บทที่1299 ยังไม่รู้จักปรับลมหายใจอีกเหรอ
แฟนของประธานหาน ?
ตอนแรกสวี่เย็นหวั่นก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว ยังไม่รอให้เธอได้ตอบกลับ เจี่ยงเหวินเหวินก็เริ่มพูดขึ้น “แฟนของเขาคนนั้นนะ คอยมาหาประธานหานทุกวัน ไม่เอาอย่างนี้มาก็เอาอย่างนั้นมา ผู้หญิงคนหนึ่งใช้ชีวิตโดยไม่เป็นตัวของตัวเองเลยสักนิด ถ้าเธอให้หล่อนมาทำงานที่บริษัทตระกูลหานล่ะก็ คิดว่าหล่อนก็คงทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง”
เจี่ยงเหวินเหวินพูดไปพลางส่ายหัวไปพลาง ทำสีหน้าท่าทางรังเกียจ
“แฟนของ……ประธานหาน ? เขามาบ่อยเหรอคะ” สวี่เย็นหวั่นถามแบบอ้อมๆ สายตามีแววของความเจ็บปวดวาบผ่าน ถึงแม้เธอจะเดาได้นานแล้วว่าเขามีแฟนแล้ว แต่ตอนนี้พอได้ยินข่าวจากปากคนอื่นว่าเขามีแฟนแล้ว ในใจของสวี่เย็นหวั่นก็ยังรู้สึกเจ็บปวดอยู่
“มาบ่อยเลย แทบจะมาทุกวัน ประธานหานของพวกเราไม่มีแฟนมาตลอดหลายปี คาดว่าเด็กคนนั้นคงอยากมาอวดล่ะมั้ง”
“อวด ?” สวี่เย็นหวั่นถามอย่างไม่เข้าใจ “ทำไมล่ะคะ”
เจี่ยงเหวินเหวินมองดูเธอทีหนึ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นมาตบบ่าเธอ “ดูเธอสิสาวน้อย ทำไมถึงได้ใสซื่อขนาดนี้ ประธานหานของพวกเราเป็นคนระดับไหน ในบริษัทมีคนตั้งไม่รู้กี่คนที่อยากเป็นแฟนประธานหาน ถ้าได้ประธานหานมาอยู่ในมือ ยังไงก็ต้องอวดกันหน่อยสิ”
“เป็นแบบนั้นเหรอคะ” สวี่เย็นหวั่นลองคิดดูอย่างละเอียด ทำไมถึงได้รู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าอวดเลย เธอถึงขั้นพึมพำกับตัวเองว่า “คนสองคนจะอยู่ด้วยกัน ไม่ใช่เพราะว่าชอบกันและกันหรอกหรือ”
“โธ่เอ๋ยพระเจ้า ความคิดของเธอมันใสซื่อเกินไปแล้ว บนโลกนี้ไม่มีความรู้สึกที่ใสสะอาดอะไรแบบนั้นหรอก ถือฉากหน้าดูแล้วจะรักใคร่กันดี แต่ที่จริงแล้ว ถ้าประธานหานของพวกเราไม่มีอะไรเลย ไม่มีอำนาจและตำแหน่ง เป็นเพียงผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง เธอก็ดูสิว่าจะมีคนชอบเขามากมายขนาดนี้อยู่อีกหรือเปล่า”
พอพูดจบ เจี่ยงเหวินเหวินก็พูดต่อว่า “ตอนนี้มีผู้หญิงคนไหนอีกบ้างที่หาคู่โดยไม่ดูฐานะเงินทอง ใครจะไปเต็มใจแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่เอาไหนแล้วเต็มใจลำบากไปด้วยกันบ้าง ความรักไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด หลังจากแต่งงานแล้ว เงินต่างหากที่ใช่”
สวี่เย็นหวั่น “……”
“ผู้หญิงคนนั้นน่ะนะ ถ้าไม่ใช่เพราะฐานะและตำแหน่งของประธานหาน จะไปยอมอยู่กับเขาได้ยังไง ดังนั้นนะ อย่าไปคิดว่าคนเรานั้นดีงามเกินไปนัก เธอน่ะ พยายามทำงานไปเถอะ ฉันยังมีงานต้องจัดการต่อ เธอออกไปก่อนได้เลย”
“ได้ค่ะพี่เหวินเหวิน งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ”
หลังจากออกจากห้องทำงานมาแล้ว สวี่เย็นหวั่นก็ยืนพิงกำแพง ในหัวก็มีคำพูดของเจี่ยงเหวินเหวินเมื่อครู่วนเวียนอยู่
ในสายตาของเธอ เธอคิดมาตลอดว่าความรักนั้นเป็นสิ่งที่ดีงาม เป็นสิ่งที่ไม่สามารถละเมิดได้
ขอแค่ทั้งสองคนชอบกันและกัน ก็จะสามารถก้าวข้ามทุกสิ่งอย่างไปได้ จากนั้นก็อยู่ด้วยกัน จับมือของฝ่ายตรงข้ามไว้แน่น
แต่ว่าตอนนี้เธอกลับได้ยินข่าวลือว่าผู้หญิงคนนั้นชอบหานชิงเพราะฐานะและตำแหน่งของเขา
เป็นเรื่องจริงหรือ ?
เป็นไปได้หรือ ?
สวี่เย็นหวั่นเงยหน้าขึ้น แววตาเต็มไปด้วยความสงสัย
คนที่หานชิงต้องตา จะเป็นคนแบบนั้นได้หรือ
*
เสี่ยวเหยียนไม่รู้ว่าตัวเองถูกคนอื่นๆพูดไว้ลับหลังได้เลวร้ายขนาดไหน เธอขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้นบน จากนั้นก็เดินไปทางห้องทำงานอย่างชำนาญทาง
ระหว่างทางก็พบกับซูจิ่วเข้า
พอซูจิ่วเห็นเธอ ก็ขยิบตาให้เธอทันที
“มาหาประธานหานอีกแล้วเหรอ”
ตอนแรกที่ซูจิ่วแซวตัวเธอนั้น เสี่ยวเหยียนก็มักจะหน้าแดง เขินอาย แต่ตอนนี้พอบ่อยครั้งเข้า หนังหน้าของเสี่ยวเหยียนก็ค่อยๆหนาขึ้น
เหมือนกับตอนนี้ พอซูจิ่วมาแซวเธอ เสี่ยวเหยียนก็แค่ยักคิ้ว แล้วยกมุมปากถามว่า “ใช่แล้ว มารบกวนเขาอีกแล้ว วันนี้มีประชุมไหม”
“ประชุมน่ะไม่มีหรอก แต่ว่าอีกสิบห้านาทีเขาจะต้องไปเจรจาสัญญาชิ้นหนึ่งด้วยตัวเอง ดังนั้น……เธอคงเข้าใจ”
“สิบห้านาที”
“ใช่ สิบห้านาทีคงพอที่จะดื่มซุปที่เอามาแล้วล่ะ”
ซูจิ่วชี้ไปที่กระติกเก็บความร้อนที่เธอหิ้วมา เสี่ยวเหยียนเม้มปากอย่างเลิ่กลั่ก “ถ้าอย่างนั้นฉันขอไปก่อนนะ”
“ไปเถอะ”
เสี่ยวเหยียนถือกระติกเก็บความร้อนเข้าไปในห้องทำงาน
ถึงแม้ทั้งสองคนจะสนิทกันมากแล้ว แต่ว่าเสี่ยวเหยียนก็ยังเคาะประตูตามมารยาท รอให้เขาบอกว่าเข้าไปได้ค่อยเข้าไป
พอเข้าไปแล้วเสี่ยวเหยียนก็ถือกระติกเก็บความร้อนเข้าไปวางไว้บนโต๊ะเขาเงียบๆ หานชิงเงยหน้าขึ้นมา พอเห็นว่าเป็นเธอ ก็พูดว่า “ต่อไปถ้ามาก็ไม่ต้องเคาะประตูหรอก เดินเข้ามาข้างในได้เลย”
งานของเขา ไม่มีอะไรที่ต้องปิดบังเธอ
เสี่ยวเหยียนรีบพูดขึ้นว่า “ไม่เป็นไร ฉันชินแล้ว จะไปที่ไหนก็ต้องเคาะประตูก่อน”
พอพูดจบ เธอก็เปิดฝากระติกเก็บความร้อนออก แล้วพูดว่า “ฉันได้ยินเลขาซูบอกว่า อีกเดี๋ยวคุณจะออกไปข้างนอก”
“อืม”
“ฉันทำซุปไก่มาให้คุณ คุณดื่มสักถ้วนหนึ่งก่อนสิ ช่วงนี้คงจะเหนื่อยหน่อย”
ตอนที่เสี่ยวเหยียนกำลังจะเทนั้น ก็พบว่าตัวเองลืมเอาถ้วยมาด้วย เธอเงยหน้าขึ้นแล้วพูดอย่างรู้สึกผิดว่า “ฉันลืมเอาถ้วยมาด้วย ขอโทษนะ……เดิมทีฉันจะเอามาด้วยตอนออกมา แต่ว่า……”
เพราะลืมเอาถ้วยมาด้วย ดังนั้นเสี่ยวเหยียนก็เลยรู้สึกผิดและเอาแต่โทษตัวเอง ทั้งๆที่เธอต้มซุปไว้เพื่อจะเอามาให้เขาดื่ม แต่ตอนนี้เขากำลังรีบ แต่ตัวเองกลับหาไม่ได้แม้กระทั่งถ้วย
“หรือไม่ ฉันเดินลงไปถามห้องอาหารด้านล่างดูว่ามีถ้วยหรือเปล่า”
พอพูดจบ เสี่ยวเหยียนก็หันหลังเดินออกไปทันที แล้วข้อมือก็ถูกรัดแน่น ทั่วทั้งร่างถูกหานชิงดึงกลับไป แล้วชนเข้ากับแผ่นอกของเขา
ยังไม่รอให้เธอได้ตอบสนอง คางก็ถูกมือใหญ่จับไว้ก่อน ภาพตรงหน้ามืดไป แล้วริมฝีปากบางของหานชิงก็ประกบลงมา
“อืม” เสี่ยวเหยียนเบิกตาโต รู้สึกตะลึงเล็กน้อย แววตาสั่นระริก
เพราะเธอคิดไม่ถึงว่าจู่ๆหานชิงจะดึงเธอไปจูบ อีกอย่างยังเป็นตอนที่เธอกำลังคิดจะไปเอาถ้วยด้วย นี่มัน……เกิดอะไรขึ้นกันแน่
จูบของหานชิงอบอุ่นมาก แรกเริ่มราวกับสายลมที่ประทับลงมาบนริมฝีปากของเธอ จิกบนริมฝีปากของเธอเบาๆ แต่ตามเวลาที่เนิ่นนานขึ้น ริมฝีปากบางของเขาก็เปลี่ยนจากเย็นฉ่ำเป็นเร่าร้อน ลมหายใจที่ไม่สม่ำเสมอพ่นลงบนใบหน้าของเธอ มือใหญ่รวบไว้ที่หลังศีรษะเธอ แล้วแหวกแนวฟันของเธอออก
ความรู้สึกของเสี่ยวเหยียนเองก็แปลเปลี่ยนจากความประหลาดกลายเป็นความดื่มด่ำอยู่ภายใน ปิดเปลือกตาลง ขนตายาวสั่นระริกเบาๆ
ที่จริงหลังจากที่ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันแล้ว จำนวนครั้งในการจูบก็มากขึ้นด้วย ก่อนหน้านี้เสี่ยวเหยียนไม่เคยมีความรักมาก่อน ดังนั้นก็เลยไม่รู้ว่าผู้ชายคนอื่นจะเหมือนกับหานชิงหรือไม่
เร่าร้อน ตรงไปตรงมา ไม่ปิดบัง
ทุกครั้งที่จูบกัน ความรู้สึกที่หานชิงให้เสี่ยวเหยียนนั้นไม่เหมือนเดิมเลยสักครั้ง
ในบางครั้ง เขาก็หวงแหน แต่บางครั้งก็อ่อนโยน บางครั้งก็เร่าร้อนแล้วเต็มไปด้วยความรู้สึกและความต้องการที่หนักแน่น
และไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว เสี่ยวเหยียนรู้สึกว่าลมหายใจเริ่มคงที่ เลยยื่นมือไปดันไหล่ของหานชิง
ตอนแรกหานชิงก็ไม่ขยับ เสี่ยวเหยียนเลยผลักอีกครั้ง เขาถึงจะหยุดลงอย่างไม่เต็มใจนัก จากนั้นก็กัดริมฝีปากล่างของเสี่ยวเหยียนเบาๆแล้วถอนหายใจออกมา
“ผ่านมาหลายครั้งขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงยังไม่รู้จักปรับลมหายใจของตัวเองสักที”
พอถูกเขาพูดแบบนี้ สีหน้าของเสี่ยวเหยียนก็เริ่มเลิ่กลั่ก เพราะว่าทั้งสองคนยังคงพิงกันอยู่ เธอก็ไม่กล้าพูดออกมา ทำได้เพียงแค่เอื้อมมือไปผลักเขาเบาๆ
หานชิงถึงยอมขยับออก แล้วหน้าผากแนบกับเธอ
“เป็นอะไรไป”
น้ำเสียงของเขาแหบพร่า แววตาเองก็ลุ่มลึกมาก