บทที่ 1322 ให้คำตอบอะไรไม่ได้
เขาเติบโตมาพร้อมกับสวี่เย็นหวั่น
จึงเข้าใจความคิดอ่านของสวี่เย็นหวั่นได้อย่างดี บนโลกนี้นอกจากพ่อและแม่ของของเธอแล้ว เขาคงเป็นคนที่เข้าใจเธอมากที่สุด
เพราะหลินสวี่เจิ้งเป็นคนรักสังเกต
สวี่เย็นหวั่นเป็นคนเก็บอารมณ์ของตัวเองได้เก่งมาก ถ้าไม่ได้โตมาด้วยกัน สวี่เย็นหวั่นคงเดาใจเธอไม่ออกแน่นอน
“นี่คุณหมายความว่ายังไง?” สวี่เย็นหวั่นมองเขาด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ รอยยิ้มอันเยือกเย็นค่อยๆปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของเธอ
ในที่สุดสีหน้าของหลินสวี่เจิ้งก็จริงจังขึ้นมาทันที พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง: “ไม่ใช่ว่าคุณเพิ่งจะเข้าไปทำงานที่บริษัทตระกูลหาน คุณทำงานที่นั่นมาสักพักแล้ว ผมคิดว่าคุณคงรู้แล้วว่าตอนนี้หานชิงมีแฟนแล้ว ”
“แล้วยังไงล่ะ?” สวี่เย็นหวั่นย้อนถาม
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลินสวี่เจิ้งเลิกคิ้วขึ้น แล้วยังไงล่ะ?
“คุณชอบเขาไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่สิ อยู่ต่อหน้าคุณ ฉันจะไม่เสแสร้งอีกต่อไปแล้ว แต่ฉันชอบเขา กับการที่เขามีแฟนแล้ว มันเกี่ยวข้องกันยังไง?”
หลินสวี่เจิ้ง: “….”
“ก็เป็นเพราะเขามีแฟนแล้ว ดังนั้นฉัน…แค่แอบชอบเขาก็ไม่ได้เลยเหรอ?” สวี่เย็นหวั่นจับหัวใจของตัวเองไว้ ค่อยๆพูดขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำ: “ฉันกับหานชิงโตมาด้วยกัน ฉันรู้จักเขามานานกี่ปี ฉันก็รักเขามานานเท่านั้น แม้กระทั่งที่ฉันไปต่างประเทศ แต่ความรู้สึกที่ฉันมีให้เขา ไม่เคยเลือนหายไปไหน ตอนนี้ เป็นเพราะเขามีแฟนแล้ว ฉันจึงต้องเลิกชอบเขาไปในทันที และห้ามอยู่ในบริษัทเดียวกับเขางั้นเหรอ?”
คำถามเหล่านี่ทำให้หลินสวี่เจิ้งพูดอะไรไม่ออกทันที แต่ไม่นานนักเขาก็หาทางตอบกลับได้ เขาเดินขึ้นมาเล็กน้อย ยกมือหนาใหญ่ของเขาวางไว้บนบ่าของสวี่เย็นหวั่นเบาๆ พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: “ตอนนี้เขามีคนที่ชอบอยู่แล้ว ทำไมคุณต้องมาลำบากแบบนี้ด้วย?”
“ฉันยอม” สวี่เย็นหวั่นสะบัดการแตะต้องตัวจากเขาออก จากนั้นเดินถอยหลังไป มองหลินสวี่เจิ้งด้วยสายตาอันเย็นชา: “ฉันชอบเขา นั่นถือเป็นเรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้น แม้ว่าเราจะโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก คุณก็ไม่มีสิทธิ์อะไรมายุ่งเรื่องของฉัน”
หลินสวี่เจิ้ง: “หากว่าเขาไม่มีวันตอบอะไรคุณเลย คุณก็ถือว่าไม่เป็นอะไรงั้นเหรอ?”
“ใช่!”
หลินสวี่เจิ้งขยับปาก เหมือนอยากจะพูดบางอย่าง สวี่เย็นหวั่นเห็นเช่นนั้น จึงรีบพูดแทรกขึ้น: “พี่หลินไม่ต้องพูดกับฉันแล้ว เรื่องความรักกับความรู้สึกเช่นนี้ เดิมทีก็ไม่ใช่เรื่องที่คนอื่นต้องมายุ่ง ฉันเชื่อว่าพี่เข้าใจฉันมากกว่า ถ้ามีคนพูดอะไรกับพี่ ให้พี่ไม่คิดถึงภรรยาที่จากไปแล้ว ให้พี่แต่งงานใหม่ พี่จะยอมไหม?”
คำพูดนี้พูดทิ่มแทงใจเขาเหลือเกิน
เพราะภรรยาของหลินสวี่เจิ้งที่จากไปคือชีวิตของเขา ไม่มีใครสามารถมาแทนที่ตรงนี้ได้ ถ้ามีคนบอกให้เขาแต่งงานใหม่ เขาคงไม่พอใจทันที
ตอนแรกยังมีคนพูดปลอบเขา ต่อมาก็ไม่มีใครอยู่ปลอบเขาอีกแล้ว
“ไม่มีอะไรจะพูดแล้วใช่ไหม? งั้นก็ดีแล้ว ต่อไปไม่ต้องมาพูดเรื่องพวกนี้กับฉันอีก คุณเองก็สบายใจได้ ฉันไม่มีทางทำอะไรหรอก”
เมื่อพูดถึงตอนสุดท้าย สวี่เย็นหวั่นยังยิ้มอย่างมีเลศนัยแสดงถึงความเยาะเย้ยอีกด้วย จากนั้นก็หันกลับออกไป
หลินสวี่เจิ้งยังคงยืนตกตะลึงอยู่ที่เดิม ผ่านไปสักพักใหญ่จึงตั้งสติขึ้นมาได้ จากนั้นก็นั่งลงกุมขมับด้วยความเหนื่อยใจ
ช่างปวดหัวอะไรขนาดนี้ สวี่เย็นหวั่นดื้อกว่าที่เขาคิดไว้เยอะจริงๆ
คิดไม่ถึงเลยว่าผ่านไปนานหลายปีขนาดแล้ว มีหลายอย่างที่เธอเปลี่ยนไป แต่สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยน คือความดื้อรั้น
ไม่มีทางทำอะไรหรอก?
ก็หวังว่าเธอจะไม่ทำอะไรจริงๆ
ไม่เช่นนั้น…เขาไม่อยากจะคิดถึงผลสุดท้ายที่หานชิงกับสวี่เย็นหวั่นต้องมองหน้ากันไม่ติดไปจนแก่ จากนั้นมิตรภาพระหว่างกันและกันที่เคยมีมา คงยากที่จะกลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง
เดิมทีวันนี้หลินสวี่เจิ้งคิดจะดึงให้สวี่เย็นหวั่นไปอยู่ที่บริษัทของตัวเอง มีเรื่องอะไรเขาในฐานะพี่ชายจะได้ดูแลเธอได้ เพราะเห็นเธอต้องทนลำบากในตอนนี้ เขาเองก็รู้สึกไม่สบายใจ
น่าเสียดายที่เธอช่างดื้อด้านเกินไป
หลังจากที่สวี่เย็นหวั่นออกไปจากร้านกาแฟ เมื่อถึงทางเลี้ยว เธอก็หยุดเดิน ยกมือขึ้นมาเกี่ยวผมไว้หลังหู จากนั้นใช้นิ้วค่อยๆซับน้ำตาที่ห่างตา และหยุดยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นจนถึงตอนนี้ สวี่เย็นหวั่นไม่เคยรู้สึกว่าโชคชะตาไม่มีความเป็นธรรม เพราะท้ายที่สุดสักวันหนึ่งครอบครัวสวี่ก็ต้องถูกทำลายโดยพ่อของเธอเอง และเธอยังโทษตัวเองที่ประมาทเกินไป ห้ามพ่อของตัวเองได้ไม่ทันเวลา
แต่ตอนนี้ล่ะ?
เธอทำอะไรผิด? เธอแค่ทำงานอยู่ในบริษัทเท่านั้น เธอยังไม่ได้ทำอะไรเลย
แต่หลินสวี่เจิ้งกลับเรียกเธอออกมา
เป็นเพื่อนเล่นที่โตขึ้นมาด้วยกันแท้ๆ แต่คำพูดของเขา กลับไม่แม้แต่คิดถึงจิตใจของตัวเองเลย
กระทั่งไม่มีการถามว่า ตอนนี้คุณสบายดีไหม?
อันที่จริงสวี่เย็นหวั่นไม่เคยคิดอยากได้ความสนใจจากหลินสวี่เจิ้ง แต่เธอก็ไม่อยากให้เขามาก้าวก่ายเรื่องของตัวเอง
เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นวันนี้ เขาทำได้แย่มาก
สวี่เย็นหวั่นหลับตาลง เมื่อรู้สึกว่าตัวเองใจเย็นขึ้นแล้ว จึงรีบออกไปจากที่นั่นทันที
ไม่นานนักสวี่เย็นหวั่นก็กลับมาถึงบริษัท
เมื่อครู่เธอลาครึ่งวันเพื่อออกไปข้างนอก แต่สุดท้ายตอนกลับไป หัวหน้ายังถามด้วยความประหลาดใจ “เย็นหวั่น? เธอลาครึ่งวันไม่ใช่เหรอ? ทำไมกลับมาแล้วล่ะ?”
สวี่เย็นหวั่นยิ้ม และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน: “พี่เหวินเหวิน ฉันจัดการเรื่องเสร็จแล้ว ก็เลยกลับมาก่อนค่ะ”
“แบบนี้นี่เอง” เจี่ยงเหวินเหวินมองเธอด้วยสายตาชื่นชม: “ดีจริงๆเลย จิตใจจดจ่อกับงาน แบบนี้ดีมากเลย แต่ตาของเธอดูแดงๆนะ คงไม่ได้เป็นเพราะร้องไห้มาใช่ไหม?”
เมื่อพูดจบ เจี่ยงเหวินเหวินยังเดินเข้าไปประชิดหน้าสวี่เย็นหวั่น จ้องมองด้วยความตั้งใจ
การเดินเข้าไปประชิดในระยะอันใกล้คงทำให้สวี่เย็นหวั่นตกใจตะลึง แต่ไม่นานก็ตั้งสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว ส่ายหน้าพลางยิ้มขึ้น: “เปล่าค่ะ แค่เมื่อครู่ตอนเดินมา มีรถวิ่งผ่านทำให้ทรายพัดเข้าตาพอดี ฉันแสบตามาก ผลก็เลยเป็นแบบนี้ ดูน่าเกลียดมากเลยใช่ไหมคะพี่เหวินเหวิน ฉันเข้าไปล้างที่ห้องน้ำแล้วค่อยออกมานะคะ”
“ไม่ๆๆ ไม่น่าเกลียดสักหน่อย! เธอสวยขนาดนี้ ตาแดงๆ ใครเห็นก็เอ็นดู จะน่าเกลียดได้ยังไงล่ะ?” เจี่ยงเหวินเหวินตบไหล่เธอเบาๆ “สาวน้อยแบบเธอเนี่ยนะ ความสามารถในการทำงานเก่งกาจ แต่หัวดื้อเหลือเกิน มีเรื่องอะไรไม่สบายใจก็พูดออกมาได้นะ พี่เหวินเหวินอายุมากขนาดนี้แล้ว เรื่องที่เธอยังไม่เคยเจอพี่เหวินเหวินเจอมาหมดแล้ว สามารถช่วยเธอแก้ปัญหาได้นะ”
“ขอบคุณพี่เหวินเหวินนะคะที่เป็นห่วง พี่เหวินเหวินใจดีจังเลยค่ะ”
“แม่สาวน้อย ไปล้างหน้าตาล้างตาที่ห้องน้ำก่อนดีกว่า” เจี่ยงเหวินเหวินผลักไหล่ของเธอ จากนั้นสวี่เย็นหวั่นก็เดินออกไป
เธอเพิ่งเดินออกไป เจี่ยงเหวินเหวินก็เห็นเงาของใครบางคนแอบซุ่มอยู่ที่ประตู เมื่อเห็นเธอมองไป กลับเขาไปหลบอยู่ด้านหลัง
เจี่ยงเหวินเหวินหรี่สายตาลง จากนั้นเดินออกไป
“พนักงานต้อนรับ?”
พนักงานต้อนรับที่ถูกจับได้: “…”
“เธอไม่อยู่เฝ้าหน้าเคาน์เตอร์ มาทำอะไรตรงนี้ล่ะ?” เจี่ยงเหวินเหวินถามด้วยความเหนื่อยใจ
พนักงานต้อนรับมองดูทางที่สวี่เย็นหวั่นเดินออกไปเมื่อครู่ จากนั้นถามขึ้น: “พี่เหวินเหวิน สวี่เย็นหวั่นทำงานเป็นลูกน้องของคุณเหรอ?”
“ใช่สิ ผู้หญิงคนนี้ทำงานขยันขันแข็ง และยังฉลาดมากอีกด้วย ฉันตั้งใจจะฝึกฝนเธอ ต่อไปก็จะเป็นผู้ช่วยมือขวาของฉัน”