บทที่ 1375 ความรู้สึกเอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้
เรียกรถให้เธอเหรอ
สีหน้าของสวี่เย็นหวั่นเปลี่ยนเป็นย่ำแย่ขึ้นมาทันทีในตอนนั้น เธอแอบกัดฟันกรอด จากนั้นก็ปลดเข็มขัดนิรภัยออก ออกมาจากในรถ
“ไม่ต้องเรียกรถแล้ว ถ้าคุณไม่ชอบที่ฉันนั่งตรงนี้ อย่างนั้นฉันลงจากรถก็ได้”
เห็นสิ่งที่เธอทำ เสี่ยวเหยียนก็เก็บโทรศัพท์ ริมฝีปากยกขึ้น:“อย่างนี้เหรอ งั้นก็ได้ ในเมื่อคุณเลือกเอง อย่างนั้นฉันก็เคารพการตัดสินใจของคุณนะ”
พูดจบ เธอก็ไม่แม้แต่จะหันกลับมามองมุดเข้าไปนั่งหลังรถ ไม่ได้นั่งตำแหน่งที่สวี่เย็นหวั่นนั่งเมื่อครู่
บรรยากาศน่าอึดอัดมาก
อย่างน้อยสวี่เย็นหวั่นก็รู้สึกแบบนี้ ดังนั้นเธอจึงมองไปยังหานชิงด้วยจิตใต้สำนึก ในใจคิดว่า แม้เขาจะไม่ชอบเธอ แต่อาจจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูลช่วยพูดอะไรแทนเธอบ้าง
แต่เธอก็ผิดหวัง เพราะสายตาที่หานชิงมองมาที่เธอไม่มีความสงสารเห็นใจเลยสักนิด ได้แต่เอ่ยเรียบๆว่า:“เหยียนเหยียนถูกผมตามใจจนเคยตัวแล้ว ที่นี่ไม่ไกลจากที่คุณบอก คุณนั่งรถไป แล้วไปเบิกค่ารถกับบริษัทนะ”
พูดจบ หานชิงที่กำลังหิ้วของอยู่ก็จากไปเลย
หลังจากที่รถไปแล้ว สวี่เย็นหวั่นยืนอยู่ที่เดิมคนเดียว
ตอนแรกเธอพยายามอดกลั้นอย่างสุดชีวิต แต่พอผ่านไปได้สักพัก น้ำตาก็ไหลพรั่งพรูออกมาจากขอบตา ไม่อาจสะกดกลั้นได้เลย
วินาทีนี้ความน้อยใจทั้งหมดดูเหมือนจะถูกปลดปล่อยออกมา
สวี่เย็นหวั่นนั่งยองๆ สั่นไปทั้งตัว
ส่วนอีกด้าน หลังจากที่เสี่ยวเหยียนนั่งเบาะหลัง ก็มองออกไปนอกหน้าต่างรถอย่างไม่พอใจ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรกับคนข้างหน้า
บรรยากาศในรถอึดอัดมาก
หานชิงมองใบหน้าบูดบึ้งของเธอผ่านกระจกมองหลัง ก็ไม่รู้ว่าทำไม กลับไม่รู้สึกโกรธอะไรเลยสักนิด ตรงข้ามกลับรู้สึกอารมณ์ดี
เพราะสาวน้อยหึงแล้ว
ความจริงสำหรับหานชิงแล้ว ที่นั่งตรงไหนก็เหมือนกัน เขาไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยขนาดนั้น
ยิ่งไม่รู้คำพูดที่พูดถึงกันในอินเทอร์เน็ตว่าที่นั่งข้างคนขับเป็นของแฟนเท่านั้น ก็แค่ที่นั่งเท่านั้น ใครจะนั่งก็นั่ง
ในเมื่อจะนั่งตรงไหน ก็ล้วนไม่อาจเปลี่ยนความคิดในใจของเขาได้
ก็แค่คิดไม่ถึงว่าหญิงสาวจะโกรธมากขนาดนี้ โกรธจนเป็นแบบนี้ ไม่พูดอะไรกับเขาเลยสักคำ
ฉวยจังหวะติดไฟแดง หานชิงหยุดรถพูดว่า:“ผมมีเรื่องจะพูดกับคุณ”
ได้ยินอย่างนั้น เสี่ยวเหยียนแววตาขยับ ไฟโกรธของเธอยังไม่ดับมอดลง ดังนั้นจึงปฏิเสธเขาทันที
“ฉันไม่อยากฟัง”
พอพูดออกไป เธอก็คิดถึงครั้งก่อนที่ทะเลาะกัน เขาบอกว่าจะอธิบายกับตนเอง ผลก็คือเธอไม่ยอมฟัง จนนำไปสู่ความเข้าใจผิดของทั้งสองคน
เมื่อก่อนเธอหัวดื้อขนาดนั้น เกือบจะทำลายความสัมพันธ์นี้ด้วยน้ำมือตัวเองแล้ว
คิดมาถึงตรงนี้ เสี่ยวเหยียนจึงกลับคำพูดว่า:“ตอนนี้ฉันยังไม่อยากฟังคำพูดของคุณชั่วคราว รอหลังจากนี้อีกสามนาทีคุณค่อยพูด!”
หานชิงกลั้นยิ้มเอาไว้ “ได้ งั้นเริ่มจับเวลาตอนนี้เลยนะ”
เสี่ยวเหยียนขี้เกียจจะไปจับเวลา สามนาทีเธอก็แค่พูดออกไปมั่วๆเท่านั้นเอง ไม่อย่างนั้นแบบนี้เธอก็เสียหน้าแย่นะสิ
โกรธคือโกรธจริงๆ แต่หลังจากผ่านเรื่องครั้งนั้นมา เสี่ยวเหยียนกลับรู้ว่าตนเองไม่อาจทำนิสัยดื้อรั้นเหมือนครั้งนั้นได้อีกแล้ว
อย่างน้อยเธอก็ควรรู้ถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่อง แล้วค่อยตัดสินใจ
คำพูดของหานชิงเมื่อครู่ก็ได้เปิดเผยออกมาแล้วว่า สวี่เย็นหวั่นเป็นคนขอนั่งที่เบาะข้างคนขับเอง และหานชิงก็เป็นผู้ชาย เมื่อก่อนทั้งสองเป็นเพื่อนกัน แน่นอนว่าไม่ค่อยกล้าที่จะปฏิเสธ
จุดนี้เธอก็ไม่อาจจะโทษเขาได้ และอาจเป็นเพราะเธอใจแคบเอง
ตอนนี้มองสวี่เย็นหวั่นแน่นอนว่าไม่ชอบมากๆ
เรื่องของความรู้สึกยอมไม่ได้ที่จะมีอะไรมาทำให้ระคายใจ ถ้าเธอและหานชิงไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไร แน่นอนว่าเธอเป็นเพื่อนกับหานชิงได้ แต่ถ้าเธอก็ชอบหานชิง อย่างนั้นความสัมพันธ์ของเขากับสวี่เย็นหวั่นก็ไม่อาจบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเหมือนเมื่อก่อนได้แล้ว
ในเมื่อเป็นแบบนี้ สู้ไม่ต้องเป็นเพื่อนกันเลยจะดีกว่า
ยิ่งไปกว่านั้นคำพูดเหล่านั้นที่เธอพูดกับตนเอง รวมทั้งข้อความนั้น ทำให้ใจเธอไม่มีความสุข
เธอก็ยิ่งจะมาบีบบังคับตนเองไม่ได้แล้ว
เวลาสามนาทีไม่นานก็ผ่านไป หานชิงดูเวลาชัดเจนแน่นอนแล้วจึงพูดกับเธอ
“สามนาทีหมดไปแล้ว ตอนนี้พูดได้แล้วใช่มั้ย”
เสี่ยวเหยียนส่งเสียงฮึ่มในลำคออย่างทะนงตน จากนั้นพูดว่า:“คุณจะพูดอะไร คุณก็พูดเถอะ”
“ความจริงแล้ววันนี้ผมเป็นคนนัดเธอออกไป”
ได้ยินเขาพูด เสี่ยวเหยียนเบิกตาโต“อะไรนะ”
“แต่ผมก็แค่เรียกเธอมาพูดให้เข้าใจชัดเจน ว่าผมกับเธอไม่เคยมีการหมั้นหมายกันมาก่อน”
ที่แท้ก็คุยกันเรื่องนี้ เสี่ยวเหยียนเม้มปาก คิดอะไรบางอย่างได้
“ถ้าหากคุณกับเธอไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันมาก่อน อย่างนั้นทำไมเธอถึง……”
“เป็นเธอที่เข้าใจผิดไปเอง เธอขอโทษแล้ว”
ขอโทษแล้วเหรอ
เสี่ยวเหยียนคิดไม่ถึงว่าผลลัพธ์จะเป็นแบบนี้ ก็รู้สึกผิดปกติ
ทำไมถึงปฏิเสธรวดเร็วขนาดนั้น เมื่อก่อนคนในบริษัทรู้เรื่องเยอะแยะขนาดนั้น ไม่มีทางที่เธอจะไม่เคยได้ยินคนซุบซิบนินทากันหรอก อย่างนั้นตอนนั้นทำไมเธอไม่ปฏิเสธ ตอนนี้ปฏิเสธทั้งยังขอโทษด้วย
และเธอยังนั่งที่นั่งข้างคนขับ แล้วถามคำถามพวกนั้นกับเธอ
การกระทำพวกนี้ทำให้เสี่ยวเหยียนรู้สึกว่า เหมือนเป็นการหยั่งเชิง
ใช่ ไม่ผิด
ก็คือหยั่งเชิง จากสายตาของเธอ เสี่ยวเหยียนไม่ได้รู้สึกว่าเธอขอโทษตนเองเลย ตรงกันข้าม ไม่เพียงไม่สำนึกผิด ยังดูเหมือนว่าจะรำคาญเธอด้วย
โกรธเธอเหรอ โกรธอะไรเธอ หานชิงบอกว่าเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าตัวเองมีการหมั้นหมายอยู่ ทั้งสองตระกูลก็ไม่ได้มีการแลกเปลี่ยนสิ่งของอะไร ยิ่งไม่เคยมีพิธีการอะไรด้วย
อย่างนั้นการหมั้นหมายครั้งนี้ก็ไม่ถือเอาเป็นเรื่องจริงจัง
เธอโกรธอะไรตัวเอง โกรธที่ตนเองแย่งคนที่เธอชอบไปเหรอ
คิดมาถึงตรงนี้ เสี่ยวเหยียนก็ถามโพล่งออกมา:“คุณคิดว่าเธอจะยอมปล่อยคุณแล้วจริงๆเหรอ ในเมื่อคุณกับเธอรู้จักกันมานาน ถ้าหากเธอชอบคุณแน่นอนว่าไม่ใช่ตอนนี้ แต่เดาว่าคงจะนานมาแล้ว”
เสี่ยวเหยียนเดาถูกต้องแล้ว
ทั้งสองเติบโตมาด้วยกัน ไม่ก็ไม่เคยชอบพอกันมาก่อน
ไม่ก็คือชอบมาตลอด จะมีที่ไหนกันตอนเด็กไม่ได้รู้สึกอะไร โตมาจู่ๆก็รู้สึกว่าใจเต้นโครมครามนี่
เธอถกปัญหาข้อนี้กับตัวเองอย่างจริงจัง หานชิงเองก็ไม่ได้ตอบมั่วซั่ว
เพราะตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจ ได้แต่เอ่ยเบาๆว่า:“ไม่ว่าเธอจะยอมปล่อยหรือไม่ ผลลัพธ์ก็เหมือนกัน”
ได้ยินอย่างนั้น เสี่ยวเหยียนก็ชะงัก จากนั้นก็ลบมันออกไปอย่างรวดเร็ว
ใช่สิ ไม่ว่าเธอจะยอมปล่อยอย่างจริงใจหรือไม่ก็ตาม ขอแค่หานชิงชอบตนเองอยู่อย่างนี้ไปตลอดก็พอแล้วนี่ ทำไมเธอต้องไปสนใจคนอื่นด้วย
มีคนชอบคุณสำคัญของตนเอง ก็เพราะเขาดีเลิศนี่ แต่นี่ไม่ใช่ความผิดของหานชิง เธอไม่สามารถไปกำหนดกฎเกณฑ์คนอื่นได้ เธอได้แต่จัดการหัวใจของตนเองให้ดี ทั้งสองอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขก็พอแล้ว
หลังจากคิดปล่อยวางได้อย่างนี้แล้ว เสี่ยวเหยียนก็ไม่สับสนอีกแล้ว
แต่เธอก็ยังถือสาเรื่องนี้มาก
“ถ้าต่อไปเธอยังจะขึ้นรถคุณอีก คุณต้องไม่ให้เธอนั่งที่เบาะข้างคนขับของคุณอีก ที่นั่งข้างคนขับต้องเก็บเอาไว้ให้แฟนคุณไม่รู้หรือยังไง”
ผู้หญิงคนนี้ ที่แท้ก็ถือสาเรื่องนี้นี่เอง
เห็นเขาไม่ตอบ เสี่ยวเหยียนปีนไปข้างหน้าบิดหูของเขาอย่างมีความสุข:“คุณได้ยินมั้ยเนี่ย”
“รู้แล้ว” หานชิงจับมือเธอเอาไว้อย่างจนปัญญา:“ขับรถอยู่นะ อย่าโวยวาย”
“ฉันโวยวายที่ไหน ใครให้คุณไม่ตอบฉันล่ะ บอกมาตามความจริงว่าคุณเสียใจทีหลังหรือเปล่า!ในขณะที่เธอดีเลิศขนาดนั้น ทั้งยังเป็นคุณหนูของตระกูลสวี่อีก แน่นอนว่าต้องเก่งไปทุกอย่าง ส่วนฉันอะไรก็ไม่เป็น แล้วยังไม่มีอะไรเลยด้วย”
“เหยียนเหยียน ความรู้สึกมันไม่ใช่จะมาเปรียบเทียบกันแบบนี้ หรือว่าที่คุณชอบผมนั้น จะมีอะไรกับอะไรบางอย่างที่เกี่ยวโยงกับผม ”