บทที่ 1130 คุณก็อย่ามาหาฉันอีก
จ้องจนหล่อนรู้สึกร้อนไปทั้งหลัง
สุดท้ายเสี่ยวเหยียนทนต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงหลบเข้าไปทำงานในห้องครัว ไม่ออกมาข้างนอกอีก
หลัวหุ้ยเหม่ยเห็นว่าหล่อนทำตัวผิดปกติ จึงแกล้งพูดว่าจะออกไปเสิร์ฟอาหาร ใครจะไปคิดว่าสุดท้ายจะถูกเสี่ยวเหยียนห้ามไว้
“แม่ ห้ามออกไปข้างนอก แม่ต้องอยู่กับหนูที่นี่เท่านั้น”
“นี่ลูกพูดเพ้อเจ้ออะไรของลูก? แม่จะออกไปเสิร์ฟอาหาร รีบหลีกไป”
“ไม่ค่ะ แม่แสร้งทำเป็นบอกว่าไปเสิร์ฟอาหาร แต่จริงๆแล้วแม่ต้องออกไปหาใครบางคนข้างนอก”
เสี่ยวเหยียนเข้าใจหลัวหุ้ยเหม่ยเป็นอย่างดี แต่หล่อนตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยุ่งกับเขาอีก จึงไม่อยากให้หลัวหุ้ยเหม่ยรู้ ยิ่งไม่อยากให้ไปเจอ
กลัวว่าต่อไปจะยิ่งทำตัวไม่ถูก
“ใครบอกกัน? ฉันจะออกไปหาใคร? ลูกไม่เห็นเหรอว่าในร้านยุ่งขนาดไหน? แม่แค่จะออกไปช่วย”
เสี่ยวเหยียนพูดด้วยสีหน้าเศร้า: “ในครัวก็ยุ่งมากนะคะ แม่อยู่ช่วยตรงนี้ก็เหมือนกัน”
ไม่ว่าหลัวหุ้ยเหม่ยจะพูดยังไง เสี่ยวเหยียนก็ไม่ยอมให้หล่อนออกไป จนถึงตอนค่ำ เสี่ยวเหยียนทานข้าวเย็นเสร็จก็ยังเก็บตัวอยู่ที่เดิม
“เขาคนนั้นไปแล้วยัง?”
หล่อนเรียกพนักงานมาถามอย่างระมัดระวัง
พนักงานส่ายหน้าไปมา
“ยังอยู่ค่ะ เจ้านายจะไม่ออกไปดูจริงเหรอคะ? ฉันเห็นว่าเขาอยู่ตรงนั้นมาทั้งวันแล้วนะ จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้ทานอะไรเลย หรือว่า…”
“ฝันไปเถอะ!” เสี่ยวเหยียนรีบพูดตัดบท: “ฉันรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ แต่ห้ามเด็ดขาด! เข้าใจไหม?”
ก็แค่ทนหิวหนึ่งวัน? วันนั้น ก่อนที่หล่อนไปร่วมงานเลี้ยงกับเขา หล่อนเองก็หิวไม่ได้ทานอะไรทั้งวัน สุดท้ายต้องแลกกลับมาด้วยอะไรล่ะ?
หล่อนไม่อยากโง่แบบนั้นอีกแล้ว ถ้าเขาอยากรอ ไม่กินข้าว ก็ปล่อยเขาไป
เสี่ยวเหยียนรู้ดีว่า เขาต้องมาเพราะเรื่องเงินหกหมื่น
จนถึงสามทุ่ม เสี่ยวเหยียนยังคงอยู่ในห้องครัว นอนฟุบอยู่ตรงนั้นจนไม่อยากลืมตาขึ้นมา
“เขายังไม่ไปอีกเหรอ?”
“ใช่ค่ะ เจ้านาย”
“……”
“ทำไมเขายังไม่ไปอีก?”
เสี่ยวเหยียนไม่เข้าใจ ก็แค่เงินหกหมื่นไม่ใช่เหรอ? ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้รึเปล่า?
“เหยียนเหยียน สรุปแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ นี่เขายังรออยู่ข้างนอก แม่ว่าลูกออกไปคุยกับเขาให้รู้เรื่องดีกว่าไหม?” แม้ว่าหลัวหุ้ยเหม่ยจะรู้สึกสงสัย แต่ยังไงก็เป็นห่วงลูกมากกว่า
คืนวันนั้นเห็นลูกร้องไห้หนักขนาดนั้น คนเป็นแม่จะไม่รู้สึกสงสารได้ยังไง? ตอนนี้หล่อนหลบหน้าเขาไม่ยอมเจอ คนที่ทำให้หล่อนร้องไห้วันนั้นก็คงเป็นเขาคนนี้
“เรื่องทุกอย่างก็ต้องมีทางออกไม่ใช่เหรอ? ลูกคอยหนีอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก”
“แม่ หนูไม่ได้หนี…”
หล่อนหลบหนีที่ไหนกัน หล่อนแค่ไม่อยากทำให้ตัวเองต้องผิดหวังเสียใจอีก
“ไม่ได้หนี งั้นลูกก็ออกไปคุยกับเขาให้รู้เรื่อง นี่เขารอมาเป็นวันแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนจริงใจมากเลยนะ”
หลัวหุ้ยเหม่ยพูดโน้มน้าวหล่อน กำแพงของเสี่ยวเหยียนก็ค่อยๆถูกทลายคง พยักหน้าอย่างจนปัญญา
“หนูเข้าใจแล้วค่ะแม่ เดี๋ยวหนูออกไปคุยกับเขาให้รู้เรื่อง”
“มีอะไรก็พูดออกมา อย่าเก็บไว้” หลัวหุ้ยเหม่ยพูดเตือนเสี่ยวเหยียน ดึงแขนเสื้อของหล่อน: “ได้ยินแล้วยัง? พูดกันเข้าใจแล้วทุกคนจะได้สบายใจด้วย”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
หานชิงมาตัวคนเดียว เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าจะต้องมารออยู่ที่นี่ทั้งวัน จนถึงตอนนี้สาวน้อยยังไม่ยอมออกมาหาเขา
อีกทั้งเขายังเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ได้ดีมาก จึงยอมรอหล่อนไม่ไปไหน กระทั่งตอนนี้เขายังไม่มีแสดงท่าทีอารมณ์ไม่พอใจออกมา
ตอนที่เสี่ยวเหยียนออกมาจากห้องครัว หล่อนคิดอยู่ภายในใจ
เดี๋ยวหล่อนจะต้องวางตัวควบคุมอำนาจไว้ให้ได้ จากนั้นก็จะพูดอธิบายให้ชัดเจน จะได้ไม่รู้สึกผิดกับตัวเองอีกต่อไป!
พูดให้จบรวดเดียว จากนั้นก็ไล่ให้หานชิงกลับไป! ต่อไปไม่ให้เขามาหาหล่อนอีก!
ขณะที่สาวน้อยเดินเข้าไป หานชิงกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ “อื้ม น่าจะใกล้แล้ว ดึกนิดหน่อย…”
เมื่อเห็นเงาของสาวน้อยปรากฏอยู่ตรงหน้า หานชิงรีบตัดสายทันที
“มาแล้วเหรอ?”
เมื่อสาวน้อยเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเขา หานชิงจึงถามขึ้นด้วยท่าทีนิ่งเรียบ
เสี่ยวเหยียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ตอนแรกคิดว่าเขารอหล่อนมาทั้งวันแล้ว คงจะหงุดหงิด คิดไม่ถึงเลยว่าน้ำเสียงของเขายังคงละมุนได้เช่นนี้ เขาไม่มีหัวใจเหรอ?
แต่ทว่า เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับหล่อนล่ะ?
“คุณมาหาฉันก็เพราะเรื่องเงินหกหมื่นใช่ไหม?” เสี่ยวเหยียนพูดเปิดประเด็นอย่างตรงไปตรงมา
หานชิงตกใจตะลึงเล็กน้อย เม้มปากไว้
เขาเดาไว้แล้วว่าเงินหกหมื่นนั้น เป็นเงินที่เสี่ยวเหยียนโอนมาให้เขา แต่เหตุผลที่เขามากลับไม่ใช่เรื่องนี้
“ฉันได้ยินมาว่าครั้งที่แล้วคุณต้องเสียโอกาสในการทำธุรกิจไปเป็นจำนวนเงินมหาศาลเพื่อที่จะไปจัดการเรื่องที่สถานีตำรวจ ชุดราตรีในวันนั้นก็คงเป็นคุณที่ซื้อให้ฉันด้วย ฉันรู้ดีว่าฉันติดเงินคุณเยอะมากขนาดไหน แต่…ฉันจะค่อยๆเก็บเงินและคืนให้คุณ”
คืนเงิน?
เมื่อหานชิงได้ยินเช่นนั้น จึงเลิกคิ้วขึ้นด้วยความไม่พอใจ
“หลินสวี่เจิ้งบอกคุณเหรอ?”
เสี่ยวเหยียนไม่อยากให้หลินสวี่เจิ้งมาเกี่ยวข้องด้วย จึงรีบพูดปฏิเสธทันที
“ไม่ใช่”
หล่อนปฏิเสธ ดูเหมือนหานชิงก็ไม่อยากซักถามอะไรต่อ เพียงแค่หรี่ตาลงเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ: “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณ คุณไม่ต้องมารับผิดชอบเรื่องนี้”
ไม่เกี่ยวกับหล่อน? เสี่ยวเหยียนเยาะเย้ยตัวเองจนกระตุกมุมปากขึ้น
“โอเค คุณบอกว่าไม่เป็นไร งั้นก็ไม่เป็นไร แต่ที่ฉันอยากคืนเงิน ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณด้วยเช่นกัน”
ดูจากท่าทางของหล่อนแล้ว หานชิงจึงไม่แน่ใจ หรี่ตาลงเล็กน้อย ถามเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงสองวันที่ผ่านมานี้
“สองวันนี้ คุณยุ่งมากเลย?”
“ทำไม? มีธุระกับฉัน?” สายตาของเสี่ยวเหยียนยังคงมองไปที่เขาด้วยความเยาะเย้ย แววตาของหานชิงมืดสนิท รอยระหว่างคิ้วเข้มและเด่นชัด
คุณไม่ได้ไปบริษัท”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสี่ยวเหยียนจึงทำท่าทางเข้าใจขึ้นมาทันที: “ที่แท้ก็เป็นเรื่องที่ฉันไม่ได้ไปส่งอาหารให้ประธานหาน? คุณพูดไม่ผิด ช่วงนี้ฉันยุ่งมากจริงๆ มีเรื่องที่ต้องจัดการจึงทำให้ไม่สะดวกไป เมื่อครู่ที่คุณเห็น ทั้งในร้านและนอกร้าน ฉันยุ่งจนไม่มีเวลาพักด้วยซ้ำ”
หลังจากพูดเรื่องนี้ออกไป ทั้งสองก็เงียบไปทันที
“พรุ่งนี้ไปไหม?”
เงียบไปสักพักหนึ่ง หานชิงจึงถามขึ้นด้วยความใจเย็น
เสี่ยวเหยียน: “…”
หล่อนกระพริบตาลงมองดูใบหน้าอันมีเสน่ห์ของหานชิงตรงหน้า ใบหน้าของเขาครึ่งหนึ่งซ่อนอยู่ในเงาของความมืด ดูไม่ค่อยจริงใจสักเท่าไหร่
“ไม่ไป” หล่อนตอบ
“อื้ม” หานชิงพยักหน้า แสดงให้เห็นว่าเขารับทราบแล้ว จากนั้นถามต่อ “แล้ววันมะรืนล่ะ?”
“…”
นี่เขาไม่เข้าใจจริงๆ หรือแกล้งโง่?
เสี่ยวเหยียนกัดริมฝีปากแน่น รู้สึกว่าที่หานชิงมาที่นี่ในวันนี้ เพื่อตั้งใจมาเยาะเย้ยหล่อน? ดังนั้นเขาจึงถามหล่อนมากมายขนาดนี้ หรือเขารู้สึกว่า จากนิสัยของหล่อนแล้ว ขอเพียงเขากระดิกนิ้ว หล่อนก็จะรีบกระดิกหางวิ่งไปหาทันที?
ฝันไปเถอะ!
เมื่อคิดถึงตอนนี้ เสี่ยวเหยียนใช้ฟันกัดฟันกรามอย่างเต็มแรง “ไม่ไป”
“แล้วจะไปเมื่อไหร่?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เสี่ยวเหยียนจึงเข้าใจขึ้นมาทันทีว่า ไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจ แต่เป็นเพราะเขาแกล้งโง่จริงๆ หล่อนอดไม่ได้ที่จะกระตุกปากขึ้น แสดงรอยยิ้มอันเย้ยหยันให้กับหานชิง
“ไม่ไปแล้ว และจะไม่ไปที่นั่นอีกต่อไป”
คำพูดนี้ หล่อนพูดอย่างมั่นใจและเด็ดขาด แววตาที่เต็มไปด้วยความเข้มแข็งและรอยยิ้มในปกติ กลับหลอมรวมกลายเป็นแววตาแห่งความเด็ดเดี่ยว
“ต่อไปฉันจะไม่ไปหาคุณที่บริษัทอีกแล้ว และคุณก็ไม่ต้องมาหาฉันด้วย”
หานชิงที่ทำตัวเย็นชามาโดยตลอด ในที่สุดตอนนี้เขาก็เลิกคิ้วขึ้น