บทที่1177 ชินมานานแล้ว
กินอาหารเป็นเพื่อนนายหลิน? ในแววตาของหานชิงได้ปรากฏความเปลี่ยนแปลงไปออกมาเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขาจะเบื่อสุดๆแล้วจริงๆ นึกไม่ถึงว่าจะตั้งใจวิ่งแจ้นมารออยู่ที่นี่ตั้งนานขนาดนั้น แล้วยังมากินอาหารด้วยอีก แล้วยังเรียกเขามาที่นี่ด้วยอีก
“จะให้ฉันพาคุณขึ้นไปหรือเปล่า?”
เสียงของหลัวหุ้ยเหม่ยได้ดึงสติของหานชิงกลับมา เขายิ้มอย่างมีมารยาทออกมา เอ่ยเสียงเรียบออกมา “ขอบคุณครับคุณป้า ผมขึ้นไปเองก็ได้ วันนี้รีบมา ไม่ได้เตรียมอะไรมาเลย ผ่านไปอีกสักช่วงนึงแล้วจะต้องมาเยี่ยมเยือนด้วยตัวเองแน่”
น้ำเสียงของเขาถึงแม้ว่าจะเรียบนิ่ง และก็ไม่ใช่ท่าทีที่จริงใจและนอบน้อมเป็นพิเศษจำพวกนั้น แต่หลัวหุ้ยเหม่ยกลับไม่ได้คิดว่ามีอะไรเลย ถึงยังไงผู้ชายที่ยอดเยี่ยมโดดเด่นเสียขนาดนั้นยอมลดตัวมาหาลูกสาวตนอยู่หลายครั้ง ถูกเหยียนเหยียนทิ้งไม่แยแสไปทั้งวันก็ไม่มีการขาดสติออกมา ยังคงรักษาท่าทางงดงามดังเดิมออกมา
และก็ไม่รู้ว่าเพราะว่าตนเป็นพ่อแม่ของเสี่ยวเหยียนก็เลยเปลี่ยนมาประจบสอพลอแทน ตรงจุดนี้หลัวหุ้ยเหม่ยพึงพอใจมากจริงๆ
เธอไม่แคร์ท่าทีของผู้ชายคนนี้ที่มีต่อเธอกับตาจางว่ามันจะสามารถดีได้ถึงขั้นไหน ขอเพียงแค่เขาจริงใจดีต่อลูกสาวของเธอก็พอแล้ว
“พูดอะไรกัน คนมาก็พอแล้ว ถ้าตั้งใจมาเยี่ยมเยือนกันโดยเฉพาะก็ไม่ต้องหรอก เอาล่ะ คุณขึ้นไปก่อนเถอะ”
หานชิงส่งยิ้มจางๆ เอ่ยพูดเสียงนุ่มออกมา “ขอบคุณครับคุณป้า”
หลังจากที่หานชิงขึ้นไปแล้ว หลัวหุ้ยเหม่ยคิดไปคิดมา เอาแต่คิดอยู่ตลอดว่ามีตรงไหนที่มันไม่ถูกต้อง ผ่านไปได้สักพักใหญ่ๆกว่าจะนึกขึ้นมาได้
ไม่ใช่สิ ในตอนที่เธอบอกว่าเสี่ยวเหยียนกับนายหลินกำลังกินอาหารกันอยู่ข้างบน คือพูดออกไปตามสิ่งที่คิด แต่แฟนหนุ่มของเสี่ยวเหยียนคนนี้ก็ไม่ได้ถามว่านายหลินเป็นใคร หรือว่าเขาจะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร? ทั้งสองฝ่ายรู้จักกัน?
*
ถ้าตามปกติแล้ว เสี่ยวเหยียนจะเสิร์ฟบะหมี่ให้เขาแล้วก็ออกไป แต่วันนี้ก็เอาแต่รู้สึกละอายใจอยู่ เขารอตนอยู่ที่นี่มาตั้งนาน สุดท้ายเธอก็เรียกเขาว่าพี่ใหญ่ไปอีกที เสี่ยวเหยียนก็เลยคิดว่าช่องว่างระหว่างทั้งสองคนเหมือนกับว่ามันจะไม่ได้เหมือนคนแปลกหน้ากันเหมือนเมื่อก่อนนี้แล้ว
อย่างน้อยความสัมพันธ์ตอนนี้ก็ดีขึ้นมาหน่อยนึงแล้ว เธอจึงนั่งลงกินข้าวเป็นเพื่อนหลินสวี่เจิ้ง
เห็นหญิงสาวนั่งอยู่ตรงหน้าเขาด้วยท่าทีเรียบร้อย หลินสวี่เจิ้งก็นึกถึงในตอนนั้นที่ภรรยาของเขายังมีชีวิตอยู่ อายุภรรยากับเขาห่างกันไม่เยอะ แต่ในตอนนั้นหลินสวี่เจิ้งไม่ได้มีอายุเท่านี้ ความจริงแล้วภรรยาเขาก็อายุประมาณเสี่ยวเหยียนในตอนนี้นี่แหละ
แต่ภรรยาของเขานั้นไม่ได้ว่าง่ายเหมือนอย่างเสี่ยวเหยียน เธอมักจะซุกซนอยู่เป็นประจำ กินข้าวมื้อนึงก็ยังอยู่ไม่นิ่ง มักจะแผลงฤทธิ์ออกมาต่างๆนานา สักพักก็ขอให้เขาป้อน อีกสักพักนึงก็ป้อนให้กับเขา หลังจากที่ทั้งสองคนคบกันก็ติดหนึบกันเอามากๆ
หลินสวี่เจิ้งเองก็รู้เหมือนกันว่าในตอนนั้นจะมีคนแอบนินทากันลับหลังว่าพวกเขาทั้งสองคนติดกันหนึบขนาดนี้ไม่นานก็จะต้องเลิกกันแน่ๆ แต่พวกเขาก็ไม่เคยเลิกรากันเลย ภายหลังก็ยังได้แต่งงานกัน หลังจากที่แต่งงานกันความรู้สึกที่มีต่อกันก็ดีขึ้นกว่าเดิม แต่น่าเสียดาย…
พระเจ้ายุติธรรมอย่างที่คิดจริงๆ
คาดว่าพวกเขาสองสามีภรรยาคงใช้การติดหนึบอยู่ด้วยกันทั้งหมดในชีวิตนี้กันไปจนหมดแล้ว สวรรค์ก็เลยเอาชีวิตที่สวยงามของภรรยาของเขาไปอย่างโหดร้าย
“พี่หลิน?”
หลินสวี่เจิ้งเหมือนกับว่าจะได้ยินเสียงคนเรียกตัวเองดังขึ้นมา ในตอนที่เรียกสติกลับมาก็เห็นฝ่ามือขาวราวหิมะของเสี่ยวเหยียนโบกอยู่ตรงด้านหน้าของตัวเอง
รู้สึกได้ว่าตัวเองสติหลุดลอยไป หลินสวี่เจิ้งก็ยิ้มแล้วเอ่ยออกไป “ขอโทษนะ ถ้าเกิดฉันนั่งอยู่ตรงนี้ แล้วดันไปนึกถึงภรรยาของฉันขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวเสียได้”
มือที่โบกไปมาของเสี่ยวเหยียนก็ได้หยุดไปเสียอย่างนั้น หลังจากนั้นสักพักใหญ่ๆก็ได้เก็บกลับไปช้าๆ พูดออกไปอย่างตื่นกังวล “ขอ ขอโทษนะคะ…”
เขานึกถึงภรรยาของเขาขึ้นมาอีกแล้ว เขาก็คงเสียใจมากเลยล่ะมั้ง? เมื่อกี้นี้เสี่ยวเหยียนเห็นเขานั่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน พอมองดูอีกทีก็ได้พบว่าสายตาของเขามันว่างเปล่าอย่างมาก ดูเหมือนว่าจะกำลังตกอยู่ในห้วงของอดีตอะไรสักอย่างอยู่ เธอรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาเล็กน้อย ก็เลยเรียกเขาออกไป
“ไม่เป็นไร” หลินสวี่เจิ้งก้มหน้าลงดื่มน้ำซุป รสชาติของความขมขื่นกระจายไปทั่วทั้งลิ้น แผ่ออกไปทั้งช่องปาก เหมือนกับเขาที่กำลังคิดถึงภรรยาในยามค่ำคืนไม่มีผิด
“วันอย่างนี้มันชินแล้วล่ะ”
เสี่ยวเหยียนไม่รู้เลยว่าจะปลอบคนอื่นเขายังไงจริงๆ และก็ไม่เคยมีประสบการณ์จำพวกนี้มาก่อน ทำได้เพียงพูดตะกุกตะกักออกไป “พี่ชายหลินอย่าเสียใจไปเลย ในเมื่อพี่เป็นพี่ชายของเสี่ยวเหยียนแล้ว หลังจากนี้ถ้าพี่คิดถึงพี่สะใภ้ พี่ก็มาที่ร้าน ฉันจะทำราเม็งให้พี่กิน ห้องนี้จะไม่ให้ลูกค้าคนอื่นได้เข้ามาเด็ดขาด จะเก็บไว้ให้พี่ตลอดไปเลย”
คำพูดนี้ของเธอพูดออกมาได้ด้วยความจริงใจ ทำเอาหลินสวี่เจิ้งอดไม่ได้ที่จะหลุดหัวเราะออกมา
“นึกไม่ถึงว่าหานชิงต้นปรงแก่ต้นนั้นจะออกดอกออกมากับเขาสักครั้ง ฉันหลินสวี่เจิ้งคนนี้ก็ยังมีน้องสาวเพิ่มมาคนนึง ดีสุดๆไปเลย”
ไม่พูดถึงก็ดีอยู่หรอก ทุกครั้งที่พูดถึงหานชิง เสี่ยวเหยียนก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดงออกมา
กำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่างออกไป ทันใดนั้นเองเสี่ยวเหยียนก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากทางด้านนอก เธอขมวดคิ้วออกมาเล็กน้อย “หรือว่าจะมีคนอยากเข้ามางั้นหรอ?”
เธอบอกไปแล้วว่าที่ตรงนี้ไม่ต้อนรับลูกค้า ทำไมถึงยังมีคนมาได้อีก?
ได้ยินคำพูดนี้แล้ว หลินสวี่เจิ้งยกมือขึ้นมองนาฬิกาข้อมืออย่างไม่ใส่ใจ เวลาก็ดูเหมือนว่าประมาณนึงแล้ว ก็คงจะมาแล้วสินะ
คิดมาจนถึงตรงนี้แล้ว เขาก็พูดเสียงเรียบนิ่งออกไป “ก็คงเป็นคนรู้จักล่ะมั้ง”
คนรู้จัก?
ได้ยินคำพูดนี้แล้ว เสี่ยวเหยียนคิดว่าน่าแปลกเสียจริง เธอรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง จากนั้นก็ลุกขึ้นไปเปิดประตู
แต่พอเปิดประตูออกไป ก็เห็นเงาร่างอันคุ้นเคยร่างหนึ่งยืนอยู่ตรงด้านนอกประตู
ในนาทีที่ดวงตาสบกัน เสี่ยวเหยียนก็ได้นิ่งตะลึงอยู่กับที่
หานชิง?
ทำไมจู่ๆเขาถึงมาที่นี่? ทั้งๆที่เธอเพิ่งจะแยกกับเขาไม่นาน ทำไมถึงได้เจอกันอีกแล้ว?
“ไง มาเร็วจังเลยนะ เร็วกว่าที่ฉันคิดเอาไว้หลายนาทีเลยนะเนี่ย”
เสี่ยวเหยียนยังคงยืนบื้ออยู่อย่างนั้น หลินสวี่เจิ้งที่อยู่ด้านหลังก็ได้เอ่ยพูดขำๆออกมา
แววตาของหานชิงมองผ่านเสี่ยวเหยียนไปยังร่างของหลินสวี่เจิ้ง
เสี่ยวเหยียนเอี้ยวตัวออกไปเล็กน้อย งั้นหานชิงก็มาหาหลินสวี่เจิ้งงั้นหรอ? เธอชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็พูดออกไป “พวกคุณคงมีเรื่องจะคุยกันใช่มั้ยคะ? งั้นฉันขอตัวลงไปข้างล่างก่อนนะคะ”
พูดจบ เสี่ยวเหยียนก็เดินผ่านร่างหานชิงไป ในตอนที่คิดจะออกไปนั้นทันใดนั้นเองข้อมือก็ถูกหานชิงคว้าเอาไว้ เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความแปลกใจ
“ไม่ใช่ว่าจะฟังด้วยไม่ได้สักหน่อย จะลงไปชั้นล่างทำไมกัน?”
หลินสวี่เจิ้งมองภาพฉากนั้นไปอย่างไม่สะทกสะท้าน ในแววตาเป็นประกายออกมา
“แต่…” เสี่ยวเหยียนยังอยากจะพูดอะไรออกไปอีก แต่ก็ได้ถูกหานชิงดึงเข้าไปนั่งลงเสียแล้ว
จากเดิมเธอยังคิดที่จะออกไป แต่ตอนนี้กลับทำได้เพียงนั่งตามหานชิงลงไปข้างๆเขาอย่างว่าง่าย สองมือวางไปอย่างเรียบร้อย
คนนึงก็เงียบจนชินชา คนนึงก็ว่าง่ายน่าเอ็นดูเสียเหมือนกับเด็กนักเรียน
“จู่ๆก็มา มีอะไรจะพูดกับฉัน?” หลินสวี่เจิ้งจ้องมองหานชิงเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้มพร้อมถามออกมา สายตากลอกไปกลอกมาระหว่างเสี่ยวเหยียนกับร่างของเขาอยู่เป็นครั้งคราว
แปลกมาก ในตอนที่อยู่ด้วยกับเขา หญิงสาวคนนี้ให้ความรู้สึกที่ดูระมัดระวังตัวอย่างมาก เดิมทีคิดว่าหลังจากที่หานชิงมาแล้วจะดีขึ้นสักหน่อย? แต่ตอนนี้กลับพบว่าเหมือนกับว่ามันจะไม่เป็นอย่างนั้น ลองดูสิว่าเธอนั่งอยู่ข้างๆหานชิงแล้วจะเป็นยังไง? ประหม่าเสียจนเหมือนกับว่าจะไม่กล้าขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย
คิดมาจนถึงตรงนี้แล้ว หลินสวี่เจิ้งก็ได้โอกาสเอ่ยปากพูดเตือนออกมา
“ฉันว่านะเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของฉัน ปกติแล้วนายก็เอาแต่หน้าบึ้งให้กับสาวน้อยอยู่ตลอด ก็ว่าทำไมเขาถึงมองดูแล้วเหมือนจะประหม่ากลัวนายมากเลย?”
ได้ยินอย่างนั้น เสี่ยวเหยียนสูดหายใจ ทำไมอยู่ดีๆถึงได้พูดถึงประเด็นนี้ขึ้นมาอีก? ความจริงแล้วตอนนี้เธอก็ได้เปลี่ยนไปมากแล้ว เมื่อก่อนกลัวเขามาก แต่ถูกเขากดลงกับผนังแล้วจูบ จนเคยชินมานานแล้ว