บทที่141 ต้องการฉันรึเปล่า
มีเวลาเหลือไม่ถึงห้าเดือนแล้ว?
ในตอนแรกเย่โม่เซินยังไม่เข้าใจว่าเธอกำลังหมายถึงอะไร แต่ทันใดนั้นเขาก็คิดขึ้นได้ เธอหมายถึงข้อตกลงระหว่างพวกเขาสองคน
ทันใดนั้นเย่โม่เซินก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟและพูดขึ้นด้วยความโกรธ: “จนป่านนี้เธอยังจำเรื่องข้อตกลงเรื่องนี้อยู่อีกเหรอ?”
เสิ่นเฉียวหันหลังให้เขา เมื่อได้ยินคำพูดนี้มันทำให้ไหล่ของเธอถึงกับหดลงอย่างชัดเจน เพียงชั่วอึดใจเธอจึงได้พยักหน้าหงึก ๆ
เธอจะทำลืมเรื่องข้อตกลงนี้ได้อย่างไร?
ข้อตกลงนี้เป็นเหมือนกับการวาดเส้นขั้นกลางระหว่างเธอกับเย่โม่เซินที่ไม่สามารถจะก้าวข้ามผ่านมันไปได้ เพียงแค่มีข้อตกลงนี้อยู่ เธอก็จะสามารถควบคุมจิตใจของตัวเอง ไม่ให้มันไม่ก่อหวอดแบบนี้ต่อไป
“ดังนั้น เธอก็เลยงี่เง่ากับฉันเพราะเรื่องนี้งั้นเหรอ?” เย่โม่เซินพูดเหมือนคิดเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“…ไม่ใช่” คำพูดของเสิ่นเฉียวตัดขาดลำแสงในใจของเย่โม่เซิน
ดวงตาที่สว่างไสวก่อนหน้าได้อับแสงลง เหมือนเหล่าดวงดาวที่ถูกปกคลุมไปด้วยกลุ่มเมฆดำ รอบด้านปกคลุมไปด้วยความมืดมิด
เสิ่นเฉียวรู้สึกได้ถึงลมหายใจของคนข้างหลังที่เปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ ความอบอุ่นรอบด้านก็ลดต่ำลง เธอทางด้านนี้ที่เตรียมผ้าห่มไว้แล้ว ก็ล้มตัวลงนอน
ทั้งสองคนที่อยู่ในห้องต่างไม่พูดจา
คืนนี้เสิ่นเฉียวก็ต้องทนทุกข์จากการนอนไม่หลับอีกแล้ว อาจจะเป็นเพราะกลิ่นของผ้าห่มใหม่ ทำให้เธอนอนหลับไม่สนิทในตอนกลางคืน จนถึงเวลารุ่งสางเธอจึงได้หลับสนิท
ในฝัน เหมือนกับมีหมาป่าดุร้ายที่จ้องมองเธออยู่ เสิ่นเฉียวถูกจ้องหลังจนหนาวสั่น สั่นสะท้านไปทั้งตัว เหตุใดจึงมีหมาป่ามาจ้องเธอได้นะ?
เธอคิดจะถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว แต่สุดท้ายก็พบว่าข้างหลังเธอนั้นเป็นหุบเหวลึกไม่สิ้นสุด เธอก้าวไปข้างหลังพบกับความว่างเปล่าแล้วตกลงไป
เสิ่นเฉียวตกใจตื่น เหงื่อท่วมไปทั้งตัว
ในตอนที่เธอลืมตานั้น รู้สึกว่าบรรยากาศโดยรอบนั้นไม่ปกติ เธอกลอกตาไปมาและพบว่าดวงตาลึกลับและเยือกเย็นคู่หนึ่งราวกับหมาป่า คนคนนั้นจ้องมองเธอด้วยแววตาดุร้ายจนเส้นเลือดแดงโปนจนลูกตาแทบถลน เหมือนหลุดออกมาจากในฝัน
แต่เจ้าของดวงตาคู่นั้นคือ——
เย่โม่เซิน!
ทันใดนั้นเสิ่นเฉียวก็จับผ้าห่มแน่นแล้วลุกขึ้นนั่ง เสิ่นเฉียวที่เดิมทีง่วงจนแทบจะไม่ไหวเมื่อเห็นหน้าเย่โม่เซินแบบนั้นก็หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง
คุณคงไม่เข้าใจ สภาพเขาตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับหมาป่าดุร้าย สามารถตะครุบและฉีกร่างคุณเป็นชิ้น ๆ ได้ทุกเมื่อ
“คุณ คุณทำอะไรน่ะ?”
ทำไมไม่นอนดี ๆ มาจ้องหน้าเธออยู่ทำไมกัน?
เย่โม่เซินจ้องเธอด้วยดวงตาแดงก่ำ “ยายผู้หญิงหลายผัว เธอกล้าสวมเขาให้ฉันงั้นเหรอ?”
“คุณพูดอะไรอยู่น่ะ?” เสิ่นเฉียวที่เพิ่งตื่นแล้วถูกเขาทำให้เสียขวัญเช่นนี้ ใจของเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ
ปัง——
รูปถ่ายจำนวนหนึ่งโยนลงตรงหน้าเสิ่นเฉียว ในตอนแรกเสิ่นเฉียวไม่รู้ว่ามันคืออะไร เธอจึงพลิกรูปขึ้นมาดูอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็หยิบมันขึ้นมา
หลังจากดูรูปถ่ายพวกนั้นชัด ๆ แล้ว เสิ่นเฉียวก็เบิกตาโพลง มองดูคนในนั้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ
นั่นมันเธอกับเย่หลิ่นหานที่ไปทานสุกี้กันไม่ใช่เหรอ? ทำไม…ทำไมถึงโดนคนถ่ายเอาไว้ล่ะ?
มิน่าล่ะ เมื่อวานนี้ตอนบ่ายเธอรู้สึกเหมือนมีคนสะกดรอยตาม ที่แท้เธอก็ไม่ได้รู้สึกไปเอง!
“ใครเป็นคนเอารูปพวกนี้ให้คุณ?” เสิ่นเฉียวเงยหน้าถามเขาด้วยท่าทีกังวล
เย่โม่เซินมีรอยยิ้มที่ชั่วร้าย: “ร้อนตัวเหรอ?”
เสิ่นเฉียวสะบัดผ้าห่มแล้วลุกขึ้น: “ไม่ใช่อย่างนั้น คุณอย่าเชื่อรูปถ่ายพวกนี้ง่าย ๆ ฉัน…”
“รูปถ่ายเป็นของปลอม?” เย่โม่เซินยิ้มเยาะ “หือ?”
“ไม่ได้เป็นของปลอมค่ะ แต่มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด แต่ฉันแค่ไปกินข้าวกับพี่ใหญ่เท่านั้น ฉันไม่เคยคิดสวมเขาให้คุณ”
เธอเดินมาที่หน้าเย่โม่เซินและพยายามอธิบาย เย่โม่เซินยกมือใหญ่และลากเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอด ฝ่ามือใหญ่ที่ร้อนรุ่มบีบเอวของเธอไว้แน่นและบีบคางของเธอด้วยอีกมือ
“ครั้งนี้กินข้าว แล้วครั้งหน้าล่ะ? ขึ้นเตียงกับเขาเหรอ?” แววตาของเขาคุกคามอย่างหนัก ความโกรธในตัวของเขาแทบจะแผดเผาเสิ่นเฉียวให้ดับดิ้นไป
“เย่โม่เซิน คุณปล่อยฉันนะ คุณเลิกพูดดูถูกฉันได้แล้ว ฉันกับพี่ใหญ่เราไม่มีอะไรกัน แค่กินข้าวด้วยกันก็เท่านั้น”
“ใช่เหรอ?” เย่โม่เซินยิ้มเยาะ มือที่ยึดคางเธอไว้เพิ่มแรงหนักขึ้น ผู้หญิงอย่างเธอยังกล้าทำท่าทางใสซื่อบริสุทธิ์อยู่เหรอ? ถ้าหากว่าฉันไม่สั่งสอนเธอละก็ เธอคงจะไม่รู้ว่าควรจะวางตัวยังไงสินะ”
“คุณทำฉันเจ็บแล้ว ปล่อย…”
ทันทีที่เธอพูดคำถัดมา ริมฝีปากก็ถูกเย่โม่เซินประกบอย่างรุนแรง
เขาจูบเธออีกแล้ว!
เสิ่นเฉียวเบิกตาโพลง เธอบิดตัวพยายามขัดขืนเขา
แคว่ก
ทันใดนั้นชุดนอนของเสิ่นเฉียวถึงจุดจบ
เธออยากจะร้องออกมา แต่เสียงทั้งหมดที่เธอทำนั้นถูกกลืนไปโดยเย่โม่เซิน
เสิ่นเฉียวอยากจะผลักเขาออกไป แต่เขากลับบีบเอวของเธอด้วยความแรงและแต่ละนิ้วของเขาจับเธอไว้แน่น
เย่โม่เซินที่เป็นแบบนี้ทำให้เสิ่นเฉียวรู้สึกกลัว เหมือนกับปีศาจ
เขาจับศีรษะของเธอไว้และพูดด้วยเสียงหอบพร่า: “พูดสิ เธอกับเขาทำอะไรกัน?”
ท่าทีคุกคามของเขาทำให้เสิ่นเฉียวหัวปั่น จิตใจปั่นป่วน เมื่อเธอได้ยินคำถามด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าของเขา ชั่วครู่ เธอก็ได้สติ เธอกัดริมฝีปากล่างแน่นมองหน้าเย่โม่เซินและไม่พูดอะไร
เขายิ้มอย่างเย็นชา: “พูดสิ”
เสิ่นเฉียวกัดริมฝีปากแน่น นัยน์ตาแดงก่ำ: “ไม่ได้ทำอะไรเลย! คุณไม่เชื่อก็ไม่ต้องมาถามฉัน!”
“โอเค” น้ำเสียงของเย่โม่เซินทุ้มต่ำลงมาก: “ไม่พูดก็ได้ ถ้างั้นอย่ามาโทษฉันก็แล้วกัน!”
เสิ่นเฉียว: “…”
เมื่อเธอตระหนักถึงความหมายของมันขึ้นมาได้ ก็ทำให้เธอรู้สึกปวดใจ
เย่โม่เซินบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว เขยิบเข้าไปใกล้แล้วกระซิบที่ข้างหูเธออย่างเย็นชา: “พูดไม่พูด?”
คำพูดของเขาทำให้เสิ่นเฉียวหน้าแดงได้สำเร็จ แม้กระทั่งติ่งหูเธอยังกลายเป็นสีแดงระเรื่อไปด้วย เย่โม่เซินรู้สึกว่ามันน่ารัก เขาจึงงับไปคำหนึ่ง
“อา…เย่โม่เซิน คะ…คุณปล่อยฉันเร็วสิ”
“ปล่อย เธอแน่ใจ?” เข้าใช้ท่าเก้าตื้นลึกหนึ่ง (เทคนิคการร่วมรักของจีนโบราณ) ทำให้นิ้วเท้าของเสิ่นเฉียวต้องหงิกเกร็ง