บทที่1384ก็ควรจะรู้ตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ
“ฉัน ฉันยังไม่ได้รับปากเขาเลย”
“เอ๋。”หานมู่จื่อมองแหวนเพชรบนนิ้วมือเธอด้วยการหยอกล้อ“แหวนก็ใส่แล้ว ตอนนี้เธอยังมาดัดจริตอะไรอีก? เธอชอบพี่ชายฉันมากเลยไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่ แต่ว่า……ใครใช้ให้ก่อนหน้านั้นเขาเกือบจะหมั้นกับผู้หญิงคนอื่นล่ะ? ฉันให้อภัยเขาก็ถือว่าไม่เลยแล้ว!”
หานมู่จื่อฟังแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าจางลงไม่น้อยเลย
“เธอรู้แล้วเหรอ”
เสี่ยวเหยียนมองเธออย่างช็อค
“หมายความว่ายังไง มู่จื่อ เธอคงไม่ใช่รู้เรื่องนี้ตั้งนานแล้วนะ? ทำไมเธอถึงไม่ยอมบอกฉันเลย?”
“สาเหตุที่ไม่ได้บอกเธอมันง่ายมาก ในใจพี่ชายฉันมีแค่เธอคนเดียว เพราะฉะนั้นฉันเลยไม่มีอะไรต้องบอกกับเธอ เพิ่มความกลุ้มใจให้เธอ อีกอย่างตอนนั้นฉันก็เคยคุยกับสวี่เย็นหวั่น ที่จริงเธอก็ยอมรับเรื่องที่พี่ชายฉันมีแฟนแล้ว แต่ตอนนี้ดูท่าฉันคงจะคิดผิดไป”
ถึงแม้สวี่เย็นหวั่นคนนี้จะไม่ใช่คนเลวอะไร
แต่ในวันที่ทั้งสองพูดคุยกัน หานมู่จื่อรู้สึกท่าทีของเธออยู่ตรงหน้าของความรักไม่สามารถทำเป็นคนจิตใจดีงามได้เสมอได้
คนมากมายมุมมองทั้งสาม รวมทั้งทัศนคติต่อโลกต่างก็ถูกต้องมาก
แต่พอได้เกี่ยวพันถึงเรื่องของความรัก ก็ง่ายที่จะขาดสติ เพราะในเวลานี้ ความรู้สึกทั้งหมดและแขนขาต่างก็ฝ่าฟันการจองจำของโลก
แต่ขอแค่ไม่ไปทำลายคนอื่น คนเราอยากรักยังไง อยากทำยังไงก็ได้
คนอื่นไม่มีสิทธิ์มาวิจารณ์คนๆนี้ในด้านลบ นี่ถือเป็นการให้เกียรติขั้นพื้นฐานสุดมั้ง
แต่สวี่เย็นหวั่นรู้ทั้งรู้ว่าหานชิงมีแฟน ถ้าเวลานี้เธอเลือกที่จะไปทำลายฝ่ายตรงข้าม งั้นก็เป็นปัญหาของศีลธรรมแล้ว
“อ้อใช่”เสี่ยวเหยียนนึกถึงเรื่องสำคัญมากเรื่องนึง:“วันที่ฉันจากไป หล่อนได้ส่งวีแชทให้ฉันหนึ่งข้อความ”
“วีแชท? วีแชทอะไร?”
“เนื้อหาที่หล่อนส่งให้ฉันในตอนนั้นคือ ถึงแม้เมื่อก่อนหล่อนกับหานชิงจะเคยมีการหมั้นหมายกัน แต่ตอนนี้คนที่หานชิงอยู่ด้วยคือฉัน ดังนั้นหานชิงจะรับผิดชอบฉันอยู่”
หานมู่จื่อ: “…….”
ดูคำพูดนี้เข้าซิ ตอแหลได้โล่จริงๆ
หานมู่จื่อไม่รู้ว่าสวี่เย็นหวั่นมีความสามารถด้านนี้ด้วย กลิ่นไอและท่าทีที่เธอรู้สึกได้จากครั้งแรกที่เจอกัน ต่างกับที่เจอกันวันนั้นอย่างสิ้นเชิง
ผิดชอบที่อารมณ์ชั่ววูบเหรอ?
หานมู่จื่อเริ่มครุ่นคิดขึ้นมา
“มู่จื่อ ฉันไม่รู้ว่าเป็นเพราะฉันใจแคบหรือเปล่า แต่ฉันรู้สึกคำพูดที่หล่อนพูดมีเจตนาไม่ดีแอบแฝง อีกอย่างวันนั้นยังนั่งอยู่ที่เบาะนั่งข้างคนขับของพี่ชายเธอด้วย ถึงแม้เมื่อก่อนหล่อนคลุกคลีกับตระกูลหาน แต่ฉันไม่ชอบหล่อนจริงๆ และฉันก็ไม่อยากเป็นเพื่อนกับหล่อนด้วย”
“อืม” หานมู่จื่อพยักหน้า:“เธอไม่ชอบก็ไม่ต้องไปเป็นเพื่อนกับหล่อน ถ้าหล่อนทำให้เธอไม่สบายใจ งั้นเธอก็ทำให้หล่อนไม่สบายใจสิ แบบนี้มันยุติธรรมดี”
“เธอไม่โทษฉันก็ดีแล้ว ฉันกลัวถึงเวลาถ้า ความสัมพันธ์ของพวกเธอสองตระกูลทะเลาะกันจนผิดใจกันเพราะฉัน งั้นฉันก็……”คำพูดตอนท้ายเธอไม่ได้พูดต่อ แต่หานมู่จื่อก็เข้าใจความหมายของเสี่ยวเหยียน
เธอตบแก้มของเสี่ยวเหยียนเบาๆ:“เธอวางใจเถอะ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆฉันช่วยเธอแบกรับไว้เอง อีกอย่างมิตรภาพของรุ่นก่อนพอมาถึงเราก็แทบจะไม่ค่อยสนิทสนมกันขนาดนั้นแล้ว ทั้งสองตระกูลแค่ไปมาหาสู่กัน ไม่ใช่ว่าตระกูลสวี่มีบุญคุณกับตระกูลหานเราสักหน่อย ถ้าหล่อนไม่ทำเรื่องแปลกประหลาด งั้นทั้งสองตระกูลก็ไม่ขัดใจกันหรอก”
ทีนี้เสี่ยวเหยียนถึงพยักหน้า
วันที่สอง หานชิงมารับเสี่ยวเหยียนไปสั่งตัดชุดงานแต่ง
ตอนแรกไม่ได้พูดให้ชัดเจน จนกว่าเสี่ยวเหยียนขึ้นรถแล้วถาม หานชิงถึงบอกเรื่องที่ไปดูชุดงานแต่ง
เสี่ยวเหยียนได้ยินเขาจะพาตัวเองไปสั่งตัดชุดแต่งงานเองปุ๊บ ใบหน้าขาวใสก็แดงก่ำขึ้นมาทันที“ฉันยังไม่ได้บอกคุณเลยว่าฉันรับปาก ทำไมคุณก็พาฉันไปสั่งตัดชุดแต่งงานแล้ว?”
“ไม่เป็นไรครับ”หานชิงมองเธอแล้วยิ้มอ่อนๆ:“เพราะก็ไม่รีบอยู่แล้ว วัดไซส์และดูแบบก่อน ส่วนจะรับปากหรือไม่คุณค่อยๆคิดดู”
พริบตาเดียวเสี่ยวเหยียนก็ไปต่อไม่ถูกเลย
ก่อนหน้านี้เขายังบอกอยู่เลยว่าอย่าเขาให้รอนาน ผ่านไปไม่กี่วันก็บอกว่าไม่รีบแล้ว
เหอะ ผู้ชายน้อผู้ชาย ทำไมพูดจากลับไปกลับมายิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก!
“ก็ได้”เสี่ยวเหยียนยักไหล่อย่างไม่แคร์:“ในเมื่อคุณไม่รีบ งั้นฉันก็ค่อยๆคิดดูก็แล้วกัน สั่งตัดชุดแต่งงานต้องใช้เวลานานเท่าไหร่? หรือไม่ก็คิดถึงตอนนั้นเลย?”
คำพูดนี้ที่จริงแฝงด้วยความงอน หานชิงก็ฟังออกแล้ว พอดีตรงหน้าไม่ไกลก็เป็นไฟแดงแล้ว
หลังจากหยุดรอไฟแดง หานชิงหันมาเข้าใกล้เธอ
“โกรธแล้วเหรอครับ? ก็คุณบอกว่าจะค่อยๆคิดไม่ใช่เหรอ?”
เสี่ยวเหยียนเห็นเขาเข้าใกล้มากะทันหัน ทำเอาเธอตกใจหมด พอมองดูเวลาของไฟแดง ยังเหลือตั้งห้าสิบกว่าวิ นี่เขากะจะทำอะไร? อยากคุยเรื่องนี้กับตัวเองให้รู้เรื่อง?
เธอยังไม่ได้ตอบ หานชิงก็ใกล้เข้ามาอีก
“หรือไม่รับปากตอนนี้เลย?”
เสี่ยวเหยียนทำหน้ามุ่ย“เมื่อกี๊คุณบอกไม่รีบ ให้ฉันค่อยๆคิดเองนะ ตอนนี้ก็จะมาให้ฉันรับปากอีก? ฝันไปเถอะ”
“ไม่ว่าช้าหรือเร็วก็ต้องแต่งงานกับผมอยู่แล้ว คิดไม่คิดก็ไม่เป็นไรแล้ว”
ถูกเขาจ้องมองแบบนี้ เสี่ยวเหยียนเขินเล็กน้อย เธอฮื้อคำนึงแล้วพูดอย่างเย่อหยิ่ง:“ใครช้าหรือเร็วก็ต้องแต่งกับคุณ? หน้าด้าน”
มองใบหน้าที่ยิ่งอยู่ยิ่งเข้าใกล้ของหานชิง เสี่ยวเหยียนกระพริบตาปริบๆเตือนเขา:“ไฟเขียวแล้วค่ะ”
หานชิงหันไปมอง เห็นขึ้นไฟเขียวแล้วจริงๆด้วย
ทีนี้เขาถึงหันกลับมาที่เบาะนั่งอย่างจนปัญญา แล้วขับรถต่อ
ผ่านไปยี่สิบนาที รถได้ขับมาถึงร้านชุดแต่งงาน เดิมทีคือมาสั่งตัดชุด แต่หลังจากเสี่ยวเหยียนเข้ามาร้านชุดแต่งงาน ก็ถูกแบบมากมายทำเอาหลงเสน่ห์ไปเลย จากนั้นก็ขยับเท้าไม่ได้เลย ยืนมองอยู่ที่นั่นไปนานพักใหญ่
หานชิงที่ยืนอยู่ข้างกายเธอ โน้มตัวใกล้ไปที่ข้างหูเธอและพูดเสียงต่ำ:“เห็นชุดแต่งงานจนขยับเท้าไม่ได้แล้ว คุณยังบอกว่าไม่อยากแต่งกับผมอีก?”
เสี่ยวเหยียนถูกคำพูดนี้ทำเอาติดคอ เกือบจะสำลักน้ำลายตัวเอง
เธอเงยหน้าสบตากับหานชิง และตอกกลับ:“ชอบชุดแต่งงานไม่ได้แปลว่าก็อยากแต่งงานกับคุณเลย”
พอพูดจบ เธอก็ไม่มองชุดแต่งงานพวกนี้อีก สลัดหานชิงออก แล้วเดินไปข้างใน
หานชิงมองสาวน้อยที่กำลังงอนอยู่ อยากจะตามไป มือถือก็ได้ดังขึ้น เห็นชื่อของคนที่โทรเข้ามาความอ่อนโยนในแววตาเขาได้จางหายไปในพริบตา เม้มปากไว้ครุ่นคิดไปครู่นึงถึงรับสาย
“ฮัลโหล?”
“ขอโทษด้วยค่ะ หานชิง ฉันก็ไม่อยากโทรมารบกวนคุณในเวลานี้เลย แต่บริษัทที่ประสานงานทางนี้มีปัญหานิดหน่อยค่ะ ดังนั้น……”
น้ำเสียงของสวี่เย็นหวั่นฟังแล้วเกรงอกเกรงใจมาก ค่อนข้างอึดอัดและทำอะไรไม่ถูก
หานชิงฟังแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย“รอให้ผมยุ่งเสร็จ เดี๋ยวโทรหาคุณครับ”
พอพูดจบก็จะวางสาย แต่เวลานี้ทางฝั่งของสวี่เย็นหวั่นได้มีเสียงรบกวนก้องมา เหมือนเป็นเสียงของคนหลายคนกำลังทะเลาะกันอย่างเสียงดัง
สวี่เย็นหวั่นถอนหายใจทีนึง:“ฉันเกลี้ยกล่อมพวกเขาไปนานมาก แต่พวกเขาก็ยังทะเลาะกันอีก คงจะเพราะตอนนี้ฉันไร้ที่พึ่งพิง ตระกูลสวี่ไม่มีคนแล้ว ดังนั้นพูดจาก็ไม่มีอำนาจแล้วมั้งคะ”
หานชิงมองเสี่ยวเหยียนที่เดินอยู่ข้างหน้า เขาเม้มปาก สุดท้ายได้พูดอย่างเย็นชา:“ตามความสามารถของคุณ ถ้าเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ยังเคลียร์ไม่ได้ ต่อไปต้องลำบากกว่านี้แน่”
จู่ๆได้ยินหานชิงพูดแบบนี้ สวี่เย็นหวั่นรู้สึกหัวใจแทบจะสลาย แต่ไม่นานเธอก็ฉีกรอยยิ้มออกมาอย่างจนปัญญา
ควรจะรู้ตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ? แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ทำตัวเย็นชากับตัวเอง ไม่มีความอ่อนโยนให้เลยสักนิด