บทที่1159 ปกป้องกันและกัน
เมื่อพูดคำว่าคุกออกมา ทุกคนนั้นอึ้งไปตามๆกัน และไม่สามารถประมวลผลได้
นี่เป็นแค่การแนะนำคู่เดทไม่ใช่เหรอ? พวกเขาเข้าใจว่า อย่างมากก็แค่หึงหวงแล้วลงไม้ลงมือกัน และท้ายที่สุดก็จะหาทางคืนดีกัน
ทำไมบานปลาย……ถึงขั้นเข้าคุกล่ะ?
สีหน้าของทุกคนนั้นเต็มไปด้วยความสงสัย เสี่ยวเหยียนรู้สึกว่าไหนๆตัวเองก็พูดถึงขนาดนี้แล้ว ก็อธิบายทุกอย่างให้ชัดเจนไปเลยดีกว่า
เมื่อคิดถึงตรงนี้ บนใบหน้าของเธอก็มีรอยยิ้มจางๆปรากฏขึ้น ทว่าน้ำเสียงของเธอนั้นเยือกเย็นมาก
“ฉันจะบอกทุกคนนะคะ หลี่ซือห้านเป็นนักต้มตุ๋นค่ะ ไม่เพียงแต่หลอกแต่งงาน แต่ยังหลอกเอาทรัพย์สินด้วยค่ะ ก่อนหน้านี้ก็เคยก่อไว้หลายคดี แต่เพียงเพราะคนเหล่านั้นกลัวเสียหน้า กลัวเสียชื่อเสียงเลยไม่พูดมันออกมา ทว่าบาปกรรมนั้นมีจริง กรรมใดใครก่อกรรมนั้นย่อมตามสนอง ท้ายที่สุดก็มีคนเข้าแจ้งความ เขาก็เลยติดคุกเพราะหลอกแต่งงาน และหลอกเงิน เพิ่งพ้นโทษเมื่อปีที่แล้ว ฉันคิดว่าป้าจางก็รู้เรื่องพวกนี้ไม่ใช่น้อยใช่ไหมคะ? ป้าบอกว่า ป้าแนะนำคู่เดทให้ฉันเพราะความหวังดี? ป้าหวังดีกับฉันจริงเหรอคะ? ไม่ใช่ว่าอยากจะผลักฉันเข้าไปในเปลวไฟเหรอคะ?”
“อะไรนะ? เคยติดคุก? ผู้ชายแบบนี้จะคบได้ยังไง?”
“นั่นสิ ป้าจางทำแบบนี้ได้ยังไง? หลอกแต่งงานแถมยังหลอกเอาทรัพย์สินอีก? เพราะเห็นว่ายัยเด็กเสี่ยวเหยียนเปิดร้านบะหมี่และธุรกิจรุ่งเลยมีความคิดแบบนี้เหรอ”
“มันน่ากลัวมากเลยนะ ก่อนหน้านี้ที่ป้าจางแนะนำคู่เดทให้คนอื่น ได้ข่าวว่ามีครอบครัวหนึ่งพังยับเลยนะ แถมตอนนี้ยังมาแนะนำคนที่ชอบหลอกแต่งงาน และหลอกทรัพย์สินเงินทองอีก ป้าจางยังมีหัวใจอยู่ไหม?”
“ที่แท้ก็เป็นคนประเภทนี้ ไม่น่าล่ะ ที่ลูกสาวไม่ยอมกลับมาเยี่ยมป้าแกเป็นเวลานาน คงเพราะกลัวว่าป้าแกจะทำให้พวกเขาเดือดร้อนแน่เลยใช่ไหม?”
“พวก พวกเธอ!”ป้าจางคิดไม่ถึงว่าเสี่ยวเหยียนแค่เอ่ยปากก็จะพูดข้อมูลเหล่านี้ออกมา ที่จริง เรื่องเหล่านี้ถือว่าเธอยังรู้ไม่มาก เธอรู้แค่ว่าหลี่ซือห้านเคยก่อคดี แต่ป้าจางรู้สึกว่า เกิดเป็นผู้ชาย จะมีสักกี่คนที่ไม่เคยทำผิด ทำผิดนิดหน่อยคงไม่เป็นอะไรหรอก ยัยเด็กเสี่ยวเหยียนนั้นก็ไม่มีใครเอา ที่เธอปูทางและแนะนำคู่เดทนั้น ก็เพราะหวังดีต่อเสี่ยวเหยียน
“สิ่งที่ฉันพูดออกมาทั้งหมดนั้นล้วนเป็นความจริง ถ้าทุกคนมีความสนใจ ก็สามารถไปพิสูจน์ด้วยตัวเองได้”
ทุกคนแค่อยากรู้อยากเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า แต่ใครอยากจะพิสูจน์จริงๆกันล่ะ และเสี่ยวเหยียนก็พูดด้วยท่าทีที่สงบมาก ในใจของทุกคนนั้นเชื่อไป70%-80%แล้ว อีก20%ที่เหลือก็น่าจะเป็นการรอคอยการพลิกผันเพื่อดูความตื่นเต้นต่อไป
“สิ่งที่ควรพูดก็พูดจบแล้ว หวังว่าต่อไปนี้ป้าจางจะไม่พูดเรื่องนี้ เพื่อทำให้ความบริสุทธิ์ของฉันมีมลทินมัวหมองนะคะ มิเช่นนั้น แม้ว่าจะเป็นเพื่อนบ้านกันมานานแค่ไหนก็ตาม ฉันก็พร้อมที่จะขึ้นศาลตลอดค่ะ”
หลัวหุ้ยเหม่ยที่อยู่ข้างๆ “ฟ้องป้าน่ะค่ะ!”
ท่าทางดุดันและเอาจริง
ทุกคนที่เห็นภาพนี้ ภาพผู้หญิงสองคนยืนอยู่ตรงนั้นอย่างดุเดือด และมีผู้ชายสองคนยืนอยู่ข้างหลังอย่างใจเย็น มั่นคงและนิ่งราวกับภูเขาไท่
ในใจคิดว่า ผู้หญิงบ้านจางนั้นยากที่จะรับมือจริงๆ
เรื่องวุ่นวายเหล่านี้ได้คลี่คลายในที่นี้เลย ข่าวมั่วก็ไม่ได้แพร่ออกไป ถึงจะมีคนเอาไปพูดลับหลัง แต่ก็ต้องเล่าจนจบอยู่ดี
แค่ทุกคนรู้ผลสุดท้ายก็เพียงพอแล้ว
หานชิงมองดูแผ่นหลังของหญิงสาว ก็มีรอยยิ้มจางๆเกิดขึ้นในดวงตา ตอนแรกเขานึกว่า หลังจากผ่านเหตุการณ์เมื่อคืน เธอจะกลัว และไม่กล้าสู้หน้าใครเลย
คิดไม่ถึงว่า ตัวเขาไม่ต้องทำอะไร เธอก็สามารถจัดการเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว
ในตอนที่เขากำลังคิด หญิงสาวก็หันมามองเขา ตอนที่เผชิญหน้ากับเหล่าเพื่อนบ้าน เธอแสดงสีหน้าที่ก้าวร้าวออกมา แต่ตอนนี้กลับแสดงสีหน้าที่น่าเอ็นออกมาและมีความกังวลเล็กน้อยปะปนอยู่ เหมือนกำลังขอคำชื่นชมจากเขาอยู่ แต่ก็เหมือนกำลังกลัวเขาจะต่อว่าตัวเอง
เป็นการสลับเปลี่ยนอารมณ์ที่ราบรื่นมาก
หลังจากที่จัดการทุกอย่างเสร็จสองสามีภรรยาบ้านจางก็เชิญหานชิงขึ้นไปข้างบน และชงชาให้เขา
เสี่ยวเหยียนนั่งอยู่ข้างๆ ตอนแรกเธอคิดไว้ว่า หลังจากกลับมาเธอจะเล่าทุกอย่างให้พ่อแม่ฟังทีเดียวเลย ทว่าตอนนี้มีหานชิงนั่งอยู่ด้วย เวลาพูดเธอก็เลยพูดติดๆขัดๆ เหมือนเทปคาสเซ็ทเลย
หลัวหุ้ยเหม่ยเห็นว่า ลูกสาวอยู่ต่อหน้าผู้ชายที่หวั่นไหวจะกลายเป็นคนที่ใช้ไม่ได้แบบนี้ เธอก็เลยดุลูกสาวไป
“พูดดีๆสิ จะพูดติดอ่างทำไม?”
เสี่ยวเหยียนโดนตีไปทีหนึ่ง เจ็บจนแทบจะร้องไห้ออกมา ทว่าก็ยังอดทนไว้ เธอมองไปยังหลัวหุ้ยเหม่ยด้วยแววตาที่ขุ่นเคืองเล็กน้อย
“ไม่มีความแน่วแน่จริงๆ”
หานชิงเห็นว่าท่าทางของหญิงสาวนั้นช่างน่าสงสาร ก็เลยเป็นห่วงเล็กน้อย ทว่า อยู่ต่อหน้าพ่อแม่ของคนอื่นทำอะไรมากไม่ได้ ทำได้เพียงเม้มปาก จากนั้นก็เอ่ยปากพูดขึ้นว่า
“คุณลุง คุณป้าครับ”
“เหตุการณ์ที่เจอแบบเมื่อคืน สำหรับผู้หญิงคนหนึ่งแล้ว มันยากที่จะเล่าออกมา เธอพูดติดอ่างแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดาครับ คุณป้าอย่าโมโหเลยนะครับ”
เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด หลัวหุ้ยเหม่ยก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ แล้วมองไปยังหานชิง
ใช้ได้นิ แม้แต่ผู้เป็นแม่ตีลูกสาวของตัวเองยังเป็นห่วงขึ้นมาเลย?
ผู้ชายที่รู้จักปกป้องผู้หญิงของตัวเองนั้นหายากมาก บวกกับรูปร่างหน้าตาและกิริยาท่าทาง รวมทั้งตอนที่อยู่ล่าง แม้เธอกำลังต่อล้อต่อเถียงอยู่ แต่ก็ยังแอบสังเกตหานชิงอยู่เป็นพักๆ
ผู้ชายคนนี้ใช้ได้เลย ดูแล้วเป็นคนพึ่งพาได้
“เพราะฉะนั้นเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้ผมเป็นคนพูดแทนเถอะครับ”
หานชิงเริ่มพูดขึ้น เมื่อพูดถึงตอนที่เสี่ยวเหยียนถูกรังแก เขาก็หยุดพูด แล้วมองไปยังหญิงสาว จากนั้นก็พูดออกมาด้วยประโยคที่ไม่แรงมาก ราวกับว่าไม่หลงเหลือร่องรอยใดๆแล้ว
ทว่า หลัวหุ้ยเหม่ยนั้นพอใจในตัวของหานชิงมาก
เห็นได้ชัดว่าผู้ชายคนนี้ดูแลและแคร์ความรู้สึกของเสี่ยวเหยียนได้ดีมาก คนบางคนเพื่อที่จะแสดงตัวว่าเป็นฮีโร่ ก็จะบรรยายความน่ากลัวและความน่าอนาถที่ผู้หญิงได้เจอนั้นออกมา ทว่าการพูดแบบนี้จะทำให้เสี่ยวเหยียนรู้สึกเหมือนกลับไปอยู่ในเหตุการณ์นั้น
แต่การกระทำที่หานชิงเลือกทำในตอนนี้นั้น เสี่ยวเหยียนแทบนึกเหตุการณ์นั้นไม่ออกเลย
รอเขาเล่าทุกอย่างจนจบ หลัวหุ้ยเหม่ยก็ประเมินหานชิงอยู่ภายในใจ
ละเอียดอ่อน ช่างสังเกต พูดจาฉะฉาน ตรรกะชัดเจน รู้ว่าอันไหนควรหรือไม่ควร และที่สำคัญคือมีความใจเย็นและสงบ
ไม่เหมือนพ่อของเสี่ยวเหยียน หลังจากที่ฟังหานชิงจนจบ เขาแทบจะยกโต๊ะทุบแล้ว หลังฟังจบ เขาก็กัดฟันแน่น
“ไอ้สวะนั่น? ทำให้มันเข้าโรงพยาบาลมันยังน้อยไปสินะ? ไอ้เด็กนั่น? เดี๋ยวได้เห็นดีกับฉันแน่”
“พอได้แล้วคุณ! คุณดูความเว่อร์วังของป้าจางสิ ฉันว่าคนที่ไอ้แซ่หลี่นั้น ก็น่าจะอาการสาหัสอยู่”
และทุกอย่างนี้ เป็นฝีมือของหานชิง
หลัวหุ้ยเหม่ยมองไปยังเขา แล้วเลิกคิ้วทันที ผู้ชายคนนี้ ตอนนี้ดูแล้วสงบนิ่งและเคร่งขรึมราวกับภูเขาเลย นึกไม่ถึงว่าจะสามารถกระทืบคนจนอาการสาหัสได้
แต่ต้องเป็นเพราะลูกสาวของเธอถึงลงมือนะ ไม่ใช่เพราะเป็นคนหัวรุนแรง
และในตอนนั้นเอง แม่ลูกใจตรงกัน เหมือนเสี่ยวเหยียนจะรู้ว่าแม่ของตัวเองนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ จึงพูดขึ้นว่า “แม่คะ ปกติแล้วเขาไม่ใช่คนแบบนั้นค่ะ แต่เพราะเขาเกลียดและทนเห็นเหตุการณ์แบบนั้นไม่ได้ ก็เลยลงมือค่ะ ถ้าพ่ออยู่ตรงนั้นด้วย ก็คงจะทำร้ายหลี่ซือห้านจนอาการสาหัสกว่านี้แน่นอนค่ะ”
หลัวหุ้ยเหม่ย:“……”
ยัยเด็กคนนี้ ยังไม่มีสถานะที่ชัดเจนกับเขาเลย ก็ปกป้องเขาเสียแล้ว? และยังเอาพ่อของตัวเองมาเปรียบเทียบอีก นี่มันเป็นการเปรียบเทียบอะไรเนี่ย?