บทที่ 1374 เกี่ยวกับที่นั่งข้างคนขับ
เธอยอมรับที่จะฟื้นฟูตระกูลสวี่แล้ว
หานชิงอาจไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าเธอจะคิดได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ อย่างไรก็ตามหนังตาก็กระตุกเล็กน้อย แล้วจึงรับโทรศัพท์
หลังจากนั้นสวี่เย็นหวั่นก็เห็นหานชิงราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน เสียงแม้จะบอกไม่ได้ว่าอ่อนโยนขนาดไหน แต่ในน้ำเสียงนั้นมีความเอ็นดูและอดทนอย่างเข้มข้น
เขาที่เป็นคนนิ่งสุขุมนุ่มลึก ก็เหมือนจะเปลี่ยนเป็นหนุ่มน้อย พบกับสาวคนที่ตนเองชอบ ก็จะมีมุมทั้งหน้ายิ้มหน้าโกรธและก็มีความอ่อนโยน
“อืม เลิกงานแล้ว อีกเดี๋ยวไป”
“ครับ”
หลังจากวางสาย หานชิงก็เก็บโทรศัพท์ หยิบกุญแจรถของตัวเองลุกขึ้นยืน:“ในเมื่อคุณพิจารณาดีแล้ว อย่างนั้นช่วงนี้ผมจะให้คนเริ่มเตรียมตัวเอาไว้ บริษัทตระกูลสวี่เมื่อก่อนคุณเข้าใจดีที่สุด รีบเขียนแผนนโยบายให้ผมหนึ่งชุดโดยเร็วที่สุด”
สวี่เย็นหวั่นสะกดกลั้นความน้อยใจภายในใจทั้งหมดเอาไว้ พยักหน้า และลุกขึ้นยืนกับเขาอีกครั้ง “ได้สิ ฉันจะเขียนแผนงาน แล้วรีบเอาไปให้คุณโดยเร็วที่สุด”
หานชิงพยักหน้าอย่างเรียบเฉย เตรียมตัวจากไป
“หานชิง” สวี่เย็นหวั่นเรียกเขาไว้ รอจนเขาหันกลับมาเธอค่อยๆยิ้มที่มุมปากให้เขา อธิบายว่า:“เกี่ยวกับเรื่องว่าที่ภรรยาฉันคิดว่าฉันยังต้องอธิบายให้คุณฟังนิดหน่อยว่า ตอนแรกฉันถูกผู้ใหญ่กรอกหูมา บวกกับตัวฉันเองก็ชอบคุณ ดังนั้นหลายปีมานี้ฉันคิดมาตลอดว่าต่อไปพวกเราจะได้อยู่ด้วยกัน ดังนั้นครั้งแรกที่ฉันมาที่นี่ ตอนนั้นเจ้าหน้าที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ไม่ยอมให้ฉันขึ้นไป ตอนนั้นฉันก็บอกว่าตนเองเป็นเพื่อนของคุณ ไม่ได้บอกว่าเป็นว่าที่ภรรยาคุณ ต่อมาเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์อาจจะคิดว่านี่มันเป็นไปไม่ได้ จึงถามบางอย่างที่มันละลาบละล้วงเกินไป ตอนนั้นฉันไม่รู้ว่าคุณมีแฟนแล้ว ในเมื่อสถานการณ์ตอนนั้นฉันหมดหนทางแล้วจริงๆจึงได้มาหาคุณ ฉันไม่ได้คิดอะไรมากจึงเผลอตอบไป คิดไม่ถึงว่าจะทำเกิดการเข้าใจผิดแบบนี้ ช่วยพูดขอโทษแฟนคุณแทนฉันก่อนนะ ฉันชอบคุณจริงๆ แต่ตอนนี้คุณก็บอกแล้วว่าพวกเราสองคนไม่ได้มีการหมั้นหมายกันมาก่อน อย่างนั้นมันก็ไม่ถือว่าเป็นจริงจัง ฉันควรที่จะตื่นได้แล้ว”
“ฟื้นฟูตระกูลสวี่ขึ้นมาใหม่จึงจะเป็นเรื่องที่ฉันควรจะทำตอนนี้ อย่างน้อยคุณก็ยังเห็นแก่พ่อของฉันช่วยเหลือฉัน ขอบคุณนะ”
หานชิงจ้องมองเธอ แววตาแฝงด้วยการประเมินสำรวจ ราวกับกำลังคาดเดาว่ามีความจริงอยู่มากน้อยแค่ไหนในคำพูดเธอ
สวี่เย็นหวั่นราวกับเดาออก เธอฝืนยิ้ม:“คุณไม่ต้องมองฉันแบบนี้ แน่นอนว่าในใจเสียใจมาก แต่ฉันคือสวี่เย็นหวั่น ถ้าคุณไม่ชอบฉัน ต่อให้ไม่มีเสี่ยวเหยียน ฉันก็ไม่บังคับคุณหรอก”
ข้อนี้คือความจริง หลายปีมานี้ เธอไม่เคยพูดอะไรเลย ได้แต่แอบชอบเขา
เขาไม่ได้พูดอะไรอีก ได้แต่พยักหน้าเรียบเฉย จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไป
“หานชิง” สวี่เย็นหวั่นเรียกเขาเอาไว้อีกครั้ง:“คุณเลิกงานจะกลับบ้านแล้วใช่มั้ย แวะส่งฉันด้วยได้มั้ย บ้านฉันอยู่ไม่ไกล น่าจะเป็นทางผ่านอยู่แล้ว”
หานชิงเม้มปาก ผ่านไปพักหนึ่งจึงตอบว่า:“ขึ้นรถ”
วันนี้เสี่ยวเหยียนไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตนิดหน่อย ดังนั้นจึงโทรหาหานชิงให้มารับตนเอง จากนั้นก็จะย้ายของไปที่คฤหาสน์ทางนั้น
หลังจากที่เธอโทรหาหานชิงแล้ว เพราะว่ายังพอมีเวลาอยู่ ดังนั้นจึงซื้อชานมสองแก้วจากร้านที่อยู่แถวนั้น นั่งบนเก้าอี้ข้างทางดื่มชานมพลางรอหานชิงไปพลาง
ชานมถูกเธอดื่มไปครึ่งแก้วแล้ว เธอก็มองแก้วชานมที่อยู่ข้างๆเก้าอี้ตัวเองอีก คิดไปคิดมาก็อดไม่ได้ หานชิงคงไม่ชอบของที่หวานเลี่ยนแบบนี้แน่นอน
แต่ตอนนี้เธอต้องอดทนหน่อย ให้เขาดื่มพร้อมกันตนเอง
ก็ไม่รู้ว่ารอนานแค่ไหน เสี่ยวเหยียนมองเห็นรถของหานชิงแล้ว
รอจนรถหยุดลง ประตูรถเปิดออก ตอนที่หานชิงมาช่วยเธอถือของก็รู้สึกว่าเธอซื้อของมาเยอะมาก จึงถามว่า:“ทำไมซื้อของเยอะแยะขนาดนี้”
เสี่ยวเหยียนส่งเสียงฮึ่มเบาๆ :“ใครใช้ให้ในตู้เย็นคุณว่างเปล่าไปหมดล่ะ ฉันไปอยู่สองวันเปิดตู้เย็นไม่มีผลไม้ และก็ไม่มีเครื่องดื่ม ดังนั้นฉันก็เลยซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มทั่วไปนิดหน่อย แล้วยังมีผักผลไม้สดด้วย”
พูดจบเสี่ยวเหยียนก็ชี้ไปที่ถุงข้างเท้าตัวเอง เหมือนเป็นการโอ้อวด
“ฉันใส่ใจคุณมากใช่มั้ยล่ะ”
เห็นเธอสะใจแบบนี้ หานชิงก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือมาขูดที่จมูกเธอ พร้อมเอ่ยถามด้วยเสียงเบาว่า:“ซื้อของมาที่คฤหาสน์เยอะแยะขนาดนี้ คุณคิดจะอยู่ที่นี่ยาวใช่มั้ย”
ได้ยินเขาพูด เสี่ยวเหยียนก็อึ้งไปทันที
ผลปรากฏว่าหานชิงเสริมขึ้นมาอีกประโยค:“นี่คือตอบตกลงขอแต่งงานแล้วเหรอ”
เสี่ยวเหยียนหูแดงอยู่พักหนึ่ง “ฉันยังไม่ได้คิดให้ดีเลย คุณจะรีบร้อนอะไร”
“ไม่ใช่บอกว่าอย่าให้ผมรอนานเหรอ นี่มันผ่านมากี่วันแล้ว ฮะ”
“โอ้ย รีบไปเถอะ รีบเอาของกลับไปบ้าน”
เสี่ยวเหยียนพูดจบก็เดินผ่านเขาไปที่ข้างรถ ในมือยังถือชานมอยู่สองแก้ว เธอไม่อยากถกเถียงปัญหานี้กับหานชิงต่อไป พอพูดถึงก็ทำคนเราหน้าแดงแล้ว!
ดังนั้นเสี่ยวเหยียนจึงเปิดประตูอยากจะรีบมุดเข้าไปที่เบาะข้างคนขับ
แต่ตอนที่เห็นคนที่นั่งบนเบาะข้างคนขับ เสี่ยวเหยียนก็อึ้งชะงักไปเลย
สวี่ สวี่เย็นหวั่นเหรอ
ทำไมเธอถึงอยู่ที่นี่
สายตาทั้งสองประสานกันกลางอากาศ สวี่เย็นหวั่นพยักหน้ายิ้มให้เธอ“เสี่ยวเหยียน”
มองไปยังเธอ เสี่ยวเหยียนยืนอึ้งอยู่กับที่ ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้อะไร
หานชิงเองก็คิดไม่ถึงว่าเธอจะไปเปิดประตูรถข้างคนขับเร็วขนาดนี้ จึงรีบก้าวมายืนตรงนั้นอธิบายว่า:“ตอนเลิกงานเธอบอกว่าให้ผมแวะมาส่งเธอ”
ได้ยินดังนั้น สีหน้าของสวี่เย็นหวั่นก็เปลี่ยนไปทันที คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดออกมาตรงๆอย่างนี้
อารมณ์ลิงโลดดีใจในแววตาเสี่ยวเหยียนก่อนหน้านี้ดับวูบลงไปทันที เธอมองสวี่เย็นหวั่นด้วยความนิ่งเงียบ กลับคิดไม่ถึงว่าเธอจะมองมาที่ตนเองแล้วพูดว่า:“เสี่ยวเหยียน คุณคงไม่ถือสานะคะที่ฉันนั่งตรงนี้”
เสี่ยวเหยียนเม้มปาก คิดถึงคืนนั้นตอนที่ตนเองหนีจากไป สวี่เย็นหวั่นส่งข้อความพวกนั้นในวีแชทมาให้เธอ
“คุณรู้แล้วใช่มั้ย คุณอย่าคิดมากนะคะ แม้ว่าฉันจะเคยหมั้นหมายกับเขา แต่ในเมื่อตอนนี้พวกคุณอยู่ด้วยกันแล้ว เขาก็จะรับผิดชอบคุณแน่”
ตอนนั้นที่เสี่ยวเหยียนเห็นประโยคนี้ ในใจรู้สึกไม่สบายมาก
แม้เธอจะรู้สึกว่าเป็นความตั้งใจของสวี่เย็นหวั่น จงใจพูดแบบนั้นให้เธอเข้าใจผิด
และยังตอนที่เธอยังไม่รู้เรื่องนี้คำพูดเหล่านั้นของสวี่เย็นหวั่น แม้ภายนอกจะดูเหมือนไม่มีอะไร แต่มักจะทำให้เธอไม่สบายใจ
ในเมื่อเธอไม่สบาย อย่างนั้นก็ต้องพูดออกมา
ก็เหมือนตอนนี้ เธอนั่งอยู่บนรถหานชิง และยังนั่งบนเบาะข้างคนขับด้วย
ดังนั้นตอนที่สวี่เย็นหวั่นถามเธอว่าถือสามั้ย เสี่ยวเหยียนจึงตอบไปโดยไม่ลังเลอย่างไม่ไว้หน้าว่า:“ถือสานิดหน่อย ถ้าคุณไม่ถือสา ก็ช่วยย้ายไปนั่งข้างหลังนะคะ”
ครั้งนี้ เป็นสวี่เย็นหวั่นอึ้งแทนบ้างแล้ว
คิดไม่ถึงจริงๆว่าเสี่ยวเหยียนจะไม่ไว้หน้าขนาดนี้
เห็นเธอนั่งไม่ขยับ เสี่ยวเหยียนคิดไปคิดมา พูดอีกว่า:“คุณชอบนั่งข้างคนขับเหรอคะ”
สวี่เย็นหวั่นตอบอย่างกระอักกระอ่วนว่า:“ก็ไม่เชิงค่ะ ก็แค่ตอนนั่งรถแล้วเวียนหัวง่าย ดังนั้นไม่ได้คิดอะไรมากก็เลยนั่งข้างคนขับ”
“อ้อ”เสี่ยวเหยียนยัดแก้วชานมใส่อ้อมอกของหานชิง จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา:“อย่างนั้นฉันจะเรียกรถให้คุณสักคันนะ ตอนนี้น่าจะมีรถว่างหลายคัน”
“คุณ คุณพูดว่าอะไรนะ”