บทที่1193 มีความสุข
เสี่ยวโต้วหยานอนอยู่บนที่นอนเจ้าหญิงน้อยสำหรับทารก บนตัวสวมเสื้อผ้าสีชมพูตัวน้อย ตอนที่เย่โม่เซินอุ้มเธอขึ้นมา เธอก็หยุดร้องไห้ทันที จากนั้นก็ใช้ดวงตากระจ่างใสคู่น้อยมองดูเย่โม่เซินด้วยความประหลาดใจ
เย่โม่เซินที่เดิมทีอารมณ์กำลังเดือดพล่าน พอได้เห็นท่าทางแบบนี้ของเสี่ยวโต้วหยาแล้ว ความไม่พอใจก็หายไปหลายระดับ
เขายื่นนิ้วออกไป แล้วแตะลงบนหน้าผากของเสี่ยวโต้วหยาเบาๆ จากนั้นก็เอ่ยเสียงเบา “เป็นเจ้าตัวเล็กที่ไม่รู้จักดูสถานการณ์เลยนะ ต่อไปห้ามส่งเสียงร้องไม่ดูจังหวะอีกนะ มันเป็นการรบกวนคนอื่น”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะจิตวิญญาณที่เชื่อมถึงกันระหว่างพ่อลูกหรือไม่ พอถูกนิ้วของเย่โม่เซินแตะเข้า เสี่ยวโต้วหยาก็เริ่มหัวเราะคิกคักขึ้นมาอีกครั้ง
เขาเอานิ้วไปจิ้มแก้มของเสี่ยวโต้วหยา ใช้นิ้วหยอกล้อเธอ เสี่ยวโต้วหยาก็หัวเราะคิกคัก
ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็น่ารัก
ส่วนหานมู่จื่อพอได้เห็นฉากนี้แล้ว ก็ได้แต่ส่ายหัวอย่างอ่อนใจ
เสี่ยวโต้วหยานี่ยิ่งอยู่ก็ยิ่งน่าเป็นห่วงจริงๆ ต่อหน้าคุณพ่อตัวเองที่หน้าตาเคร่งขรึมขนาดนี้ยังหัวเราะอย่างมีความสุขได้ขนาดนี้ ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้เธอมีความสุขกันแน่
*
วันนี้ลูกค้าที่ร้านราเมนไม่ค่อยเยอะ ดังนั้นเสี่ยวเหยียนก็เลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความไปให้หานซิง แต่พอส่งไปได้ครึ่งเดียวหานซิงก็บอกว่าเขาต้องไปประชุม บอกให้เธอรอเงียบๆไปก่อน
เสี่ยวเหยียนก็ตอบกลับว่าโอเคอย่างว่าง่าย จากนั้นก็ถือโทรศัพท์แล้วยิ้มอยู่คนเดียวตรงนั้น
ที่จริงช่วงเวลาที่หานซิงทำงาน เสี่ยวเหยียนก็ไม่ค่อยกล้าส่งข้อความให้เขา เพราะใครจะไปรู้ว่าวินาทีต่อไปเขาอาจจะต้องไปคุยเรื่องธุรกิจก็ได้ แต่หลังจากครั้งก่อนที่เขาพูดเองว่าถ้าได้รับข้อความจากเธอเขาจะรีบมา เสี่ยวเหยียนก็ไม่เคยส่งข้อความให้เขาในเวลางานก่อนอีกเลย
แต่ว่าหานซิงอาจจะคิดถึงเรื่องอื่นไว้ด้วย ช่วงเวลาที่ว่างก็เลยคอยส่งข้อความมาหาเธอบ้าง จนในที่สุดทั้งสองคนก็ตกลงกันว่า ว่างเมื่อไหร่ค่อยส่งข้อความหากัน ถ้ามีธุระก็ต้องรีบไปทำธุระสำคัญกันก่อน
เหมือนเสี่ยวเหยียน หากที่ร้านมีลูกค้าเข้ามา แล้วต้องออกไปช่วยเธอก็จะไปโดยไม่ทันตอบข้อความหานซิง รอจนเสร็จงานแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกทีก็อาจจะผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว
แต่เพราะตอนที่เริ่มรักกันแรกๆนั้นต่างก็ต้องการความหวานชื่น ก็อยากจะซื้อเวลาให้มากขึ้น พยายามหาเวลาว่างเพื่อมาส่งข้อความหากัน
ทันทีที่วางโทรศัพท์ลง เสี่ยวเหยียนก็เตรียมจะลุกขึ้นแต่จู่ๆก็เห็นเงาที่คุ้นเคยเงาหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน
เพียงแค่มองแวบเดียว สายตาของเสี่ยวเหยียนก็สั่นระริกเล็กน้อย เพราะคนที่เดินเข้ามานั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเซียวซู่ที่ไม่ได้เจอกันมานาน
ครั้งก่อนที่เขามาหาเธอเพื่อบอกลา ถึงแม่เสี่ยวเหยียนจะรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง แต่ไม่นานเธอก็ลืมคนๆนี้ไปหมดสิ้น
เลยทำให้เห็นจุดยืนของเซียวซู่ในใจของเธอ และเห็นได้ว่าเรื่องความรู้สึกนั้นฝืนกันไม่ได้จริงๆ
แต่เรื่องที่เซียวซู่เคยทำเพื่อเธอ พอเสี่ยวเหยียนคิดถึงตรงนี้แล้วก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา ถ้าเป็นไปได้ เธอก็หวังจริงๆว่าเซียวซู่จะไม่เคยชอบเธอมาก่อน แบบนี้เขาก็จะได้ไม่ต้องอยู่ตัวคนเดียวมาจนถึงตอนนี้ แล้วเธอเองก็จะได้ไม่ต้องมารู้สึกผิดแบบนี้ด้วย
ตอนที่ทั้งสองคนสบตากัน เซียวซู่ก็เผยรอยยิ้มบางๆออกมา
ถึงแม้บนใบหน้าของเขาจะมีรอยแผล แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบถึงโฉมหน้าของเขาเลย คนดูดีไม่ว่าอย่างไรก็ยังดูดี คนจริงใจอย่างเซียวซู่ถ้าชีวิตนี้จะไม่ได้เจอคนที่จริงใจกับเขา ถ้าอย่างนั้นสวรรค์ก็คงลำเอียงมากจริงๆ
เซียวซู่ไม่รู้เรื่องที่เสี่ยวเหยียนกับหานซิงคบกันแล้ว เขาเพิ่งจะทำธุระเสร็จแล้วกลับประเทศมา พอกลับมาสิ่งแรกที่คิดอยากทำก็คือมาหาเสี่ยวเหยียน มาดูว่าช่วงที่ผ่านมาเธอเป็นอย่างไรบ้าง ผอมลงหรือไม่
เป็นอย่างที่เขาหวัง สภาพของเสี่ยวเหยียนดูดีกว่าเมื่อก่อนมาก สีหน้าแดงระเรื่อ เงางาม ที่สำคัญที่สุดคือดวงตาสดใสมาก
พอได้เห็นเสี่ยวเหยียนที่เป็นแบบนี้ ในขณะที่เซียวซู่รู้สึกวางใจ อีกด้านก็เริ่มจุกอกขึ้นมา แล้วแววตาก็หมองลงหลายระดับ
ก่อนที่เขาจะจากไปเขาก็เริ่มรู้สึกบ้างแล้ว ว่าถ้าตัวเองจากไปครั้งนี้ทุกอย่างจะต้องเปลี่ยนไปอย่างมาก บางที……มันอาจจะสายไปแล้วจริงๆ
ตอนที่เซียวซู่เดินไปอยู่ตรงหน้าเสี่ยวเหยียน เธอก็ส่งยิ้มมาให้เขาแล้ว
“นี่นาย……เสร็จธุระกลับประเทศแล้วเหรอ”
สำหรับเซียวซู่ เสี่ยวเหยียนไม่รู้ว่าควรจะแสดงท่าทีแบบไหนต่อเขาจริงๆ ถ้าสนิทเกินไปก็กลัวเข้าใจผิด แต่ถ้าเย็นชาเกินไปก็กลัวเขาจะเสียใจ
ถึงแม้เธอจะเป็นคู่รักของเขาไม่ได้ แต่พวกเขารู้จักกันมานานขนาดนี้ก็นับว่าเป็นเพื่อนกันแล้วสินะ
มีประโยคหนึ่งที่พูดไว้ว่า ไม่มีความสัมพันธ์แบบเพื่อนธรรมดาระหว่างเพศตรงข้ามหรอก นอกจากจะมีคนหนึ่งแกล้งโง่ ส่วนอีกคนให้ตายก็ไม่ยอมพูดเท่านั้น
ส่วนเธอไม่มีทางแกล้งโง่ ส่วนเซียวซู่ก็ไม่มีทางที่จะไม่พูด ดังนั้นพวกเขาทั้งสองคงถูกกำหนดไว้แล้วว่าไม่มีทางเป็นเพื่อนกันได้สินะ
พอคิดถึงตรงนี้ เสี่ยวเหยียนก็รู้สึกว่าน่าเสียดาย แต่ก็กลับมามั่นคงได้อย่างรวดเร็ว ถ้าหากความเป็นเพื่อนจะทำให้เซียวซู่รู้สึกมีความหวังแม้เพียงน้อยนิด ถ้าอย่างนั้นก็ตัดไฟแต่ต้นลมเสียดีกว่า
“อืม” เซียวซู่พยักหน้ายิ้มๆ สายตากวาดมองไปรอบๆร้าน “วันนี้ทำไมคนน้อยจัง หรือว่าช่วงนี้แอบอู้งาน”
น้ำเสียงของเขาแฝงแววรักใคร่ เสี่ยวเหยียนสังเกตเห็นรอยคล้ำจางๆที่อยู่ใต้ดวงตาเขา น่าจะเป็นเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ อีกอย่างช่วงเวลาที่ไม่เจอกัน ดูเหมือนว่าเขาจะผอมลงกว่าแต่ก่อนอีก
เสี่ยวเหยียนทำได้เพียงเปิดปากอธิบาย “วันนี้เป็นวันจันทร์ ทุกคนต่างก็ไปทำงาน รอให้ถึงช่วงเที่ยงน่าจะดีขึ้นบ้าง”
ทั้งสองคนคุยกันอยู่พักหนึ่ง เซียวซู่ก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า ที่จริงที่เขากลับมาครั้งนี้เขาได้ซื้อของขวัญมาให้เสี่ยวเหยียนด้วย พอลงจากเครื่องบินแล้วก็ไม่ได้ไปไหนเลย แค่อยากจะมาเจอหน้าเธอสักครั้ง จากนั้นก็ดูว่าจะมีโอกาสได้มอบของขวัญให้เธอหรือไม่
ตอนที่เซียวซู่เตรียมจะล้วงของขวัญออกมา เตรียมจะมอบของขวัญให้เสี่ยวเหยียนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนั้น จู่ๆหลัวหุ้ยเหม่ยที่อยู่ด้านในก็เดินออกมา
“เอ๋ เซียวซู่กลับมาแล้วเหรอ”
มือของเซียวซู่หยุดลงทั้งอย่างนั้น จากนั้นก็ดึงมือออกมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วหันไปพยักหน้าให้หลัวหุ้ยเหม่ย
“คุณป้าครับ ไม่ได้เจอกันนานเลย”
พอเห็นเซียวซู่ หลัวหุ้ยเหม่ยก็ดูดีอกดีใจ รีบก้าวเข้ามาลากเขาเข้าไปดื่มชาด้านใน เซียวซู่มีรอยยิ้มเหนื่อยหน่ายบนใบหน้า แล้วเดินตามเข้าไป
เสี่ยวเหยียนมองดูเซียวซู่ที่ถูกลากเข้าไป ในใจก็รู้สึกปวดหัวกับการกระทำของคุณแม่ของเธอ
เธอกับเซียวซู่นั้นถูกกำหนดไว้แล้วว่าไม่มีทางลงเอยกัน
บวกกับที่ตอนนี้เธอคบกับหานซิงแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าจะนานแค่ไหน แต่เธอตัดสินใจแล้วว่าชีวิตนี้นอกจากเขาแล้วเธอจะไม่มีทางคบกับคนอื่นอีก หลัวหุ้ยเหม่ยแสดงท่าทางเป็นมิตรกับเซียวซู่ขนาดนี้ ถ้าเกิดทำให้เขาคิดอะไรไปเรื่อยอีกจะทำอย่างไร
ที่จริงหลัวหุ้ยเหม่ยเองก็มีความคิดของตัวเอง แน่นอนว่าเธอจะต้องชอบเซียวซู่คนนี้อยู่แล้ว เทียบกับคุณน้าของเสี่ยวหมี่โต้ว เธอที่เป็นพ่อแม่ย่อมเอนเอียงไปทางเซียวซู่มากกว่า
เซียวซู่นั้นห่างจากลูกสาวของเธอไม่มาก แต่ว่าลูกสาวไม่ชอบ ระหว่างกลางนั้นก็เลยถูกขวางกั้นด้วยระยะทางที่ไม่มีทางหดสั้นลง
น่าเสียดายคนดีๆอย่างเซียวซู่ หลัวหุ้ยเหม่ยก็เลยตัดสินใจตัดบทให้จบโดยเร็วแทนลูกสาว
“นายไปจัดการเรื่องงานในครั้งนี้คงเหนื่อยมากสินะ ผอมลงเสียขนาดนี้”