บทที่1131 ฉันไม่มีอะไรพูดกับคุณ
ลมหนาวตอนกลางคืนพัดเข้ามา ปอยผมตรงหน้าผากของเสี่ยวเหยียนก็ถูกพัดขึ้น ดวงตาคู่นั้นยังคงเด็ดเดี่ยวดังเดิม ใบหน้าขาวไร้สีหน้าอื่นใด
“สิ่งที่ฉันอยากพูดก็พูดไปหมดแล้ว ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอเชิญท่านประธานหานช่วยออกไปด้วยค่ะ”
ร่างสูงตรงหน้ายังคงยืนนิ่งอยู่ตรงที่เดิม ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆออกมา มีเพียงดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นที่จ้องมองเธอเข้ามา
หมายความว่าเขาจะไม่ไป เสี่ยวเหยียนรอแล้วรออีก เขาก็ไม่ไปสักที เธอก็หันกลับเข้าร้านไปโดยไม่มองเขาเลยสักนิด
ในตอนที่เข้าไป หลัวหุ้ยเหม่ยได้มองอยู่ในที่ไม่ไกลออกไป เธอมองลูกสาวของเธอยืนคุยกับเด็กหนุ่มตรงหน้าประตูคนนั้นอย่างพึงพอใจ
ถึงแม้ว่าระยะห่างจะไม่ได้ใกล้อะไรนัก แต่หลัวหุ้ยเหม่ยก็ยังเห็นหน้าตาของชายคนนั้นได้อย่างชัดเจน มองยังไงก็เป็นมังกรในหมู่คน อีกทั้งตั้งแต่ตอนแรกจนถึงตอนนี้อารมณ์ก็ยังเรียบนิ่งอย่างมาก ไม่มีอาการตื่นเต้นดีใจอะไรออกมา มิน่าล่ะถึงสามารถทำให้ลูกสาวของเธอต้องเจ็บปวดเสียใจเพราะเขาได้
เห็นลูกสาวกลับมา หลัวหุ้ยเหม่ยอยากเข้าไปรั้งเธอไว้ แต่ผลสุดท้ายก็ไม่อาจรั้งเอาไว้ได้ จำต้องเข้าไปในห้องครัวพร้อมกับเสี่ยวเหยียน
“คุยกันเป็นยังไงบ้าง? ได้พูดตามที่แม่บอกแกหรือเปล่า เปิดใจคุยกัน?”
“เปิดใจแล้ว”
เสี่ยวเหยียนตอบออกไปอย่างเซื่องซึม เธอที่เดิมทีได้เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น หลังจากที่เห็นหานชิงแล้ว ทั้งร่างเหมือนกับหุ่นเชิดที่เสียการควบคุม ฟุบตัวลงอยู่ตรงนั้นอย่างคนไร้เรี่ยวแรง ท่าทางอย่างกับคนเบื่อโลก
“เปิดใจแล้ว แล้วผลเป็นยังไง? ทำไมแกถึงได้มีสภาพไร้เรี่ยวแรงขนาดนี้ได้กัน? พวกแกยังตกลงกันไม่ได้ใช่มั้ย?”
“แม่คะ แม่อย่าพูดมากไปเลย” เสี่ยวเหยียนเบือนหน้าออกไป ฟุบลงไปกับโต๊ะ
หลัวหุ้ยเหม่ยเริ่มเซ้าซี้ขึ้นมาอีกครั้ง
“นี่แม่กำลังเป็นห่วงชีวิตรักของลูกสาวของแม่อยู่นะ จะว่าพูดมากไปได้ยังไงกัน? แม่ไม่ได้ก้าวก่ายเรื่องของคนอื่นเขาเสียหน่อย แม่เห็นผู้ชายหล่อๆคนนั้นอยู่ไกลๆ รอแกอยู่เป็นวัน มีเรื่องอะไรแกก็อย่าเอาแต่โกรธอยู่เลย”
“หนูไม่ได้เอาแต่โกรธอยู่ เขารอหนูเพียงเพราะเรื่องอื่น หนูได้พูดกับเขาชัดเจนแล้ว ต่อจากนี้จะไม่ไปมาหาสู่กันอีกแล้ว”
ในตอนที่พูดถึงประโยคสุดท้ายแล้ว เสี่ยวเหยียนเหมือนกับว่าจะไร้เรี่ยวแรงทั้งหมดไป เอาหน้าซุกเข้าไปในฝ่ามือของตัวเอง
“…” หลัวหุ้ยเหม่ย
ลูกสาวพูดออกมาอย่างนี้แล้ว เธอก็ไม่รู้ว่าควรจะต้องพูดอะไรอีกเหมือนกัน
อย่างนี้แล้ว จนถึงตอนเย็นปิดร้าน หน้าร้านราเม็งก็ยังคงมีเงาร่างนั้นอยู่ พนักงานหลายคนทยอยเลิกงานกันไป ในตอนที่เดินออกไปก็ยังรวมกลุ่มกันซุบซิบเม้าท์มอยกัน
“อา เขาหล่อมากๆเลย เหมือนว่าจะหล่อกว่าผู้ชายคนนั้นที่มาหาเถ้าแก่เนี้ยครั้งที่แล้วเสียอีก นี่ก็รอเถ้าแก่เนี้ยของเรามาเป็นวันแล้วล่ะมั้ง? ทำไมเถ้าแก่เนี้ยถึงไม่สนใจเขาเลยล่ะ?”
“ไม่แน่ใจนะ เถ้าแก่เนี้ยของเราคงไม่ชอบเขา? ก็เลยไม่อยากสนใจเขา?”
“เถ้าแก่เนี้ยมาตรฐานสูงมากเลย ผู้ชายคุณภาพขนาดนี้ก็ยังไม่มองเลย”
“เถ้าแก่เนี้ยของพวกเราก็ยังเป็นยอดคนที่ซุกซ่อนเอาไว้คนนึง เปิดร้านราเม็งร้านนึงมา นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีผู้ชายขับรถหรูขนาดนี้มาหาเธอ เธอจีบผู้ชายจะเป็นการจับปลาสองมือเอาหรือเปล่า?”
“อย่าพูดเหลวไหลไปสิ นายหลินคนนั้นครั้งที่แล้วแม่ของเถ้าแก่เนี้ยก็เคยบอกพวกเราแล้วนี่ว่านั่นเป็นคนที่ให้เถ้าแก่เนี้ยของเราเช่าร้านบะหมี่ และอีกอย่างเขาก็มีภรรยาอยู่แล้วด้วย ทั้งยังหลงภรรยามากด้วย”
“ชิ ผู้ชายมีคนที่ให้หลงตั้งกี่คนกัน พูดแต่ปากกันเท่านั้นแหละ ใครจะรู้ล่ะว่าหลังจากนี้จะได้ครองคู่กันหรือเปล่า?”
“ เธออย่าพูดไร้สาระไปเลย รีบไปกันเถอะ”
กลุ่มคนที่รวมตัวกันอยู่ก็ได้แยกย้ายกันไป
ในตอนที่หลัวหุ้ยเหม่ยเก็บของเตรียมตัวกลับ นึกไม่ถึงว่าหานชิงจะยังยืนอยู่ตรงนั้น เธออดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปพูด
“คุณชายท่านนี้ ไม่งั้นแล้วคุณกลับไปก่อนดีมั้ยคะ? วันนี้ก็รอมาวันนึงแล้ว แล้วก็ยังไม่ได้กินอะไรด้วยอีก”
เห็นอายุอานามของอีกฝ่ายแล้ว แววตาของหานชิงก็กระตุกออกมาเล็กน้อย “คุณป้า สวัสดีครับ”
“สวัสดี ฉันเป็นแม่ของเสี่ยวเหยียน” หลัวหุ้ยเหม่ยแนะนำตัวเองออกไป จากนั้นก็เอ่ยออกไปอีกว่า “อย่ารอเลย รีบกลับไปเถอะ อย่าให้กระเพาะต้องทำงานหนักเลย”
มุมปากของหานชิงกระตุกเล็กน้อย เผยรอยยิ้มจางๆออกมา
“ขอบคุณคุณป้ามากครับที่เป็นห่วง ขอผมรออีกสักพักนึงเถอะครับ”
หลัวหุ้ยเหม่ยเห็นว่ากล่อมเขาไม่ขึ้น แล้วอีกฝ่ายก็ยังมีมารยาทมากอีก แล้วยังรักษาใบหน้าที่เรียบนิ่งเดาอารมณ์ไม่ถูกเอาไว้ สิ่งที่ได้ทำให้เขาแปลกใจนั่นก็คือนึกไม่ถึงว่าเขาจะไม่ขอให้เธอผู้เป็นแม่ของเธอช่วยเขาพูด ตรงจุดนี้ยิ่งทำให้หลัวหุ้ยเหม่ยต้องมองเขาใหม่เลยทีเดียว
ดังนั้นแล้วหลัวหุ้ยเหม่ยก็เลยกลับห้องครัวไป ดึงคอปกเสื้อของเสี่ยวเหยียนขึ้นมา
“ลุกขึ้นมา แกจะนั่งเปื่อยอย่างนี้ไปถึงเมื่อไหร่กัน? แกจะกลับบ้านมั้ยหา?”
เสี่ยวเหยียนที่นอนฟุบอยู่ตรงนั้นก็ได้ถูกดึงขึ้นมา สีหน้าที่แสดงออกมาดูไม่พอใจเล็กน้อย
“หนูเหนื่อยมาสองวันแล้วนะ หนูพักสักหน่อยไม่ได้เลยหรือไง?”
“ถึงแม้ว่าจะอยากพัก ก็ไม่ควรจะมาพักอยู่ที่นี่ กลับไปอาบน้ำ กินอะไรสักหน่อยแล้วไปนอนที่เตียงแกซะ”
เสี่ยวเหยียน “…”
ช่วยไม่ได้ เธอจำต้องลุกขึ้นเก็บของ แล้วเดินออกไปพร้อมกับหลัวหุ้ยเหม่ย
จากนั้นในตอนที่เดินมาถึงด้านหน้าประตู ฝีเท้าของเสี่ยวเหยียนก็ได้หยุดชะงักลง ใบหน้าเผยสีหน้ายากเกินบรรยายออกมา นึกไม่ถึงว่าเขาจะ…ยังไม่ไป?
เดิมทีเสี่ยวเหยียนก็นึกว่าหลังจากที่เธอได้พูดคำนั้นออกไปแล้ว ตามนิสัยของหานชิง จะต้องกลับไปแล้วนี่
นึกไม่ถึงว่าเขาจะยังอยู่ที่นี่
หลัวหุ้ยเหม่ยขยิบตาให้เธอเล็กน้อย
“ยังอยากจะเข้าไปคุยกันหน่อยมั้ย?”
เสี่ยวเหยียนย่นคิ้วเอ่ยออกมา “แม่คะ นี่แม่จงใจใช่มั้ยคะ? ทำไมแม่ไม่บอกหนูก่อน?”
“ถ้าแม่บอกแกก่อน คืนนี้แกคงไม่ต้องกลับบ้านกลับช่องแล้วใช่มั้ย?”
“…”
เหตุผลนี้นั้นมีอำนาจอย่างมาก นึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะไร้หนทางโต้แย้งได้แล้วจริงๆ
เสี่ยวเหยียนเดินเข้าไปด้วยใบหน้าที่เหม่อลอย เหมือนกับว่าไม่ได้มองเห็นหานชิงยืนอยู่ตรงนั้นเลย เธอได้ตัดสินใจแล้ว ว่าจะต้องยืนหยัดในจุดยืนของตัวเอง
ถ้าเพราะว่าเขามารอตนอยู่ที่นี่วันนึงแล้วเธอก็ใจอ่อนขึ้นมา
อย่างนั้นแล้วความเจ็บปวดที่เธอเคยได้รับเมื่อก่อนก็ปล่อยผ่านไปอย่างนั้น?
เธอไม่อยากทำร้ายตัวเองอย่างนี้ต่อไปอีกแล้ว
ประตูร้านราเม็งกว้างมาก แต่ทางที่พวกเสี่ยวเหยียนต้องเดินไปนั้นอยู่ทางที่ต้องผ่านหานชิงไปพอดี เสี่ยวเหยียนคิดอยากจะเดินอ้อมทางนี้ไปตรงๆ แต่ก็ถูกหลัวหุ้ยเหม่ยดึงเอาไว้
“ถึงยังไงแกก็ตัดสินใจไม่คุยกับเขาแล้ว ยังจะกลัวเดินผ่านเขาไปอีกหรอ?”
สุดท้ายแล้วเสี่ยวเหยียนก็ถูกหลัวหุ้ยเหม่ยดึงอ้อมไปทางหานชิง
จากนั้นในตอนที่ผ่านหานชิงไปนั้นเอง เสี่ยวเหยียนก็ได้ยินเสียงเยือกเย็นของเขาดังขึ้นมา
“ฉันมีเรื่องจะพูดกับเธอ”
มีเรื่องจะพูดกับเธอ? พูดอะไร? เสี่ยวเหยียนก็ได้ยกยิ้มเยาะหยันอยู่ในใจ ไม่ได้ตอบออกไป ขนาดฝีเท้าเองก็ยังเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
หานชิงขมวดคิ้วออกมาเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะก้าวเข้าไปขวางทางเดินของเธอเอาไว้ จากนั้นก็มองหลัวหุ้ยเหม่ยด้วยใบหน้าที่เป็นเชิงขอโทษ
“ขอโทษนะครับคุณป้า ขอเวลาคุณป้าสักสองสามนาทีนะครับ”
หลัวหุ้ยเหม่ยสื่อออกมา “เรื่องหนุ่มสาวอย่างพวกเธอก็จัดการกันไปเองเถอะ ฉันจะไปรออีกทาง เสี่ยวเหยียน พูดกันดีๆล่ะ”
เสี่ยวเหยียน “แม่…”
ในตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว ร้านค้าแถวนี้ส่วนใหญ่ก็ปิดกันไปหมดแล้ว ไฟถนนทอดเงาของคนทั้งสองยาวออกไป
หนึ่งวันนี้ หานชิงก็ดูเหมือนราวกับว่าจะดูไม่เป็นท่าไปอย่างมาก ไม่ได้ดูดีเพอร์เฟกต์เหมือนอย่างปกติ
เห็นหานชิงอย่างนั้นแล้ว ภายในใจของเสี่ยวเหยียนก็รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย ให้คุณได้ลองลิ้มลองความรู้สึกในตอนปกติของฉันดู
ในวันนั้น เธอก็หิวอยู่อย่างนี้ ทั้งวัน
ถ้าหากว่าสุดท้ายแล้วจะสมดั่งหวังก็แล้วไป
น่าเสียดายที่ไม่ เธอยังถูกทำร้ายเสียจนเจ็บปวดอย่างหนัก
คิดมาถึงตรงนี้แล้ว เสี่ยวเหยียนเอ่ยพูดเสียงเย็นออกมา
“คุณมีเรื่องจะพูดกับฉัน? แต่น่าเสียดายที่ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับคุณ”