บทที่ 1281 ตอกกลับคน
หลังจากตรวจสอบเสร็จแล้ว คุณแม่เจียงพบว่าไม่มีอะไรผิดปกติไป ก็โล่งใจขึ้นมา
“ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว เติมลิปสติกเสร็จแล้วสินะ?”
“อืม อืม” เจียงเสี่ยวไป๋นำกระจกแต่งหน้าและลิปสติกยัดใส่ในกระเป๋าของตัวเอง จากนั้นก็เริ่มเอ่ยพูดว่า “พวกเราเข้าไปกันเถอะ”
“ได้”
เพราะว่าเกิดปัญหาขึ้นตรงขนตา คุณแม่เจียงจึงลืมเรื่องเมื่อสักครู่ของเซียวซู่ไปอย่างรวดเร็ว ลงไปจากรถพร้อมกับลูกสาวของตัวเอง ตอนที่เดินเข้าไปในโรงแรมยังกำชับไปพลางว่า “โอกาสในวันนี้แตกต่างกันไป คุณลุงของเธอเชิญคนมาตั้งมากมาย ดังนั้นเธอต้องทำตัวให้ดีๆหน่อย ต้องให้พวกเขารู้ว่า แม่ว่าฉันและคุณพ่อของเธอจะให้กำเนิดลูกสาวเพียงคนเดียว แต่เธอกลับเก่งกว่าพวกเขามากๆ รู้ไหม?”
เจียงเสี่ยวไป๋ “คุณแม่ … ทำไมฉันต้องเปรียบเทียบกับคนอื่นด้วย?ฉันไม่อยากทำ ฉันขี้เกียจ”
“ ยัยเด็กโง่ นี่ให้เธอไปเปรียบเทียบกับคนอื่นซะที่ไหนละ?นี่คือการที่เธอต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีและหน้าตา เธอเป็นถึง ลูกสาวคนเดียวของพ่อแม่เชียวนะ ดังนั้นแน่นอนว่าเธอต้องรับผิดชอบสิ่งนี้”
“เฮ้อ” เจียงเสี่ยวไป๋ถอนหายใจหนึ่งครั้ง เหนื่อยใจจริงๆเลย
ทั้งสองกำลังเดินเข้าไปข้างใน และข้างๆก็มีคนสองสามคนเดินมาทางนี้เป็นกลุ่ม เจียงเสี่ยวไป๋มองดูจากระยะไกลรู้สึกคุ้นๆ
กำลังจะอยากถามคุณแม่เจียงว่าคนเหล่านั้นเป็นคนรู้จักหรือเปล่า ก็ได้ยินเสียงตะโกนออกมาว่า “นั่นคือเสี่ยวไป๋ใช่ไหม?”
เมื่อคุณแม่เจียงได้ยินเสียง ก็มองด้านข้าง สีหน้าไม่สู้ดีขึ้นมาภายในทันใด
“ คือป้าสะใภ้รองของเธอและพวกของคุณและเจียงเหมย”
เจียงเหมย?
เมื่อได้ยินชื่อนี้ ความสนใจของเจียงเสี่ยวไป๋ก็ลดลงเล็กน้อยไปอีก
เจียงเหมยอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ เมื่อก่อนตอนอยู่โรงเรียนชอบเปรียบเทียบกับเธอบ่อยๆ และมักจะชอบฉกฉวยสิ่งของของเธอ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วไม่ใช่ของ ของหล่อนเลย
เพียงแค่เห็นว่าเจียงเสี่ยวไป๋มีอะไร เจียงเหมยก็อยากจะมีสิ่งนั้นด้วย ยังไงซะก็รีบร้อนเพื่อที่จะพิสูจน์ตัวเองเป็นอย่างมาก
ตัวอย่างเช่นตอนที่เจียงเสี่ยวไป๋เรียนมัธยมปลาย มีผู้ชายคนหนึ่งที่ฐานะการเงินครอบครัวยอดเยี่ยมมากๆมาตามจีบเจียงเสี่ยวไป๋ แต่ว่าเจียงเสี่ยวไป๋มีเวลาไปสนใจอีกฝ่ายซะที่ไหนกัน? ทุกๆวันนอกจากเธอไปรับประทานอาหารที่โรงอาหารแล้ว ก็ยังมีงานวรรณกรรมต่างๆที่ต้องเรียน และแม้กระทั่งเวลาหลังเลิกเรียนก็เป็นเวลาอ่านหนังสือ
ดังนั้นจดหมายรักที่ผู้ชายส่งมาให้เจียงเสี่ยวไป๋หลายๆฉบับ ท้ายที่สุดก็ถูกเจียงเสี่ยวไป๋ใช้เป็นที่คั่นหนังสือแล้ว
ไม่รู้ว่าเจียงเหมยได้ยินข่าวมานี้มาจากไหน จากนั้นก็เริ่มตามจีบชายคนนั้น ในที่สุดหลังจากที่สามารถคบกับอีกฝ่ายได้อย่างสบายๆแล้วนั้น ก็วิ่งไปอวดต่อหน้าเจียงเสี่ยวไป๋
เจียงเสี่ยวไป๋ในตอนนั้น “……”
และในเวลาต่อมา ในวันเฉลิมฉลองวันสถาปนาของโรงเรียนเจียงเสี่ยวไป๋ก็ถูกยุยงให้สมัครเข้าร่วมวิ่งมาราธอน และเจียงเหมยก็รีบสมัครตามโดยทันที
อย่างไรก็ตาม กิจกรรมใดก็แล้วแต่ที่มีเจียงเสี่ยวไป๋ จะต้องไม่ขาดเงาของเจียงเหมยอย่างแน่นอน
และทุกๆครั้งเจียงเหมยจะทำได้ดีมากกว่าเธอ โดดเด่นมากกว่า จากนั้นก็มาอวดต่อหน้าเจียงเสี่ยวไป๋
แน่นอนว่า ทุกๆครั้งเจียงเหมยก็จะนำเรื่องพวกนี้มาพูดต่อหน้าคุณหญิงใหญ่เจียง เมื่อเวลาผ่านไป เป็นเวลานาน คุณหญิงใหญ่เจียงก็รู้สึกตามเหตุผลว่าเจียงเสี่ยวไป๋ทำอะไรก็ไม่ได้ แย่ที่หนึ่ง
ไม่มีอะไรดีไปกว่าเจียงเหมย ทุกอย่างล้วนแต่ถูกเจียงเหมยบดขยี้
จนกระทั่งต่อมา หลังจากที่เจียงเสี่ยวไป๋จบการศึกษาก็ได้ซ่อนตัวเขียนบทความอยู่ที่บ้าน ในที่สุด เจียงเหมย ก็ไม่สามารถทำอะไรเธอได้แล้ว
เนื่องจากเจียงเหมยไม่ชอบ อ่านหนังสือไง แม้ว่าหล่อนอยากจะเลียนแบบตัวเธอเอง แต่หล่อนก็ไม่มีความสามารถเช่นนั้นเหมือนกัน
และในที่สุดเจียงเสี่ยวไป๋ก็สามารถอยู่อย่างเงียบๆได้ตั้งหลายปี คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกันในวันนี้อีก
จากระยะไกล เจียงเสี่ยวไป๋ก็มองเห็นเจียงเหมยสวมชุดกระโปรงยาวเสื้อสายเดี่ยวสีเขียว คลุมด้วยเสือแจ็กเกตตัวเล็กฝังไข่มุก และสะพายกระเป๋าที่ดูท่าจะราคาแพงมากๆไว้ที่เอว ผมลอนใหญ่ยาวทรงเป็นที่นิยม ดูมีเสน่ห์และสวยงามมากเป็นพิเศษ
ค่อนข้างแต่งตัวเก่งเลยทีเดียว เจียงเสี่ยวไป๋พูดในใจอย่างเงียบ ๆ
รอให้เธอเข้ามาใกล้ เจียงเหมยก็แสร้งทำเป็นสนิทสนมและเดินมาคล้องแขนเจียงเสี่ยวไป๋ “เสี่ยวไป๋ฉันคิดไม่ถึงว่าเธอก็มาด้วย ฉันคิดว่าคุณจะอยู่ที่บ้านจนกว่าจะขึ้นราซะอีก”
กลิ่นดินปืน(บรรยากาศการปะทะกัน)ก็อบอวลในประโยคแรกที่พบเจอกันแล้ว เหอะๆๆๆ
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะเยาะในใจสองครั้ง
จากนั้นสีหน้าก็ไม่แสดงอะไรปฏิกิริยาอะไรออกมา มองไปทางคุณแม่ของเจียงเหมยแล้วเรียกหนึ่งคำว่า “คุณป้ารอง”
ป้ารองตอบรับหนึ่งคำ สายตาเหมือนกวาดไปบนร่างกายของเจียงเสี่ยวไป๋แล้วหนึ่งครั้ง หลังจากมองเห็นเสื้อผ้าที่เธอสวมใส่แล้วนั้น สายตาก็เปลี่ยนไปเป็นรังเกียจเล็กน้อย ถอนหายใจเอ่ยว่า “ฉันไม่ได้จะว่าเธอนะเสี่ยวไป๋ หลังจากที่เธอเรียนจบวันๆก็อยู่แต่ในบ้าน ไม่เคยออกมาเดินเล่นกับญาติ ๆ บ้างเลย ออกมาได้สักครั้งอย่างไม่ง่ายดาย ทำไมไม่หาซื้อเสื้อผ้าที่ดีกว่านี้มาใส่ล่ะ?”
อะไรนะ?
เจียงเสี่ยวไป๋ก้มศีรษะมองลงไปที่ชุดกระโปรงบนตัวของตัวเองหนึ่งครั้ง
กระโปรงตัวนี้เป็นตัวที่ฟางถังถังประมูลได้ในงานประมูล บอกว่าแบบกระโปรงตัวนี้ค่อนข้างพิเศษ และยังมีดีไซน์มากๆ เมื่อสวมใส่จะดูหุ่นดีมากๆ แต่หลังจากที่ฟางถังถังซื้อมาแล้วนั้นก็พบว่าเอวของเธอนั้นหนาเกินไป ใส่ไม่ได้โดยสิ้นเชิง เธอจึงเปลี่ยนความคิดและมอบกระโปรงตัวเล็กนี้ด้วยราคาประมูลเกือบครึ่งล้านให้กับเจียงเสี่ยวไป๋ ตอนแรกเจียงเสี่ยวไป๋ไม่เต็มใจที่จะรับไว้ ฟางถังถังจึงยัดเข้าไปในตัวเธอ บอกว่าถ้าไม่ใส่จะสิ้นเปลือง
กระโปรงแพงมากเกินไป เจียงเสี่ยวไป๋ไม่กล้าใส่ เพียงแต่ว่าวันนี้ที่เธอเปิดตู้เสื้อผ้าดูนั้น จู่ๆเธอก็พบว่าตัวเองมีกระโปรงอยู่เพียงตัวเดียว ด้วยเหตุนี้เธอจึงสวมมาที่นี่
ประเด็นสำคัญก็คือเจียงเสี่ยวไป๋เอวบางและขายาว หลังจากสวมกระโปรงตัวนี้ก็ดูสูงขึ้น
จากระยะไกล เจียงเหมยก็เห็นว่าเจียงเสี่ยวไป๋หุ่นดีมาก และก็อิจฉาอยู่ในใจ ตอนนี้มองเห็นเธอสวมใส่ชุดแบบธรรมดา มุมริมฝีปากและดวงตาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกภาคภูมิใจ
“ใช่แล้วเสี่ยวไป๋ ตอนนี้พวกเราเข้าสังคมกันหมดแล้ว การซื้อเสื้อผ้าเนี่ย ควรที่จะซื้อมียี่ห้อพวกนั้นจะดีกว่า สวมใส่แล้วถึงจะได้ดูแพง กระโปรงตัวนี้ของเธอซื้อจากAppเป่าอะไรสักอย่างใช่ไหม? “
“ห๊ะ?” เจียงเซียวไป๋ห๊ะไปหนึ่งคำ “เข้าสังคมต้องใส่เสื้อผ้าแบรนด์เท่านั้นเหรอ?นี่เป็นกฎที่ใครตั้งเหรอ?”
ตู้เซียวหยู่มองดูอยู่ข้างๆ หลังจากได้ยินคำพูดของทั้งสองคนก็ขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจขึ้นมา จากนั้นก็หันไปมองชุดที่ลูกสาวของตัวเองสวมใส่
กระโปรงตัวนี้ไม่ว่าจะเป็นเนื้อผ้าหรือว่าดีไซน์ ล้วนแต่เลิศล้ำมากๆ จะซื้อด้วยเงินเพียงเล็กน้อยได้อย่างไร? แต่ว่าแบรนด์นี้เธอก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเช่นกัน
“ แน่นอนว่าไม่ใช่กฎ แต่ว่าพวกเราล้วนแต่เป็นคนของตระกูลเจียง วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณย่า เธอแต่งตัวอย่างไม่เป็นทางการเช่นนี้ ไม่เคยเห็นคุณย่าอยู่ในสายตาเลยใช่ไหม?” เจียงเหมยปิดปากและหัวเราะอย่างอ่อนช้อยสองครั้ง จากนั้นก็ตบไหล่ของเจียงเสี่ยวไป๋เบาๆ “หรือจะบอกว่ารายได้จากการเขียนบทความของเธอไม่ค่อยอยู่ในแง่ดีนัก ฉันได้ยินมาว่านักเขียนออนไลน์พวกนี้มีรายได้น้อยมากๆ บางครั้งขนาดตัวเองก็ไม่สามารถเลี้ยงได้ ต้องพึ่งพาครอบครัวให้ช่วยเหลือ”
หลังจากพูดจบก็มองไปที่ตู้เซียวหยู่ “เสี่ยวไป๋ไม่รู้เรื่องรู้ราวขนาดนี้ คุณอาสะใภ้สามต้องลำบากมากๆเลยสินะ?”
ริมฝีปากของเจียงเสี่ยวไป๋อดไม่ได้ที่จะกระตุก อยากถามมากๆว่าเธอเป็นคนปัญญาอ่อนเหรอ?
ตอนที่อยู่โรงเรียนก็ชอบเปรียบเทียบกับฉันมากๆ คิดไม่ถึงว่าผ่านมานานขนาดนี้ ยังชอบเปรียบเทียบกับเธออีก?
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ เจียงเสี่ยวไป๋ก็ยิ้มอย่างอย่างไรก็ได้ เอ่ยเบา ๆ ว่า “ใช่แล้วใช่แล้ว คุณแม่ของฉันลำบากมากๆเลย แต่ว่าเจียงเหมยเธอบอกว่าเธอออกมาทำงานนานขนาดนี้แล้ว แล้วทำไมเธอถึงยังพูดไม่เป็นแบบนี้อยู่อีกละ? ฝีปากแบบเธอเช่นนี้ อยู่รอดในสถานที่ทำงานได้อย่างไรกันเนี่ย?”
ไม่มีใครคิดว่า จู่ๆ เจียงเสี่ยวไป๋จะตอกกลับคน
แถมยังต่อคุณป้ารองของเธออีกด้วย ดังนั้นทั้งสี่คนในที่เกิดเหตุ ยกเว้นเจียงเสี่ยวไป๋ อีกสามคนก็ล้วนแต่ตกตะลึงไปกันหมด