บทที่135 เขากำลังเอาคืนเธอ
“ยังไง?” สายตาของเย่โม่เซินลึกเหมือนกับน้ำหมึกสีดำ ความเย็นชาในดวงตาของเขามันเข้มลึกจนแยกออกไม่ได้ ตอนที่พูดกับเธอ บรรยากาศเย็นๆรอบตัวเขาก็พวยพุ่งออกมา
เสิ่นเฉียวก็แค่ยืนอยู่ตรงนั้น มือข้างนึงถือผ้าห่มเอาไว้แล้วจ้องตาเขา
นัยน์ตาที่นิ่งสงบเหมือนกับผืนน้ำนิ่งคู่นั้น ค่อยๆเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวเหมือนน้ำแข็ง ครู่ใหญ่เสิ่นเฉียวก็วางผ้าห่มในมือกลับไปที่เดิม พูดขึ้นเสียงต่ำ “ไม่มีอะไร แค่คุณอารมณ์ดีก็พอแล้ว”
พูดจบ เธอก็หมุนตัวกลับไปยังเตียงของตัวเอง
คิดไปคิดมา ก็ลุกขึ้นแล้วก็ออกไปข้างนอก
เย่โม่เซินโมโหเธอจนเส้นเลือดที่อยู่ตรงขมับเต้นตุบๆ
ตอนที่เสิ่นเฉียวไปหาคนใช้สาวเพื่อที่จะขอผ้าห่ม คนใช้สาวก็ทำหน้าลำบากใจ “ขอโทษด้วยค่ะคุณนายน้อยสอง ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่ได้เตรียมผ้าห่มไว้ให้คุณนายน้อยสอง แต่ว่าวันนี้ผ้าห่มทุกผืนโดนเอาไปซักหมด ตอนนี้ยังเปียกอยู่เลยค่ะ ตอนนี้พวกเราเลยไม่มีให้สักผืนเลยค่ะ”
ฟังจบ เสิ่นเฉียวก็ขมวดคิ้วเรียว “ไม่มีเลยสักผืนเหรอคะ?”
คนใช้สาวหน้าซีด แล้วส่ายหน้าไปมา
“จริงเหรอคะ?” เสิ่นเฉียวไม่เชื่อ เธอเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย
คนใช้สาวตกใจกลัวจนโค้งตัวขอโทษ “ขอโทษค่ะคุณนายน้อยสอง นี่เป็นคำสั่งของคุณชายสองค่ะ คุณนายน้อยสองกรุณาอย่าทำให้พวกเราลำบากใจเลยนะคะ”
เสิ่นเฉียวแสดงสีหน้าเหมือนรู้อยู่ตั้งแต่แรกแล้วออกมา เธอยักไหล่ขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ “ค่ะ ถ้าเป็นแบบนี้ ฉันก็จะไม่บังคับอะไรอีก”
พูดจบก็หมุนตัวจากไป พวกคนใช้สาวก็เริ่มจับกลุ่มคุยกัน
“คุณนายน้อยสองกับคุณชายสองมีอะไรกันน่ะ? ไม่กี่วันก่อนยังดีๆกันอยู่เลยไม่ใช่เหรอ? ทำไมวันนี้ก็ทะเลาะกันจนต้องแยกเตียงกันนอนอีกแล้วล่ะ?”
“คู่ที่เพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆก็แบบนี้แหละ ต้องทะเลาะกันบ้างความสัมพันธ์ถึงจะได้แน่นแฟ้นขึ้น” คนที่มีอายุหน่อยพูดขึ้น
“จริงเหรอ? ฉันรู้สึกว่าทะเลาะกันครั้งนี้ก็แรงอยู่เหมือนกันนะ คุณชายสองไม่แม้แต่จะให้ผ้าห่มกับคุณนายน้อยสองด้วยซ้ำ อย่างนี้กลางคืนเวลาคุณนายน้อยสองหลับไม่ใช่ว่าจะต้องนอนทนหนาวหรือไง?”
“แม่เด็กโง่เอ๊ย อายุน้อยเกินก็เลยไม่เข้าใจอะไรเลยใช่ไหมล่ะ คุณชายสองก็กำลังกดดันให้คุณนายน้อยสองเป็นคนขอไปนอนด้วยก่อนไงล่ะ ที่คุณชายสองน่ะ มีผ้าห่มอยู่ไม่ใช่หรือไง?”
“อ้อ อย่างนี้นี่เอง….. คุณชายสอง….เจ้าแผนการจริงๆ!”
แต่ว่าเสิ่นเฉียวกลับไม่ได้ยินคำพูดพวกนี้เลยแม้แต่น้อย พอเธอกลับไปถึงห้อง ก็เห็นเย่โม่เซินใช้สายตาเย็นชามองมาที่เธอ เธอก็รู้สึกโมโหขึ้นมาในทันที
“คุณรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่ายังไงฉันก็ต้องกลับมามือเปล่า?”
เย่โม่เซินเม้มริมฝีปากเรียวบาง ไม่ได้พูดอะไร
“เย่โม่เซิน คุณเก็บผ้าห่มกลับไป อย่างนั้นก็ช่างมันเถอะ แต่ทำไมคุณต้องสั่งพวกเขาว่าห้ามให้ผ้าห่มกับฉันด้วย?”
เขาเหลือบมองเธอด้วยสายตาเย็นชา ส่งเสียงหึในลำคอ แล้วก็หลบตากลับไปไม่สนใจเธออีก
เสิ่นเฉียวโมโหจนแทบบ้า แต่กลับทำอะไรเขาไม่ได้
ภายในบ้านตระกูลเย่หลังนี้ ทุกๆคนฟังคำสั่งของเขา ไม่มีทางจะฟังเธอแน่ และต่อให้เขาต้องการให้เธอตาย เธอเองก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธ
“ได้ ไม่ให้ก็ไม่ให้”
อย่างน้อยคืนนี้ตอนนอนเธอก็แค่ใช้ผ้าปูที่ม้วนๆขึ้นมาห่มแทนไปก่อน รอพรุ่งนี้เลิกงานเธอค่อยไปซื้ออันใหม่มาใช้ก็สิ้นเรื่อง
อย่างน้อยผืนใหม่ก็ได้ใช้แค่ไม่กี่ผืนอยู่แล้ว เสิ่นเฉียวมีปัญญาซื้อ ไม่จำเป็นต้องขอร้องคนอื่น
กลางคืนอันหนาวเหน็บ
วันเวลาหมุนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตอนนี้ก็เริ่มเข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว
เสิ่นเฉียวนอนอยู่บนผ้าที่เธอปูไว้รองนอน แล้วพับเอาอีกครึ่งนึงมาห่ม แถมเธอยังสวมชุดนอนที่หนาขึ้นด้วย นอนแบบนี้ที่จริงก็ไม่ได้ต่างอะไรกันมาก คงไม่รู้สึกว่าหนาวมาก
ก็แค่จะนอนฉีกแข้งฉีกขาไม่ได้ก็เท่านั้น
ช่วงแรกๆเสิ่นเฉียวรู้สึกว่าอย่างนี้มันลำบากอยู่เล็กน้อย ยืดแขนยืดขาไม่ได้ แต่ว่าพอผ่านไปสักพักก็ไม่ได้รู้สึกว่าลำบากขนาดนั้นแล้ว เธอหลับตาลง ไม่นานก็ผล็อยหลับไป
แต่เสิ่นเฉียวไม่รู้เลยว่าตอนที่เธอกลับไปแล้ว มีเงาร่างสูงใหญ่เงาหนึ่ง พอมั่นใจว่าเธอหลับไปแล้วจริงๆ คนๆนั้นก็ยิ้มเยาะเธอ
“เป็นผู้หญิงที่โง่จริงๆเลย ยอมที่จะนอนขดตัวแต่กลับไม่ยอมที่ก้มหัวให้ฉันเลยสักครั้ง?”
*
ถึงแม้จะเป็นคืนที่หลับฝันดี แต่ว่าเช้าวันถัดไปที่เสิ่นเฉียวตื่นมาก็รู้สึกได้ว่าหลังแล้วก็เอวของเธอนั้นปวดไปหมด ราวกับว่ากระดูกทั้งตัวของเธอนั้นแข็งไปหมดแล้ว แขนขาก็รู้สึกว่ายืดออกไม่ได้ เธอนอนขดตัวอยู่ทั้งคืน เลยทำได้แค่ลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายบ้าง
แต่กลับเจอเข้ากับดวงตาสีดำโดยบังเอิญ เสิ่นเฉียวรีบหดแขนตัวเองกลับมาทันที เสร็จแล้วก็รีบลุกไปเข้าห้องน้ำ
พอกลับมาอีกครั้ง ก็พบว่าเย่โม่เซินไม่ได้อยู่ในห้องแล้ว
เสิ่นเฉียวหยิบปฏิทินอันเล็กในกระเป๋าออกมาดู เธอเพิ่งรู้ตัวว่าตอนนี้เธอมาอยู่ในบ้านตระกูลเย่ใกล้จะครบเดือนนึงแล้ว
ตามเวลาที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เด็กน้อยในท้องเธอก็มีอายุได้สองเดือนแล้ว ระยะห่างจากเวลาที่พวกเธอกำหนดกันเอาไว้ ยังเหลืออีกห้าเดือน
แค่รอจนเวลาผ่านไปก็จบแล้ว เสิ่นเฉียวบอกกับตัวเองในใจ
เสิ่นเฉียวเพิ่งจะเริ่มทำงาน ก็ได้รับเรื่องว่าวันนี้จะต้องคุยเรื่องสัญญากับบริษัทตระกูลหาน อีกฝ่ายจะเป็นคนมาที่บริษัทด้วยตัวเอง
เสิ่นเฉียวคิดว่าตัวเองก็เป็นหนึ่งในผู้รับผิดชอบงานชิ้นนี้เหมือนกัน เธอลุกขึ้นมาเตรียมเอกสารมากมายตั้งแต่เช้า ดูว่าเอกสารแผ่นไหนอีกแป๊บหนึ่งจะได้ใช้บ้าง
รอจนถึงตอนที่เธอได้ยินว่าอีกฝ่ายมาถึงชั้นล่างแล้ว เสิ่นเฉียวหยิบเอกสารเตรียมจะลุกขึ้น เย่โม่เซินกับเซียวซู่ก็ออกมาจากห้องทำงานเหมือนกัน เสิ่นเฉียวคิดว่ายังไงเสียก็ต้องทำงานด้วยกัน ก็เลยตัดสินใจรอเขา
แต่ใครจะคิดว่าตอนที่ทั้งคู่เดินมาอยู่ตรงหน้าเธอแล้วก็จะหยุดเดิน แล้วเซียวซู่ก็เดินมาอยู่ด้านหน้าเสิ่นเฉียว
“ผู้ช่วยเสิ่น ให้ผมเถอะครับ”
ฟังเขาจบ เสิ่นเฉียวก็ยังคงไม่เข้าใจ “อะไรหรือคะ?”
เซียวซู่พูดขึ้นอย่างอายๆ “เอกสารของงานในครั้งนี้ไงครับ คุณเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วใช่ไหม?”
เสิ่นเฉียวพยักหน้า “ค่ะ เตรียมไว้เรียบร้อยหมดแล้วค่ะ มีเท่านี้…..”เธอส่งเอกสารให้กับเขา ใบหน้าประดับไว้ด้วยรอยยิ้ม “เดี๋ยวอีกแป๊บหนึ่งฉันจะไปอธิบายให้ท่านประธานหานฟัง การร่วมมือกันในครั้งนี้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรค่ะ”
“ไม่ต้องหรอกครับ” เซียวซู่กระแอมขึ้นเล็กน้อย พูดขึ้นเสียงเบา “การประชุมครั้งนี้ คุณไม่ต้องไปเข้าร่วมหรอกครับ”
ได้ยินแบบนั้น เสิ่นเฉียวก็ตกใจจนหน้าเสีย เธอยืนนิ่งอยู่กับที่
“ไม่ต้องไปแล้ว?”
ทำไมล่ะ? เอกสารพวกนี้เธอตั้งใจเตรียมอยู่ตั้งนานกว่าจะทำออกมาได้ อีกอย่างงานนี้ก็ไม่ใช่ว่าเย่โม่เซินยกให้เธอทำหรือยังไง? ตอนนี้ก็คิดจะเอาคืนกลับไปอย่างนั้นเหรอ?
เซียวซู่เม้มปากเล็กน้อย ไม่ได้อธิบายอะไรให้เสิ่นเฉียวฟัง ก็แค่เบนสายตามองไปยังเย่โม่เซิน
ดังนั้นเสิ่นเฉียวก็เลยเข้าใจว่า เรื่องๆนี้เย่โม่เซินเป็นคนสั่งมา เธอก้าวไปข้างหน้าแล้วถามขึ้น “ทำไมคะ? ทำไมฉันถึงจะไปห้องประชุมไม่ได้?”
เย่โม่เซินลืมตาอย่างเกียจคร้าน ดวงตาสีเข้มคู่นั้นเต็มไปด้วยความไม่ไยดี เขาเย้ยขึ้น “คุณมีฐานะอะไร? ถึงได้คิดอยากจะเข้าร่วมประชุม? ทำไม?คิดถึงวันเก่าๆที่ต้องเสิร์ฟชารินน้ำอย่างงั้นเหรอ?”
“……..” พูดถึงช่วงที่เธอยังเสิร์ฟน้ำชารินน้ำ สีหน้าของเสิ่นเฉียวก็เปลี่ยนเป็นขาวซีดในทันที
ตอนนั้นเธอเพิ่งจะถึงบ้านตระกูลเย่ เธอโดนบังคับให้มาเป็นผู้ช่วยของเย่โม่เซิน แล้วเขาก็แกล้งทำให้เธออับอาย ด้วยการสั่งให้เธอมาช่วยเสิร์ฟน้ำชาแล้วก็รินน้ำให้เขา
อยากจะให้เธอรู้ตัวแล้วก็ถอนใจงั้นหรือ
“ถ้าเกิดคุณคิดถึงมาก ผมเองก็ใจกว้างพอจะให้โอกาสคุณอีกครั้ง”
เสิ่นเฉียวกำหมัดแน่น
ถ้าเกิดเธอมีศักดิ์ศรี เธอก็ไม่ควรจะไป
แต่ว่า เอกสารของงานๆนี้เธออุตส่าห์ตั้งใจเตรียมเอาไว้ด้วยความยากลำบาก มีสิทธิ์อะไรที่เธอจะต้องมานั่งรออยู่ด้านนอก? ให้ทำแบบนี้ ไม่สู้เข้าไปเสิร์ฟน้ำชา รินน้ำเสียยังดีกว่า อย่างนี้ก็ยังได้ยินสิ่งที่พวกเขาคุยกัน ถึงตอนนั้นเธออาจจะมีโอกาสได้พูดอะไรบ้าง
คิดได้อย่างนี้ เสิ่นฉียวก็เลื่อนสายตามาปะทะเข้ากับเย่โม่เซิน
“ไม่มีปัญหาค่ะ อย่างนั้นฉันขอโอกาสในการเสิร์ฟน้ำกับน้ำชาจากคุณชายเย่อีกครั้งด้วยค่ะ”
เย่โม่เซินยิ้มเย็น “จำไว้ว่า ในห้องประชุมเธอก็คือคนใบ้ เธอห้ามพูดอะไรออกมาทั้งนั้น”