยได้ยินเสียงดังมากจากด้านนอก จึงหันมามองพ่อจาง ทำปากบอกเป็นนัยให้เขากลับไปนอนที่ห้อง
ใครจะไปคิดว่าพ่อจางกลับเดินเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้น?” เขาทำปากถามขึ้น
หลัวหุ้ยเหม่ยจ้องเขาตาเขม็ง พูดด้วยเสียงแผ่วเบา: “คุณเข้ามาทำไม? ฉันให้คุณกลับไปนอนที่ห้องไม่ใช่เหรอ? จะยุ่งอะไรนักหนา”
พ่อจาง: “…”
“อะไรคือการบอกว่าเขายุ่ง? เสี่ยวเหยียนก็เป็นลูกสาวของเขา เขาจะยุ่งไม่ได้หรือไง?”
หลัวหุ้ยเหม่ย: “ดึกขนาดนี้แล้ว ไม่เห็นหรือไงว่าลูกหลับแล้ว? คุณจะมายุ่งอะไรอีก?”
พ่อจางถูกต่อว่ากลับ จึงตัดสินใจไม่อยู่ต่อล้อต่อเถียงกับภรรยาแล้ว เขากวาดสายตามองไปที่เสี่ยวเหยียน
หลัวหุ้ยเหม่ยห่มผ้าให้หล่อนเรียบร้อย มีเพียงใบหน้าที่โผล่ออกมาด้านนอก พ่อจางเห็นตาที่แดงก่ำของเสี่ยวเหยียนอย่างชัดเจน “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมลูกถึงร้องไห้ล่ะ? ถูกใครกลั่นแกล้งรึเปล่า?”
ครุ่นคิดสักพัก หลัวหุ้ยเหม่ยดูให้มั่นใจว่าเสี่ยวเหยียนหลับสนิทแล้ว จึงค่อยๆดึงมือออกมา จากนั้นบอกให้พ่อจางออกไปกับหล่อน
ทั้งสองเดินย่องออกไปด้านนอก จากนั้นปิดประตูลง เดินไปนั่งที่ห้องรับแขก
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่? คุณอยากให้ผมร้อนใจตายเลยหรือไง ลูกร้องไห้หนักขนาดนี้ ผมเป็นถึงพ่อของลูกจะไม่มีสิทธิ์รู้บ้างเลยหรือไง?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลัวหุ้ยเหม่ย เงยหน้าขึ้นมามองเขา: “คุณจะร้อนใจอะไรนักหนา ถ้าฉันรู้ฉันจะไม่บอกคุณได้ยังไง? เหยียนเหยียนกลับมาก็มีท่าทางแปลกๆ ฉันถามลูกไม่กี่คำ ก็ร้องไห้ใหญ่เลย อ๋อ หรือคุณอยากให้ฉันคอยถามลูกตอนร้องไห้ตลอดเวลาว่าเป็นอะไร รีบพูดมาสิ อย่างนี้เหรอ?”
พ่อจาง: “…ผมไม่ได้คิดแบบนั้นสักหน่อย ก็แค่คิดว่าคุณรู้ ก็เลยถามคุณเยอะ”
“ฉันก็ไม่รู้ว่าหล่อนเป็นอะไร แต่รู้ว่าหล่อนดูผิดปกติมาก คงเป็นเพราะเรื่องความรัก”
เมื่อได้ยินว่าเป็นเรื่องความรัก พ่อจางรู้สึกกลัวขึ้นมาทันที “เฮ้อ ลูกโตแล้วก็ต้องมีแฟนแต่งงานแล้ว”
หลัวหุ้ยเหม่ย: “ให้หล่อนนอนพักดีๆก่อนเถอะ ลูกร้องไห้จนเหนื่อยแล้ว มีเรื่องอะไรค่อยคุยกันพรุ่งนี้”
“อื้ม งั้นพรุ่งนี้ค่อยถามแล้วกัน”
“ตกลงกันก่อน ถ้าลูกไม่ยอมบอก คุณห้ามบีบบังคับลูกให้พูด”
พ่อจาง: “คุณเห็นผมเป็นคนยังไง? ผมเป็นคนแบบนั้นเหรอ? ให้ตายสิ!”
เขาโกรธจนสะบัดมือกลับไปที่ห้อง หลัวหุ้ยเหม่ยกลับนั่งถอนหายใจอยู่ในห้อง หล่อนไม่ได้บอกเรื่องที่เห็นรถคนนั้นที่จอดอยู่ด้านล่างกับพ่อของเสี่ยวเหยียน
แม้ว่าหล่อนไม่ค่อยรู้เรื่องรถ แต่พ่อจางชอบรถมาก มักจะพูดให้หลัวหุ้ยเหม่ยฟังบ่อยๆ ดังนั้นเมื่อหลัวหุ้ยเหม่ยเห็นลักษณะของรถคันนั้นจึงพอจะมองออกว่าเป็นรถที่มีราคาสูงมาก
พวกเขาเป็นคนชั้นกลางธรรมดา จะไปมีปัญญาขัดแย้งอะไรกับครอบครัวแบบนี้ นอกเสียจากว่าเสี่ยวเหยียนจะไปมีเรื่องอะไร แต่วันนี้ที่เสี่ยวเหยียนเสียใจและทุกข์ใจขนาดนี้
เห็นทีคงไม่ใช่เรื่องน่ายินดีอะไร…
*
“เธอมีสิทธิ์อะไรมาอยู่เคียงข้างฉัน? ปฏิเสธไปแล้วตั้งหลายครั้ง ฟังไม่รู้เรื่องหรือไง? หรือว่า โง่จนฟังไม่ออกว่าคำพูดพวกนี้หมายความว่ายังไง?”
“พวกเธอดูผู้หญิงคนนั้นสิ น่าสมเพชชะมัด ถูกเขาปฏิเสธมาตั้งหลายครั้งแต่กลับยังหน้าด้านหน้าทน หรือหล่อนไม่รู้ว่าอะไรคือศีลธรรมและจริยธรรม?”
“ฉันว่าหล่อนเป็นคนหน้าด้าน ฝ่ายชายบอกไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าไม่มีทางชอบหล่อน แต่ยังคงรั้งไว้อย่างนั้นไม่ไปไหน แม้แต่ผู้ติดตามเขายังไม่ตามตอแยเหมือนหล่อนเลย”
“ต่ำมาก! ต่ำจนไม่มีความเป็นมนุษย์! ถ้าฉันเป็นหล่อน เรื่องขายหน้าแบบนี้ฉันยอมตายดีกว่า!”
เสี่ยวเหยียนลืมตาขึ้น ตกใจตื่นจากฝันร้าย