บทที่143 มีชู้ในระหว่างช่วงสมรส
“ปล่อยฉัน! หลินเจียงคุณถามคำถามพวกนี้กับฉันไม่รู้สึกว่ามันตลกไปหน่อยเหรอ? ตั้งแต่วันที่แต่งงานกับฉันคุณก็อยู่กับชู้ของคุณมาตลอด แถมยังมีลูกด้วยกันอีก ตอนเราหย่ากันเธอก็เกือบจะคลอดอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้คุณยังมีหน้าจะมาถามฉันอีกเหรอ? ดูให้ดีก่อน!”
เสิ่นเฉียวหยิบลิสต์ขึ้นมาและยิ้มเยาะ: “ฉันท้องแล้ว แถมเป็นชู้ในช่วงที่แต่งงานด้วย”
หลินเจียงเบิกตาโพลง มองเธออย่างไม่น่าเชื่อ
ราวกับว่าคิดไม่ถึงว่าเสิ่นเฉียวจะพูดคำพูดพวกนี้ออกมา!
“ทำไม?” เสิ่นเฉียวถามถาง แววตาเต็มไปด้วยความเย็นชา: “หลินเจียงเธอคิดว่าเธอระเบิดได้ แล้วฉันจะสุมไฟบ้างไม่ได้รึไง?”
“เธอ!” หลินเจียงยื่นมือชี้หน้าเธอ
เสิ่นเฉียวปัดมือของเขา: “คุณช่วยระวังตัวด้วย เรื่องแบบนี้ไม่ได้มีแค่คุณคนเดียวที่ทำได้ ต่อไปก็อย่ามายุ่งกับฉันอีก”
เสิ่นเฉียวพูดเสร็จ ก็หันหลังแล้วเดินไป
ครั้งนี้ หลินเจียงไม่ได้ตามเธอไปแล้ว
เขาคงกำลังตกตะลึงอยู่ ดังนั้นจึงยืนอึ้งอยู่ที่เดิมอยู่นานจึงรู้สึกตัวอีกครั้ง
“แม่ง แอบมีชู้ลับหลังแล้วยังจะกล้าพูด เสิ่นเฉียว มึงคอยดูกูเถอะ!”
เสิ่นเฉียวมาถึงบริษัท เธอมาสายเพราะไปหาหมอ เธอสีหน้าไม่ดีเลยตอนที่เข้ามาในบริษัท เมื่อขึ้นมาข้างบนแล้วเธอหยิบน้ำเพื่อกินยาก่อน
เมื่อคิดดูแล้ว เสิ่นเฉียวจึงได้เดินไปเคาะประตูห้องทำงานเย่โม่เซิน
“เข้ามา”
น้ำเสียงนั้นเย็นชาไม่มีความอบอุ่นใด ๆ
เสิ่นเฉียวผลักประตูเข้าไป เธอก้าวเข้าไปอย่างลังเลไปที่หน้าเย่โม่เซิน และอยากที่จะเอ่ยปากขอลาพักกับเขา
เย่โม่เซินก็พูดขึ้นพอดี: “มาพอดีเลย เอาเอกสารพวกนี้ไปจัดการข้างนอกด้วย”
เซียวซู่ได้ยินแล้วตาเบิกโพลง
เสิ่นเฉียว: “…”
เธอยังคิดอยากจะขอลา
“คือว่า…ฉัน…”
“มีปัญหาอะไรไหม?” เย่โม่เซินเลิกคิ้วข้างหนึ่ง ร่างกายเขาแผ่รังสีความเป็นศัตรูออกมาชัดเจน ดวงตาคู่นั้นยังคงเหมือนเมื่อเช้า
“ไม่ ไม่มีปัญหาค่ะ” เสิ่นเฉียวเม้มปาก ยื่นมือออกไปรับเอกสาร
มีเอกสารจำนวนมาก เสิ่นเฉียวคนเดียวถือต้องใช้แรงเยอะทีเดียว เซียวซู่เห็นแล้วเหมือนกับจะทนไม่ไหว อยากจะเข้าไปช่วย แต่เย่โม่เซินกลับแอบส่งสายตาเย็นชาใส่เขา ทำให้เซียวซู่ต้องยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
เสิ่นเฉียวแบกเอกสารออกไปคนเดียวจนขาสั่น เธอต้องเข้ามาแบกถึงสามรอบจึงจะหมด
กว่าเธอจะขนเอกสารจนหมด ก็เล่นเอาเธอหอบแฮ่ก
เธอมองเอกสารที่กองเป็นภูเขาบนโต๊ะทำงานของตัวเอง ทำให้เธอหมดอารมณ์ไปเลย
เย่โม่เซิน เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการทรมานเธอ
ในห้องทำงานนั้น หลังจากที่เซียวซู่เห็นเสิ่นเฉียวขนเอกสารออกไปแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น “คุณชายเย่นี่มันเรื่องอะไรกัน เอกสารพวกนั้น เห็นอยู่ชัด ๆ ว่า…”
“หุบปาก” เย่โม่เซินขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา: “ออกไป”
“แต่ว่าคุณชายเย่…”
“ว่าง?”
“ผมจะไปเดี๋ยวนี้ครับ”
เซียวซู่รีบออกมาจากห้องทำงานอย่างรวดเร็วและปิดประตู จากนั้นเขาจึงแวะมาดูที่โต๊ะของเสิ่นเฉียว พบว่าเธอมีสีหน้าไม่ค่อยดี จึงเข้าไปถามไถ่
“ผู้ช่วยเสิ่น สีหน้าคุณดูไม่ดีเลย ไม่สบายรึเปล่า?”
เมื่อได้ยินเสียงเซียวซู่ เสิ่นเฉียวเงยหน้าไปมองเขาและพยายามฉีกยิ้ม “ฉันไม่เป็นไรค่ะ วางใจเถอะ ฉันจะรีบจัดการเอกสารให้เสร็จค่ะ”
เซียวซู่เลียริมฝีปากแล้วอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น “อันที่จริง เอกสารพวกนั้นคุณไม่ต้องจัดการมันจริงจังมากก็ได้นะครับ พวกมัน…”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันจะตั้งใจจัดการ”
เธอจะไม่ตั้งใจทำมันได้ยังไง? หากแม้ว่าเธอไม่ตั้งใจทำงานแม้เพียงสักนิดเดียว เกรงว่าเย่โม่เซินคงจะจ้องจับผิดและมีคำสั่งใหม่มาให้เธอแน่
เธอตั้งใจทำงานตรงหน้าก็ดีอยู่แล้ว และเธอก็ไม่จำเป็นต้องไปเดาถึงเหตุผลที่อยู่เบื้องหลัง
เซียวซู่เห็นเธอยืนยันอย่างนั้น จึงไม่พูดอะไรอีก ทำเพียงเตือนว่าใกล้ถึงเวลาทานข้าวแล้ว ให้เธออาศัยช่วงพักทานอาหารเพื่อพักผ่อน เสิ่นเฉียวกล่าวขอบคุณเขา เมื่อถึงเวลาอาหารแล้วจึงไปโรงอาหาร
เมื่อถึงโรงอาหาร เสี่ยวเหยียน ก็เดินเข้ามาอย่างกระตือรือร้น
“เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นอะ? ทำไมเธอถึงไปอยู่กับรองประธานเย่ของเราได้? คุณชายเย่ไม่โปรดแล้วเหรอ? ถึงได้มาทางนี้ได้?”
ถึงแม้ว่าคำพูดเหล่านี้จะไม่น่าฟัง แต่เสิ่นเฉียวมองดูแววตาใสซื่อของเธอ ก็รู้ว่าเธอไม่มีเจตนาร้ายอะไร ทำได้เพียงพูดอย่างจนใจ: “เธออย่าคิดอย่างนั้นได้ไหม”
“ฉันก็ไม่อยากจะคิดแบบนั้น แต่เมื่อวานตอนรองประธานเย่เดินมาตรงหน้าเธอ เธอยังไล่ให้ฉันไปเลย แบบนี้มันทำให้คนอื่นเข้าใจผิดง่าย ๆ เลยนะเข้าใจไหม? ฉันไม่รู้ว่าเมื่อเช้าทุกคนเขาจะเม้าท์มอยเรื่องนี้ว่ายังไงบ้าง พวกผู้หญิงพวกนั้นคงพูดแรงกว่าฉันมากแหละ”
ได้ฟังอย่างนั้น เสิ่นเฉียวก็นิ่งไป แล้วถามขึ้นโดยอัตโนมัติ: “เม้าท์ว่าอะไร?”
“ก็เม้าท์ว่าเธอเก่งเรื่องบนเตียง เตียงของสองพี่น้องเธอก็ขึ้นมาหมดแล้ว แล้วพวกนั้นก็พูดว่า ขึ้นเตียงเย่หลิ่นหานยังพอว่า นี่ขึ้นเตียงคนพิการด้วย ประมาณนั้น”
เดิมทีสีหน้าของเสิ่นเฉียวก็ไม่สู้ดีอยู่แล้ว ได้ยินคำพูดพวกนี้ยิ่งทำให้เธอมีสีหน้าที่แย่กว่าเดิม
เสี่ยวเหยียน ไม่ได้สังเกต ยังคงเล่าให้เธอฟังต่อ
“พวกผู้หญิงพวกนั้นยังพูดนะว่า ตอนนี้เธอวนเวียนอยู่กับพี่น้องคู่นี้เท่านั้น ก็เพียงเพราะต้องการตำแหน่งแม้แต่หน้าตาก็ไม่สนแล้ว แล้วยังบอกว่าสักวันเธอก็ต้องตกลงมาจากสวรรค์ชั้นฟ้า ถึงวันนั้นพวกนั้นจะเหยียบเธอให้จมดิน”
เสิ่นเฉียว: “…”
“ยังมีอีกนะ ๆ ยังมีที่น่าเกลียดกว่านี้อีก เธอ…”
“ไม่ต้องพูดแล้ว” เสิ่นเฉียวพูดขัดเธอ เธอพอจะเดาได้ว่าต่อจากนั้นคืออะไร อันที่จริงแล้วมันไม่มีอะไรมากไปกว่าการดูถูกเธอ
พูดมากกว่าก็คงไม่พ้นเรื่องแบบเดิม
เสี่ยวเหยียนที่ถูกเธอขัดจังหวะ ตอนนี้เธอเพิ่งจะเห็นว่าสีหน้าของเธอไม่ปกติ “เป็นอะไรไป สีหน้าเธอไม่ดีเลย เธอโกรธฉันเหรอ? แต่ฉันบอกเธอก่อนแล้วนะ ว่าฉันไม่ได้เป็นคนพูดเรื่องพวกนี้ แต่เป็นพวกผู้หญิงพวกนั้น เธอถามฉันว่าพวกนั้นพูดอะไรบ้าง ฉันก็เล่าให้เธอฟังแค่นั้น”
เสิ่นเฉียวรู้ดีว่าเธอแค่เล่าให้ฟังเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ได้พูดอะไร
“ฉันไม่ได้มีเจตนาจะโทษเธอหรอกนะ เพียงแต่ว่าเธอไม่ต้องพูดต่อฉันก็รู้ว่าพวกนั้นจะพูดว่าอะไรแล้วน่ะสิ”
“จริงเหรอ? ถ้างั้นพวกนั้นก็ไม่ได้พูดจริงใช่ไหม?” เสี่ยวเหยียน มองมาที่เธอและถาม
เสิ่นเฉียว: “…”
เสี่ยวเหยียนเท้าคาง: “อันที่จริงฉันดูคนแบบเธอ เงอะงะ ดูไม่เหมือนปีศาจจิ้งจอกจะไปหลอกล่อผู้ชายที่ไหนได้หรอก ยิ่งกว่านั้นนะ เธอสวยสู้ฉันไม่ได้หรอก รองประธานเย่ก็ต้องมองฉันมากกว่าเธออยู่แล้ว ว่าไหม?”
เสิ่นเฉียว: “…”
“เธออย่าคิดว่าฉันพูดจาไม่มีเหตุผลนะ ฉันดูข้อมูลของเธอมาแล้วจ้ะ ฉันเด็กกว่าเธอ สดใสร่าเริงกว่าเธอ เพราะอย่างนั้นฉันคิดว่าฉันก็ต้องเสน่ห์แรงกว่าเธอ ดังนั้น…ฉันจะยังไม่เชื่อว่าเธอเป็นคนอย่างนั้นหรอก!” พูดถึงตรงนี้ เสี่ยวเหยียน ก็โชว์ฟันขาวและเขี้ยวน่ารักสองข้างที่เธอน่ารักมากเป็นพิเศษ
ทันใดนั้นเสิ่นเฉียวก็รู้สึกว่าเสี่ยวเหยียนพูดถูก เธอมีชีวิตชีวามาก หน้าตาก็สวยน่ารัก ผู้หญิงแบบนี้มีเสน่ห์แน่นอนอยู่แล้ว
แต่เธอ ไม่ร่าเริงซังกะตาย ไม่มีชีวิตชีวาสักนิด มีเรื่องอะไรก็ขี้ขลาดและกล้ำกลืนทนไป
ใครจะมาชอบคนอย่างเธอได้?
คิดถึงตรงนี้ เสิ่นเฉียวก็ท้อแท้เล็กน้อย
“เธอก็อย่าเสียใจไปเลยนะ ถึงเธอจะสวยไม่เท่าฉัน แต่ท่ามกลางกลุ่มผู้หญิงเธอก็ถืว่าสวยเลิศแล้วล่ะ แค่ให้ฉันแต่งหน้าให้เธอเพิ่มอีกนิด รับรองว่าหนุ่ม ๆ ติดเธอตรึมแน่นอนจ้ะ! แต่ว่า ห้ามมาแย่งกับฉันนะ!”