บทที่ 1318 ท้องแล้ว
โรงพยาบาล
ตอนที่หานมู่จื่อมาเสี่ยวเหยียนก็รออยู่ที่หน้าประตูแล้ว
หานมู่จื่อไม่ได้มาตัวตนเดียว หลังจากเธอลงจากรถด้านหลังยังมีเย่โม่เซินเดินตามมาด้วย ในอ้อมอกของเย่โม่เซินอุ้มเสี่ยวโต้วหยา
เห็นภาพนี้ มุมปากของเสี่ยวเหยียนอดไม่ได้ที่จะกระตุก จากนั้นก็ดึงหานมู่จื่อมาพูดว่า:“ถึงแม้ฉันจะอยากอุ้มเสี่ยวโต้วหยา แต่ว่ายังไงพยาบาลสถานที่แบบนี้ไม่ใช่ที่จะพาเธอเข้าไปส่งเดชนะ โรงพยาบาลเชื้อโรคเยอะแยะเสี่ยวโต้วหยาตอนนี้ก็แข็งแรงดี ไม่มีความจำเป็นอะไรต้องเข้าไป”
ถูกเสี่ยวเหยียนพูดแบบนี้ หานมู่จื่อก็รู้สึกว่ามีเหตุผล จึงหันกลับไปมองเย่โม่เซิน
“อย่างนั้นคุณพาเสี่ยวโต้วหยากลับไปก่อนนะ”
เย่โม่เซินสีหน้าเย็นนิ่ง:“……”
“ทำไมล่ะ หรือว่าคุณอยากพาลูกสาวเข้าโรงพยาบาล”
เขาพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์:“เอาลูกให้คนขับรถอุ้มก่อนก็ได้”
หานมู่จื่อถลึงตา:“นี่ลูกสาวคุณนะ คุณยอมยกลูกสาวให้คุณขับรถ ถ้าเกิดคนขับรถพาลูกสาวคุณหนีไปล่ะ”
ความจริงแล้วไม่มีทาง คนขับรถของเย่โม่เซินต่างก็น่าเชื่อถือ ประโยคนี้หานมู่จื่อแกล้งหยอกเขาเท่านั้น
คนขับรถก็ยืนอยู่ข้างๆนั้นเอง ตอนที่ได้ยินประโยคนี้ก็หน้าแดงทันที รีบก้าวมาแก้ต่างให้ตัวเอง:“คุณนายน้อย ผมไม่ใช่คนแบบนี้นะครับ และก็ไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้ ผมเอานิสัยผมเป็นประกันเลยครับ”
คุณนายน้อยระแวงว่าเขาจะอุ้มเด็กหนี นี่ถือเป็นเรื่องร้ายแรงมาก ดังนั้นคนขับรถจึงร้อนใจจนเหงื่อแทบแตกแล้ว
หานมู่จื่อรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเล็กน้อย แต่คำพูดของเธอก็ยังกระทบใจของเย่โม่เซิน เขาชำเลืองมองคนขังอย่างหวาดระแวง
คนขับรถ:“……คุณชายเย่ ผมไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้ ผมเป็นคนขับรถที่บ้านตระกูลเย่มาหลายปีแล้ว และบ้านผมก็ยังมีทั้งเด็กและคนแก่ ถ้าผมทำเรื่องแบบนี้ เท่ากับผมไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วสิครับ”
“เอาละ คุณอย่าร้อนใจไปเลย ฉันก็แค่ล้อเล่น”หานมู่จื่อตบไหล่คนขับรถ:“ก็เพราะเชื่อใจคุณ ถึงได้แกล้งล้อเล่นกับคุณแบบนี้ไง ไม่ต้องรู้สึกกดดัน”
หานมู่จื่ออธิบายแบบนี้ คนขับรถดีใจจนแทบร้องไห้:“จริงเหรอครับ คุณนายน้อยไม่ระแวงสงสัยผมเหรอครับ”
“แน่นอน”
แต่เย่โม่เซินกลับอุ้มเสี่ยวโต้วหยาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หานมู่จื่อเดินไปยื่นมือมาบีบแก้มเสี่ยวโต้วหยา:“เด็กดี รออยู่ข้างนอกกับคุณพ่อก่อนนะคะ หม่ามี๊เข้าไปโรงพยาบาลเป็นเพื่อนป้าสะใภ้หนูก่อน เดี๋ยวออกมาหาหนูกับคุณพ่อนะคะ”
“เอิ๊กๆๆ……”ส่งเสียงตอบรับเธอ เป็นเสียงหัวเราะของเด็กน้อยไร้เดียงสาอย่างเสี่ยวโต้วหยา
เห็นชัดว่าเย่โม่เซินไม่พอใจ เหล่มองมาทางเสี่ยวเหยียน เสี่ยวเหยียนรีบหลบสายตา ยืดหลังตรง
เธอไม่ได้แย่งคนของเขาไปเสียหน่อย ก็แค่ให้เธอไปโรงพยาบาลเป็นเพื่อนเท่านั้นเอง มีอะไรกันหนักกันหนา
ฮึ เธอก็ไม่กลัว!
หลังจากที่หานมู่จื่อและเสี่ยวเหยียนเดินจากไปด้วยกันแล้ว เดินมาไกลพอสมควรแล้ว มองไม่เห็นสายตาคมกริบทางด้านหลังแล้ว
เสี่ยวเหยียนกุมใบหน้า ทำท่าทางตกใจ:“ฉันตกใจแทบแย่ ทำไมตอนนี้คุณชายเย่เหมือนเด็กแบบนี้ ตามติดแกทุกวัน แกมาโรงพยาบาลก็ตามมาด้วย”
ถูกเสี่ยวเหยียนถามแบบนี้ หานมู่จื่อก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร :“ฉันก็ไม่รู้ทำไม นับตั้งแต่ที่เขาฟื้นฟูความทรงจำ ก็เปลี่ยนเป็นตัวติดกัน ดูเหมือนว่ากลัวว่าฉันจะหายสาบสูญไปอย่างนั้น”
แต่ว่าตอนนั้นคนที่หายสาบสูญไปคือเขาชัดๆ ถ้าต้องเป็นห่วง น่าจะเป็นตนเองที่เป็นห่วงถึงจะถูก
กลับกลายเป็นว่าเขากลายมาเป็นคนที่คอยติดตามเธอได้ ตอนนี้นอกจากเลี้ยงเสี่ยวโต้วหยาแล้วก็ต้องอยู่เป็นเพื่อนเขาด้วย
ถ้าไม่เคยเห็นความสามารถในการทำงานการจัดการต่างของเขาในอดีตมาก่อน หานมู่จื่อก็คงคิดว่าเย่โม่เซินอยากจะเป็นผู้ชายไร้ประโยชน์และเกาะผู้หญิงกิน
แต่ว่าหานมู่จื่อกลับไม่ถือสาอะไร หากเย่โม่เซินอยากจะเป็นผู้ชายที่เกาะผู้หญิงกิน เพราะไม่ใช่ว่าเธอจะเลี้ยงเขาไม่ไหว
แม้ว่าเงินที่เธอหาได้เมื่อเทียบกับกำไรของบริษัทตระกูลเย่แล้วจะเท่าขี้เล็บ แต่ก็เลี้ยงดูเขา และลูกทั้งสองคนได้ ยังถือว่าไม่ได้เกินความสามารถ
ย้อนกลับไปคิดดูหานมู่จื่อก็รู้สึกใจหาย
คิดถึงตอนแรก ตอนที่เธออยู่กับหลินเจียง กลับอยากจะใช้ชีวิตเรียบง่าย ต่อมาชีวิตกลับพลิกผัน
เรื่องราวบนโลกนี่มันไม่เที่ยงจริงๆ
“ใช่แล้ว จู่ๆแกเรียกให้ฉันมาโรงพยาบาลเป็นเพื่อน เป็นอะไรเหรอ”
หานมู่จื่อดึงสติตัวเองกลับมา จากนั้นก็เอ่ยถามเสี่ยวเหยียน
พอถูกเธอถาม ใบหน้าขาวผ่องของเสี่ยวเหยียนก็แดงเรื่อขึ้นมาทันที“คือว่า……ฉันจะบอกเรื่องหนึ่ง แต่ว่าแกต้องรับปากฉัน ว่าจะไม่บอกคนอื่น”
“เรื่องอะไร แกบอกมา”
“แกรับปากฉันก่อน ว่าจะไม่บอกใคร มีแค่เราสองคนที่รู้”
เสี่ยวเหยียนจริงจังถึงขนาดหยุดฝีเท้าลง จ้องมองเธออย่างเอาเรื่อง“แกรับปากฉันสิ”
หานมู่จื่อ:“……”
“นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย ทำไมถึงต้องเป็นความลับขนาดนั้น ยังไม่ให้คนอื่นรู้อีก แล้วแกมาโรงพยาบาลทำไม”
“แกรับปากฉันก่อนสิ!มู่จื่อ พวกเรายังเป็นเพื่อนรักกันรึเปล่า!”เสี่ยวเหยียนร้อนรนแทบไม่ไหวแล้ว เสี่ยวเหยียนเขย่ามือหานมู่จื่อ“รีบรับปากฉันสิ”
“ได้ๆๆ ฉันรับปากแกก็ได้!”หานมู่จื่อถูกเขย่าจนเวียนหัว จึงได้แต่รับปาก
เสี่ยวเหยียนจึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นก็มองไปรอบๆ แน่ใจว่าเย่โม่เซินไม่ได้อุ้มเสี่ยวโต้วหยาตามขึ้นมา จึงกระซิบเบาๆข้างหูหานมู่จื่อ
ตอนแรกหานมู่จื่อได้ยินไม่ชัดว่าเธอพูดว่าอะไร หลังจากที่เธอถอยออกมาก็มีสีหน้าอับจนปัญญา:“ทำไมแกต้องทำท่ามีลับลมคมในแบบนี้ด้วย แล้วที่แกพูดเมื่อกี้เสียงเบาเกินไป คนในโรงพยาบาลเดินกันให้ขวักไขว่ขนาดนี้ ฉันจะได้ยินชัดได้ยังไง”
“อะไรนะ แกได้ยินไม่ชัดเหรอ”สีหน้าของเสี่ยวเหยียนก็เปลี่ยนเป็นสับสนขึ้นมาทันที เธออุตส่าห์ยอมพูดออกมา:“ฉันท้อง ฉันตั้งท้องลูกของฉันแล้ว……”
หานมู่จื่อ:“???”
อะไรนะ!
เธอยังตั้งตัวไม่ทัน รอจนตั้งสติได้ หานมู่จื่อก็ทำตาโดยไม่รู้ตัวถามว่า:“ท้องแล้ว!”
เสี่ยวเหยียนรีบอุดปากเธอไว้:“ชู่!อย่าเสียงดังเอะอะ ตอนนี้ฉันก็ยังไม่แน่ใจ แค่สงสัย!ดังนั้นก็เลยมาตรวจที่โรงพยาบาล!”
หานมู่จื่อกระพริบตาปริบๆ เสี่ยวเหยียนปล่อยมือออก“ฉันแอบตรวจด้วยตัวเอง แต่ว่าฉันไม่รู้ว่าตรงหรือเปล่า ดังนั้น……”
“ดังนั้นแกก็เลยไม่กล้ามาตรวจโรงพยาบาลคนเดียว แล้วแกก็ไม่กล้าบอกข่าวนี้กับพี่ชายฉัน ถ้าไม่ใช่เพราะอัดอั้นอยู่ภายในใจจนตัวเองรู้สึกแย่ แกก็ไม่เรียกฉันมาหรอก ถูกมั้ย”
หานมู่จื่อรู้จักเสี่ยวเหยียนดี พอเธอพูดเรื่องนี้ออกมา เธอก็เอาความในใจและความคิดทั้งหมดของเสี่ยวเหยียนออกมาจนทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว
“ที่แกพูดมาถูกทุกอย่าง ความจริงแล้วฉันใช่ว่าไม่อยากบอกแก ฉันก็แค่กลัวว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องเข้าใจผิด”
พูดยังไม่ทันจบ หานมู่จื่อก็กุมมือของเธอเอาไว้ ความอบอุ่นในฝ่ามือจากบนผิวที่ได้สัมผัสกันส่งมาไม่หยุด
“เธอกำลังคิดฟุ้งซ่านอะไรอยู่ ตามปกติแล้ว ที่ตรวจการตั้งครรภ์นั้นแม่นยำมาก โดยเฉพาะเวลาตรวจตอนเช้า และต่อให้เป็นเรื่องเข้าใจผิดแล้วยังไง ในเมื่อจะช้าจะเร็วแกกับพี่ชายฉันก็ต้องแต่งงานกันอยู่ดี เรื่องตั้งท้องแบบนี้จะช้าจะเร็วก็ต้องเกิด แกจะกังวลอะไร”
ได้ยินอย่างนั้น เสี่ยวเหยียนหน้าแดงก่ำ:“ใคร ใครจะรู้ล่ะ”