บทที่ 1128 ต้องโทรไปถามหรือไม่
หานชิงรู้สึกสงสัยอยู่ภายในใจ
หลังจากความสงสัยนี้ยืดเยื้อไปเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง คนที่ควรมาปรากฏตัวในห้องทำงาน กระทั่งตอนนี้ยังไม่เห็นแม้กระทั่งเงา
หานชิงขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย เห็นทีการกระทำของเขาเมื่อคืนคงทำให้หล่อนตกใจจริงๆ
ไม่เช่นนั้นหล่อนที่ยังสบายดีอยู่ จู่ๆตอนนี้จะหายไปได้อย่างไร
คำพูดพวกนั้นของหล่อน ที่บอกว่าจะไม่ยุ่งอะไรกับเขาอีก หล่อนจริงจังเหรอ?
สายตาของหานชิงนิ่งไปทันที ปกปิดอารมณ์ไว้ไม่ให้ใครรับรู้ ผ่านไปสักพัก เขาโทรหาซูจิ่ว ให้หล่อนเรียกประชุมใหม่อีกครั้ง
ประชุมที่เดิมทีถูกเลื่อนไปเป็นวันพรุ่งนี้แล้ว จากนั้นกลับมาเรียกประชุมใหม่อีกครั้ง ซูจิ่วรู้สึกเหนื่อยใจเหลือเกิน แต่ในฐานะที่เป็นถึงเลขาผู้ทำงานเก่งกาจเบอร์หนึ่ง หล่อนจึงไม่กล้าพูดอะไร และไม่กล้าบ่นอะไร จึงพยักหน้าลงรับทราบและไปจัดการให้
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง การประชุมเริ่มขึ้น
ก่อนที่จะเข้าไปในห้องประชุม หานชิงเหลือบมองซูจิ่ว
“วันนี้ได้รับข่าวอะไรบ้างไหม?”
จู่ๆถูกถามขึ้นมาแบบนี้ ซูจิ่วจึงตกตะลึงไปทันที จากนั้นก็ตั้งสติขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว วันนี้เสี่ยวเหยียนที่ควรมาที่ห้องทำงานกลับไม่มา
“ไม่มีค่ะ”
หล่อนส่ายหน้าพลาง ครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว
ช่วงนี้เสี่ยวเหยียนมาที่นี่ทุกวัน และตรงเวลา ไม่ต้องพูดถึงหานชิง ซูจิ่วที่เป็นเลขาก็รู้สึกคุ้นชินไปด้วยเช่นกัน ดังนั้นวันนี้ที่หานชิงบอกให้เลื่อนประชุม ซูจิ่วก็กำลังคิดว่าเขาทำไปเพราะเสี่ยวเหยียนเป็นพิเศษเลยรึเปล่า
คิดไม่ถึงเลยว่า วันนี้ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของหญิงสาวผู้นั้น
จากนั้นหานชิงก็นั่งอย่างไม่มีชีวิตชีวาเพียงลำพังในห้องทำงาน
รอไปก็เท่านั้น เขาจึงเรียกประชุมใหม่อีกครั้ง
ตอนนี้ยังมาถามหล่อนว่าได้ข่าวอะไรหรือไม่?
เห็นได้ชัดว่าถามเรื่องเสี่ยวเหยียนไม่ใช่หรือไง?
“ประธานหาน ให้ฉันโทรหาไปถามแทนไหมคะ?”
“ไม่เป็นไร”
หานชิงตอบปฏิเสธคำแนะนำของซูจิ่วด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องประชุมด้วยท่าทางนิ่งขรึม เมื่อซูจิ่วเห็นเช่นนั้น จู่ๆก็ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรดี จนเอียงหัวลง
ในการประชุมครั้งนี้ ทุกคนต่างรู้สึกได้ถึงอารมณ์ฉุนเฉียวของหานชิง ขณะที่พูดคุยกับเขาก็เกรงว่าเขาจะระเบิดความโมโหออกมา ดังนั้นจึงต้องพูดอย่างระมัดระวัง เกรงว่าจะพูดอะไรผิด
ซูจิ่วเห็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดในวันนี้
หล่อนรู้สึกว่าแม้ว่าหานชิงจะมีความโกรธเคือง แต่ตลอดการประชุมเขาสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองไว้ได้ดีมาก และตั้งใจฟังคนอื่นพูด และยังเสนอความคิดเห็นให้อีกด้วย
ซูจิ่วทอดถอนใจ ใจของผู้ชายคนนี้ช่างเก็บซ่อนเก่งเหลือเกิน อีกทั้งเขายังอดทนอดกลั้นเก่งเช่นกัน
ไม่รู้ว่าเขาจะระเบิดออกมาเมื่อไหร่?
หลังจากเสร็จการประชุม หานชิงก็ตรงกลับไปที่ห้องทำงาน ซูจิ่วครุ่นคิดไปมา จึงลงไปถามที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ด้านล่าง
เมื่อพนักงานต้อนรับถูกถามเช่นนี้ รู้สึกกลัวจนแววตาสั่นคลอน
เพราะหลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสองวันก่อน หล่อนก็เป็นกังวลอยู่ตลอด กลัวว่าถึงตอนนั้นจะหาเรื่องลำบากใส่ตัวเอง ดังนั้นเมื่อคนกลุ่มนั้นบอกว่าอาทิตย์นี้ลาหยุด ต้องหาเวลาไปรบกวนหล่อนที่ร้าน แต่ไม่ว่ายังไงหล่อนก็ไม่ยอม
พวกหล่อนไม่ยอมฟัง ยังต่อว่าหล่อนขี้ขลาดอีกด้วย พนักงานต้อนรับแสดงให้เห็นว่าพวกเธออยากไปก็ไป แต่ฉันไม่ไป
ตอนนี้เมื่อถูกซูจิ่วถามเช่นนี้ และวันนี้เสี่ยวเหยียนก็ไม่ได้มาที่นี่ หล่อนจึงรู้สึกกลัวขึ้นมาทันที
หล่อนก็แค่ไม่มาวันเดียว เลขาซูต้องลงมาถามเองเลยเหรอ เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนี้สำคัญขนาดไหน ถ้าเป็นแค่พนักงานส่งของธรรมดา เลขาซูจะมาถามด้วยตัวเองเช่นนี้ได้อย่างไร
“ฉะ…ฉันไม่ทราบค่ะ…ปกติต้องมาแล้ว…แต่วันนี้ทำไมถึงไม่มา…”
ซูจิ่วเป็นคนฉลาดมาก เมื่อเห็นว่าหล่อนพูดจาติดๆขัดๆ ทั้งยังหลบๆซ่อนๆ หล่อนก็มองออกทันทีว่าผิดปกติ จากนั้นจึงหรี่ตามองหล่อนทันที
“เธอเป็นอะไร?”
เมื่อถูกซูจิ่วถามเช่นนั้น สีหน้าของพนักงานต้อนรับก็เปลี่ยนไปทันที
“ไม่มีอะไรค่ะ”
“ไม่มีอะไร แล้วเธอจะตื่นเต้นแบบนี้ทำไมล่ะ?”
หล่อนตกใจจนเม้มริมฝีปากทันที: “ฉะ…ฉันแค่…ปกติเห็นหล่อนมาบ่อยๆ วันนี้ไม่มา ก็เลยเป็นห่วงแค่นั้นค่ะ”
“ไม่มีทาง” ซูจิ่วไม่เชื่อใจหล่อนทันที: “ถ้าแค่เป็นห่วง ทำไมต้องหลบสายตาแบบนี้ด้วยล่ะ แม้แต่มองฉันก็ยังไม่กล้า เธอรู้ไหมว่าตอนนี้บนหน้าของเธอเขียนว่าอะไร?”
พนักงานต้อนรับยกมือขึ้นจับหน้าตัวเองทันที พูดอย่างมึนงง: “เขียนว่าอะไร?”
บนหน้าของหล่อน มีตัวอักษรที่ไหนกันล่ะ?
เป็นไปได้ยังไง?
“หวาดกลัว” ซูจิ่วยิ้ม
“เป็นไปไม่ได้” พนักงานสาวรีบส่ายหน้า “บนหน้าของฉันจะมีตัวอักษรได้อย่างไร?”
ซูจิ่ว: “…”
พนักงานคนนี้โง่หรือยังไง? หล่อนกลับคิดว่ามีตัวอักษรบนหน้าของตัวเองจริงๆ? ซูจิ่วกระแอมขึ้น: “ฉันคิดว่าฉันจำเป็นต้องอธิบายให้เธอฟัง ที่ฉันบอกว่าหวาดกลัว หมายถึงสีหน้าท่าทางของเธอ อีกอย่างเธอพูดจาคลุมเครือแบบนี้ แค่ดูก็รู้แล้วว่ามีเรื่องปิดบ้าง บอกมาเถอะ เกิดเรื่องอะไรขึ้น? เธอรู้อะไรมาใช่ไหม?”
พนักงานต้อนรับส่ายหน้า ยังคงยืนหยัดว่าไม่มีอะไร
“ได้ ตอนนี้เธอไม่พูดก็ได้ รอให้ฉันสืบได้…”
พนักงานต้อนรับรีบพูดขึ้นทันที: “ไม่เกี่ยวกับฉันนะคะ เพราะพวกหล่อนบอกว่าจะมาดูพนักงานที่มาส่งอาหารให้ประธานหานทุกวันว่าหน้าตาเป็นยังไง พวกหล่อนจะมากันทั้งหมด แต่ฉันก็ไม่มีทางเลือก ดังนั้นจึง…”
คิดไม่ถึงเลยว่าวิธีของหล่อนจะได้ผลเร็วขนาดนี้ ซู่จิ่วอดไม่ได้ที่จะยักคิ้วขึ้น
“ดังนั้น พวกเธอก็เลยรังแกหล่อน? ทำให้หล่อนกลัวจนวันนี้ไม่กล้ามาแล้ว?”
“ไม่ๆๆๆไม่ใช่ค่ะ!” พนักงานต้อนรับรีบปฏิเสธทันที พูดอธิบาย: “เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสองวันที่แล้ว จากนั้นเสี่ยวเหยียนยังมาที่นี่อีก แต่ที่วันนี้หล่อนไม่มา ฉันไม่ทราบจริงๆค่ะ…”
เกิดขึ้นเมื่อสองวันที่แล้ว?
ซูจิ่วครุ่นคิดสักพัก ถ้าเรื่องเกิดขึ้นเมื่อสองวันที่แล้ว คงไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไรมาก อีกอย่างตอนที่เจอเสี่ยวเหยียน หล่อนก็ไม่ได้พูดอะไร เห็นทีคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
แต่ทว่า…ซูจิ่วยังคงหรี่สายตาลง มองหน้าพนักงานต้อนรับด้วยสายตาแหลมคม
“ถึงแม้ว่าจะไม่เป็นไร แต่ที่พวกเธอรวมหัวกันรังแกคนอื่น เรื่องนี้คือเรื่องจริงใช่ไหม?”
พนักงานต้อนรับเม้มปากแน่น ท่าทางน้อยใจ: “ฉันเปล่า ไม่ใช่ฉัน วันนั้นฉันไม่ได้พูดอะไรเลยจริงๆ พวกหล่อนพูดจาเหน็บแนมใส่เสี่ยวเหยียน เลขาซู ปกติแล้วทุกคนต่างชื่นชอบประธานหานมาก แต่เมื่อจู่ๆเห็นพนักงานส่งอาหารเข้าออกห้องทำงานของประธานหานได้ตามใจชอบ ก็เลยรู้สึกไม่พอใจ เลขาซูอย่าโกรธพวกเราได้ไหมคะ? พวกเราแค่คุยกับหล่อนนิดหน่อยเท่านั้น และไม่ได้รังแกหล่อนด้วย”
พนักงานต้อนรับพูดด้วยความจริงใจ ซูจิ่วรู้สึกว่ามีเหตุผล
ช่วงนี้เสี่ยวเหยียนมาที่บริษัทอยู่เป็นประจำ ต้องมีคนอิจฉาหล่อนเยอะอยู่แล้ว
“หล่อนแค่มาส่งอาหาร ถ้าไม่มีใครป่าวประกาศ คนที่รู้เรื่องนี้ก็คงมีไม่มาก เธอมาทำงาน ไม่ได้มานินทาชาวบ้าน ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาแล้วมาทำตัวใสซื่อ ก็ช่วยอะไรไม่ได้นะ”
เมื่อพูดถึงตอนนี้ สายตาของซูจิ่วก็ดุดันขึ้นมา น้ำเสียงก็เย็นชาขึ้นด้วย
“บริษัทตระกูลหานต้องการคนที่มีศักยภาพในการทำงาน ถ้าครั้งหน้ายังเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก งั้น…เธอก็ไปลาออกกับแผนกบุคคลเองนะ”