บทที่ 1162 ทดสอบ
อันดับแรกหล่อนเป็นแม่
ต่อมายังเป็นผู้สนับสนุนด้านความรักของเสี่ยวเหยียน
ถ้าเขาชอบเสี่ยวเหยียน งั้นทั้งสองก็ไม่ต้องสนใจความคิดของคนอื่น ใครจะว่ายังไงก็ไม่เป็นไร ขอเพียงแค่พวกเขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขก็พอ
แต่ทว่า ตั้งแต่ที่หล่อนรู้เรื่องนี้จนถึงตอนนี้ เสี่ยวเหยียนต้องเป็นทุกข์เสียใจไปแล้วกี่ครั้ง? หล่อนก็เห็นอยู่ ตอนนี้…
“แม่ ตอนนี้อย่าเพิ่งถามอะไรก่อน สุดท้ายถ้าผลออกมายังไง หนูจะบอกแม่เองค่ะ”
เพราะหล่อนก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของหานชิง แต่ก็ยังไม่แน่ใจ เพราะเขาไม่พูดออกมาอย่างชัดเจน หล่อนก็ไม่กล้าถาม
ช่วงนี้เขาส่งข้อความหาหล่อนเพื่อถามเรื่องความเป็นอยู่ตรงเวลาทุกวัน เหมือนแฟนที่คอยห่วงใยตลอดเวลา
หล่อนคงกลัวมาก จนถึงตอนนี้ยังไม่กล้าถามเขาว่าจูบนั้นหมายความว่าอย่างไร?
หล่อนรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด ดังนั้นจึงตัดสินใจออกไปเดินเล่น จะได้ไปหาหานมู่จื่อที่กำลังใกล้คลอดที่บ้านด้วย หล่อนนัดเวลากับเสี่ยวหมี่โต้วไว้เรียบร้อยแล้ว วันนี้เย่โม่เซินไม่อยู่ที่วิลล่าพอดี หล่อนไปที่นั่นจะได้แก้เบื่อให้หานมู่จื่อได้อีกด้วย
“โอเค ลูกมีความคิดและวิธีแก้ไขของลูกเอง ทำตามใจของตัวเองก็พอ พ่อกับแม่ไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผล อีกอย่าง หลังจากที่พ่อประสบอุบัติเหตุ ตอนนี้เขาเพียงแค่คาดหวังให้ลูกมีความสุขก็พอ แม้ว่ารู้จะตกที่นั่งลำบากยังไง คนเป็นพ่ออย่างเขาไม่มีทางขัดขวางอะไรลูกแน่นอน”
เสี่ยวเหยียน: “…”
“ไปเถอะๆ ไปหาเขาเถอะ ดูแลตัวเองให้ดี”
“หนูไม่ใด้…”
ช่างเถอะ หล่อนขี้เกียจพูดอธิบายอีก ยังไงแล้วหลัวหุ้ยเหม่ยก็คงไม่มีทางฟัง
เสี่ยวเหยียนแต่งตัวให้เรียบร้อย จากนั้นเดินออกจากประตูไป
ทั้งสองไม่ถึงกับว่าไม่ได้เจอกันนาน ตอนที่เปิดร้านใหม่ มู่จื่อยังเคยไปหนึ่งครั้ง เพียงแต่ท้องของหล่อนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้ตอนนี้ไม่สะดวกไปแล้ว
เมื่อได้เจอเสี่ยวเหยียน หานมู่จื่ออดไม่ได้ที่จะระบายความทุกข์ออกมา
“เมื่อก่อนตอนอยู่ต่างประเทศ เขาไม่ได้อยู่เคียงข้างฉัน ฉันท้องก็ไม่ได้ลำบากเหมือนตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน รู้สึกว่าฉันกลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ เสี่ยวเหยียน หรือเป็นเพราะว่าฉันท้องลูกสาว ถึงได้เป็นคนเจ้าอารมณ์และอ่อนแอแบบนี้”
เรื่องนี้เสี่ยวเหยียนรู้ดี ท้องนี้ของหานมู่จื่อเป็นลูกสาว เมื่อรู้ว่าหล่อนท้องลูกสาวก็ดีใจมาก เพราะที่บ้านมีเสี่ยวหมี่โต้วแล้วหนึ่งคน เมื่อได้ลูกสาวก็ครบคู่พอดี
หานมู่จื่อรู้สึกพอใจกับการได้ลูกสาวครั้งนี้มาก แม้แต่ชื่อเล่นของลูกสาวก็ตั้งไว้ให้เรียบร้อยแล้ว
“เด็กผู้หญิงก็ต้องเจ้าอารมณ์บ้างแหละ ไม่เป็นไรหรอก ยังไงอีกไม่นานเธอก็จะคลอดแล้ว ถึงตอนนั้นคลอดเสร็จ เธอก็จะได้มีลูกสาวลูกชายครบคู่ ดีจะตายไป”
ตอนแรกหานมู่จื่อกำลังกลุ้มใจกับเรื่องของตัวเอง เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความอิจฉาของเสี่ยวเหยียน จึงอดไม่ได้ที่จะแอบเหลือบมองหล่อน เสี่ยวหมี่โต้วเกิดมาจากเลือดเนื้อของหล่อน ดังนั้นเรื่องของเสี่ยวเหยียน เขาจะไม่บอกตัวเองได้อย่างไร? หล่อนรู้เรื่องระหว่างหานชิงและเสี่ยวเหยียนที่เกิดขึ้นในช่วงนี้
เมื่อมองดูท่าทีในตอนนี้ของเสี่ยวเหยียน ปากของหานมู่จื่ออดไม่ได้ที่จะกระตุกยิ้มขึ้นมา เรื่องพรหมลิขิต มันเป็นเรื่องแปลกประหลาดมากไม่ใช่หรือไง?
เธอคิดว่ามันถูกตัดขาดไปแล้ว แต่ในความจริงไม่รู้ว่ามันถูกร้อยเรียงกลับคืนมาตั้งแต่เมื่อไหร่
เสี่ยวเหยียนกับหานชิงก็เป็นเช่นนี้
“แล้วเธอล่ะ? ฉันลูกสาวลูกชายหนึ่งคู่แล้ว เธอก็ต้องพยายามเข้านะ รีบหาข่าวดีมาให้ทันวันที่ฉันคลอดล่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสี่ยวเหยียนหน้าแดงขึ้นมาทันที ทำอะไรไม่ถูกต่อหน้าหานมู่จื่อ
“ฉันกับพี่ชายของเธอไม่มีทางหรอก เธอไม่ต้องพูดถึง”
หานมู่จื่อยิ้มเริงร่า “ฉันไม่ได้บอกว่าใครสักหน่อย เธอพูดของเธอเองนะ?”
เสี่ยวเหยียน: “…มู่จื่อ!!”
หล่อนร้อนใจจนกระทืบเท้า หน้าและหูแดงขึ้นมา: “เสี่ยวหมี่โต้วบอกเธอใช่ไหม? เขาพูดมั่วๆ เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้…”
“พูดมั่วจริงเหรอ? เธอไม่อยากพยายามอีกสักครั้ง?”
“ฉัน…” เสี่ยวเหยียนลังเลสักพัก “อยาก”
“งั้นก็พยายามเข้าสิ ฉันว่าพี่ชายของฉัน…ก็ดูเหมือนจะหวั่นไหวแล้ว”
เมื่อได้ยินคำว่าหวั่นไหว ใจของเสี่ยวเหยียนก็เต้นแรงขึ้นทันที เขาหวั่นไหวจริงเหรอ? หล่อนไม่ได้คิดมากไปเองใช่ไหม?
จู่ๆหานมู่จื่อก็เข้ามาใกล้ กระพริบตาลง “เขาจูบเธอแล้วยัง?”
เสี่ยวเหยียน: “!!!”
เสี่ยวเหยียนหน้าแดงมาก พูดอะไรไม่ออกสักคำ
“เห็นทีคงมีแล้ว?”
“ปะ…เปล่า” เสี่ยวเหยียนตกใจจนพูดติดๆขัดๆ ลิ้นพันกันมั่ว ลังเลอยู่นานสักพัก ในที่สุดหล่อนก็ก้มหัวลง เหมือนกำลังยอมรับสารภาพ
“ก็ได้ เคยจูบ แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาชอบฉันสักหน่อย อาจจะ…แค่อยากจูบเพื่อปลอบใจฉัน?”
หานมู่จื่อฟังไม่เข้าใจ: “ปลอบเธอ?”
จากนั้นเสี่ยวเหยียนก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในคืนนั้น หลังจากที่หานมู่จื่อฟังจบหล่อนก็ทำหน้าเหวอไปทันที
“นี่เธอใจกว้างขนาดไหน? คิดว่านิสัยอย่างพี่ชายฉันจะทำเรื่องแบบนั้นเพื่อปลอบใจเธอ? คิดให้ดีๆแล้วกัน ถ้าเป็นเธอ เธอจะจูบคนอื่นเพื่อปลอบใจไหมล่ะ? ความรักไม่ใช่การแบ่งปัน นิสัยของพวกเธอเป็นยังไงฉันรู้ดี ถ้าเธอไม่มั่นใจ เธอก็ลองถามดู”
“หรือว่า กดดันให้เขายอมรับ”
กดดัน? กดดันหานชิงให้ยอมรับว่าชอบตัวเองเหรอ? จะต้องทำยังไงล่ะ?
หานมู่จื่อยิ้ม “ง่ายมาก ตอนที่เขามาหาเธอ เธอก็ลองทำเป็นเย็นชาใส่เขา ดูว่าเขามีปฏิกิริยายังไง หรือบอกเป็นนัยว่าตัวเองเหนื่อยแล้ว ไม่อยากเป็นฝ่ายเข้าหาแล้ว”
เสี่ยวเหยียน: “นี่มันความคิดแปลกประหลาดอะไรกัน ต้องเผชิญหน้ากลับคนเย็นชาอย่างหานชิง ตัวเองก็ต้องแสร้งทำเป็นเย็นชา?”
แต่ทว่า คิดไปคิดมา ดูเหมือนจะเป็นวิธีที่ดีเหมือนกัน? ตอนแรกตัวเองเย็นชาใส่เขาก่อน เขาก็รออยู่หน้าร้านทั้งวัน เขาคงชอบการโดนลงโทษแบบนี้?
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่ ใครบางคนก็มาเคาะประตู
“น้าเสี่ยวเหยียน” เมื่อเสี่ยวหมี่โต้วเห็นเสี่ยวเหยียนก็รีบวิ่งเข้ามากอดขาไว้ พลางพูดขึ้น: “ผมช่วยน้าเรียกคุณลุงมาให้แล้ว”
???
หานชิงจะมาที่นี่? เสี่ยวเหยียนพูดติดอ่าง: “นะ…หนูคงไม่ได้อ้างชื่อน้าเรียกเขามาใช่ไหม?”
เสี่ยวหมี่โต้วส่ายหน้า “อ้างชื่อหม่ามี๊ น้าเสี่ยวเหยียนอยู่ทานอาหารกลางวันกับพวกเราก่อนนะครับ”
เรื่องระหว่างหานชิงกับเสี่ยวเหยียน หานมู่จื่อกับเสี่ยวหมี่โต้วใจตรงกันอยู่แล้ว อีกทั้งไม่ต้องออกแรงอะไรมาก พยายามให้ทั้งสองคบกันให้ได้
เพราะที่บริษัทมีเรื่องต้องให้จัดการ หานชิงจึงมาช้า ขณะที่อาหารเพิ่งวางลงบนโต๊ะ เขาก็มาถึงหน้าประตูพอดี
เมื่อเขาเข้ามาเห็นเงาที่คุ้นเคยนั่งอยู่ในห้องด้วยท่าทีกระวนกระวายใจ เขาหยุดชะงักทันที จากนั้นก็ทำตัวเป็นปกติ
“คุณลุง มาถึงแล้วเหรอครับ?”
เสี่ยวหมี่โต้ววิ่งเข้าไปกอดเขา หานชิงค่อยๆอุ้มเข้าขึ้นมา เดินไปที่โต๊ะอาหาร พูดอธิบายด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น: “เพิ่งทำงานเสร็จก็รีบมาหาเลย รอนานแค่ไหนแล้ว?”
หานมู่จื่อที่นั่งท้องโตอยู่ เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ตอบขึ้น: “เพิ่งนั่งกัน รอไม่นาน”
เสี่ยวเหยียนที่นั่งอยู่ด้านข้างทำตัวเสแสร้งว่าไม่ได้ยินอะไรเลย นั่งก้มหน้าลงไม่พูดอะไร
หานมู่จื่อมองหล่อนด้วยสายตาโกรธเคือง
หล่อนเป็นแบบนี้ ยังจะหวังให้หล่อนไปทดสอบพิสูจน์อะไรได้อีกล่ะ?