บทที่ 1315 ทำไมถึงใส่อารมณ์ขนาดนั้น
หานชิงยังไม่ได้ขยับ เพราะเหมือนกับว่าเขาไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายแบบนี้มานานมากแล้ว
เมื่อคืนเขาแค่กอดเธอเอาไว้ ร่างกายก็รู้สึกผ่อนคลายอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หลับไปเลย
คิดไม่ถึงว่าพอตื่นขึ้นมา ก็กลายเป็นเช้าวันใหม่แล้ว
เขานอนอยู่บนเตียง สำรวจรอบๆห้องของหญิงสาว สภาพแวดล้อมช่างแตกต่างจากห้องที่เขาอยู่มากจริงๆ
ห้องของเขาไม่มีสีสันอะไร รูปแบบเรียบง่าย ดูแล้วก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ แม้ว่าหลายคนจะชอบสไตล์ที่เรียบง่าย แต่พอนานๆไปก็รู้สึกไม่มีอะไรน่าสนใจ
พอได้มาเห็นห้องของหญิงสาว หานชิงก็รู้สึกแปลกใหม่และสดชื่น
ก็เหมือนกับในโลกที่มีสีขาวกับสีดำใบหนึ่ง ที่จู่ก็มีสีสันเข้ามา พื้นดินที่เคยแห้งแล้ง ก็กลับมีชีวิตชีวาขึ้นมา
เขานอนอยู่เงียบๆ
เสี่ยวเหยียนที่อยู่นอกประตูกลับยืนพะว้าพะวังอยู่ตรงนั้น เพราะเธอตื่นแล้ว แต่เวลานี้เธอกำลังลังเลว่าจะเข้าหรือไม่เข้าไปเรียกให้หานชิงตื่นดี
ถึงเวลาทำงานของบริษัทแล้ว แต่ว่าเธอก็เป็นห่วงว่าเมื่อวานที่เขาดื่มเหล้า อาจจะนอนไม่ค่อยสบาย ดังนั้นถ้าไปปลุกให้เขาตื่นเร็วเกินไปเขาอาจจะปวดหัว
ถ้าอย่างนั้น ให้เขานอนต่ออีกหน่อยเถอะ
หลังจากตัดสินใจได้แล้ว เสี่ยวเหยียนก็หมุนตัวเตรียมจะกลับห้อง
ใครจะไปรู้ว่าพอเธอเพิ่งนั่งลง เสียงของหลัวหุ้ยเหม่ยก็ดังขึ้นมา“เหยียนเหยียน ตื่นนอนได้แล้ว”
จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงเรียก และยังเสียงเคาะประตูที่ดังก้อง
สีหน้าเสี่ยวเหยียนเปลี่ยนไปทันที เด้งลุกขึ้นมาจากเตียง จากนั้นก็รีบพุ่งออกไป ก็เห็นว่าหลัวหุ้ยเหม่ยยืนอยู่หน้าประตูห้องของเธอกำลังเคาะประตูพลางร้องเรียก
เมื่อเห็นเสี่ยวเหยียนยืนอยู่ตรงหน้า หลัวหุ้ยเหม่ยก็แปลกใจมาก:“เหยียนเหยียน ลูกตื่นแล้วเหรอ ลูกไปไหนมา”
เสี่ยวเหยียน:“……แม่……”
สีหน้าเธอกระอักกระอ่วน หลัวหุ้ยเหม่ยตกใจเล็กน้อย ทันใดนั้นก็คิดอะไรขึ้นได้ จากนั้นก็มองเข้าไปในห้อง
เพราะปกติสิ่งแรกที่หลัวหุ้ยเหม่ยทำหลังจากตื่นนอนก็คือมาเรียกลูกสาวตนเองตื่นนอน เพราะเสี่ยวเหยียนนั้นขี้เซามาก ดังนั้นเรื่องนี้จึงทำจนเป็นความเคยชิน
ดังนั้นหลัวหุ้ยเหม่ยจึงลืมไปว่าเมื่อคืนหานชิงนอนอยู่ที่ห้องของเสี่ยวเหยียน เดินไปเคาะประตูเรียกแล้ว จึงได้ตั้งสตินึกขึ้นมาได้
ไม่นาน หลัวหุ้ยเหม่ยดึงมือกลับ หันไปยิ้มกับเสี่ยวเหยียนเขินๆ พลางเดินไปดันเสี่ยวเหยียนกลับไปที่ห้องพักแขกด้วยกัน
“แม่ไม่ได้ตั้งใจ ก็ปกติเรียกลูกตื่นนอนจนชินแล้ว ก็เลยลืมไปว่าเมื่อคืนหานชิงนอนอยู่ในห้องของลูก”
ในขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่ทางนี้ อีกด้านหานชิงก็ลงมาจากเตียงตอนที่หลัวหุ้ยเหม่ยร้องเรียก เขาเปิดประตู เห็นหน้าประตูว่างเปล่า ก็ขมวดคิ้ว
ส่วนทางนี้เสี่ยวเหยียนและหลัวหุ้ยเหม่ยทั้งสองก็พูดคุยกันเสร็จแล้ว หลังจากออกมาหลัวหุ้ยเหม่ยก็อธิบายเสียงแข็งว่า:“เสี่ยวชิง คุณตื่นแล้วเหรอ น้าลืมไปว่าเมื่อวานคุณนอนอยู่ในห้องนี้ คิดว่าเป็นเสี่ยวเหยียน เสียงดังทำให้คุณตื่น ต้องขอโทษด้วยนะ!”
“ไม่เป็นไรครับ ผมก็ตื่นพอดี อรุณสวัสดิ์ครับคุณป้า”
“อรุณสวัสดิ์จ้ะ คุณคุยกับเสี่ยวเหยียนไปก่อนนะ ป้าไปเตรียมอาหารเช้า”
“ขอบคุณมากครับ”
ตอนที่หลัวหุ้ยเหม่ยไปห้องครัว ในใจก็คิดว่าลูกสาวคนนี้หาแฟนได้เป็นคนที่มีมารยาทรอบคอบดีจริงๆ พูดกับผู้ใหญ่ก็มีสัมมาคารวะ
เสี่ยวเหยียนลากหานชิงเข้าไปในห้อง จากนั้นก็หยิบแปรงสีฟันและแก้วน้ำของใหม่จากในตู้เก็บของส่งให้เขา:“คุณไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนเถอะ ยังรู้สึกไม่สบายอยู่หรือเปล่า”
หานชิงยื่นมือมาลูบที่ศีรษะเธอเบาๆ“ไม่มีแล้ว นอนหลับสบายมาก”
ได้ยินดังนั้น เสี่ยวเหยียนถอนหายใจอย่างโล่งอก:“อย่างนั้นก็ดี”
หลังจากกินอาหารเช้าแล้ว หานชิงก็ขับรถไปบริษัทเลย
รถของเขาจอดที่ชั้นล่างมาทั้งคืนแล้ว หลังจากออกไป เพื่อนบ้านก็วิ่งมาหาหลัวหุ้ยเหม่ยพูดคุยกันเสียงดังจ้อกแจ้กจอแจต่อหน้าใครอีกหลายคน
“หุ้ยเหม่ย เมื่อกี้ผู้ชายคนที่ขับรถออกไปคนนั้นเป็นใครเหรอ ดูแล้วรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาหล่อเหลา คงไม่ใช่แฟนของเหยียนเหยียนบ้านเธอหรอกนะ”
“ฉันจำได้ว่าบ้านเธอไม่ได้มีญาติหน้าตาแบบนี้นี่ ต้องเป็นแฟนของเหยียนเหยียนแน่นอน ก่อนหน้านี้ป้าจางแนะนำผู้ชายเลวขนาดนั้นให้มาเป็นแฟนเหยียนเหยียน ตอนนี้คนนี้ดูแล้วดูดีมีชาติตระกูลมากเลยนะ”
“ใช่แล้วเหยียนเหยียน เธอไปหาแฟนรวยขนาดนี้ได้ยังไงกัน”
คนพวกนี้ปากยื่นปากยาว พูดกันไม่หยุด รอคนนี้พูดจบคนนั้นก็พูดขึ้นมาอีกหลัวหุ้ยเหม่ยและเสี่ยวเหยียนถูกห้อมล้อมเอาไว้ ฟังอีกฝ่ายพูดพล่ามไม่หยุด ก็รู้สึกปวดหัว
แต่หลัวหุ้ยเหม่ยยังยอมรับ:“ใช่ เป็นแฟนของเหยียนเหยียนของเราเอง แต่จะรวยหรือไม่รวยไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือนิสัยใจคอต้องดีพร้อม ดีกับเหยียนเหยียน นี่ถึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด”
“ใช่ๆๆๆ พูดถูก สำคัญที่สุดก็คือนิสัยใจคอ แต่แฟนคนนี้ของเสี่ยวเหยียนต้องรวยมากจริงๆนะ รถคันนั้นที่เขาขับ ยี่ห้ออะไรนะ”
“ทำงานที่ไหนเหรอ เรียนจบอะไรมา พ่อแม่ยังอยู่มั้ย ฉันจะบอกเธอให้นะเหยียนเหยียน ผู้ชายเราต้องหาประเภทที่พ่อแม่ตายแล้วทั้งคู่ ถึงเวลาเธอแต่งงานไปจะได้ไม่ถูกรังแก”
จางเสี่ยวเหยียน:“……”
แม้ว่าพ่อแม่หานชิงจะจากไปนานแล้ว แต่ได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนี้ ในใจเธอก็รู้สึกไม่ชอบใจยิ่งนัก
ไม่รอให้เหยียนเหยียนออกโรงหลัวหุ้ยเหม่ยแม่ของเสี่ยวเหยียนก็ขมวดคิ้วก่อน แล้วจ้องมองคนพวกนั้นอย่างไม่พอใจพลางพูดว่า:“นี่คุณพูดอะไรแบบนี้เนี่ย เรื่องนี้มันขึ้นอยู่กับพรหมลิขิต”
“โธ่หุ้ยเหม่ย ฉันก็ไม่ได้พูดผิดนะ ถ้าหาคนที่พ่อแม่ยังแข็งแรงดีอยู่ และยังร่ำรวยอีก เหยียนเหยียนของเธอแต่งเข้าไปต้องถูกรังแกแน่นอน ฉันได้ยินมาว่า แม่ผัวตระกูลมหาเศรษฐีแต่ละคนร้ายกาจมาก ไม่ได้จะรับมือได้ง่ายๆ!”
“เหยียนเหยียนของพวกคุณซื่อขนาดนี้ อนาคตแต่งงานไปจะไม่ถูกรังแกเหรอ”
ความจริงบางพูดจาก็ไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่ว่าปากเสีย ชอบพูดในสิ่งที่คนอื่นไม่ชอบฟัง ก็เหมือนกับคำพูดพวกนี้ในตอนนี้ เธอและหานชิงยังไม่ได้ถึงจุดที่จะคุยกันเรื่องแต่งงาน พวกเธอกลับวิพากษ์วิจารณ์ไปถึงเรื่องพ่อแม่ยังแข็งแรงอยู่ดี พ่อแม่ทั้งสองคนเสียไปก่อนหน้านี้แล้ว
นี่ทำให้เสี่ยวเหยียนไม่สบายใจอย่างมากเธอ ไม่ชอบให้คนอื่นมานินทาแฟนของตัวเองลับหลัง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่ได้
ดังนั้นเธอจึงเอ่ยตัดบทออกมา
“ป้า ชีวิตและความรู้สึกของฉันนะไม่จำเป็นต้องให้คุณมาเดือดร้อนคอยเป็นห่วงกังวล ถ้าคุณว่าง สู้คุณไปช่วยลูกสะใภ้เลี้ยงลูกจะดีกว่า ฉันเห็นว่าเธอต้องทำงานด้วยต้องเลี้ยงลูกด้วยแล้วยังต้องทำงานบ้านอีกคงยากลำบากน่าดู พูดตามความจริงถ้าแม่สามีและลูกสะใภ้ทั้งโลกนี้ต่างทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดี เรื่องที่ไม่ควรก้าวก่ายก็ไม่ไปก้าวก่าย ก็ไม่มีทางทะเลาะกัน”
บรรดาผู้คน:“……”
“เด็กคนนี้ทำไมพูดอย่างนี้ล่ะ พวกเราก็แค่เป็นห่วงเรื่องแต่งงานของเธอนิดเดียว ทำไมต้องใส่อารมณ์ล่ะ”
เสี่ยวเหยียนยิ้มบางๆ:“ไม่ต้องลำบากให้ทุกคนมาเป็นห่วงหรอก กลับเถอะ”
พูดจบ จางเสี่ยวเหยียนก็คล้องแขนหลัวหุ้ยเหม่ยเดินกลับไป บรรดาผู้คนต่างด่าทอลับหลัง:“เก่งมากนักรึไง ลูกสาวของตระกูลจางตอนนี้ปีกกล้าขาแข็งแล้ว พูดจาก็เสียงแข็ง”
“ก็ใช่นะสิ เมื่อก่อนไม่ได้พูดจาอย่างนี้ ตอนนี้ละแหม……คนแบบนี้ก็สมแล้วที่เจอคนรวยก็เปลี่ยนไปเลย!”
หลัวหุ้ยเหม่ยมองลูกสาวอย่างอับจนปัญญา
“ทำไมลูกถึงใส่อารมณ์มากขนาดนั้น”
เสี่ยวเหยียนเบ้ปาก บรรยากาศอึมครึมเล็กน้อย:“พ่อแม่ของหานชิงเสียไปนานแล้วค่ะ”