บทที่1422 ก่อนวันแต่งงาน
วิลล่าไห่เจียง
“อีกสองวันก็จะเป็นวันแต่งงานของน้าเสี่ยวเหยียนกับคุณน้าของลูกแล้ว ลูกเตรียมของพร้อมไหม? ลาเรียนกับคุณครูที่โรงเรียนแล้วรึยัง? ”
“หม่ามี๊ ทุกอย่างถูกจัดการไว้หมดแล้ว เวลาเสี่ยวหมี่โต้วทำเรื่องอะไร หม่ามี๊ไม่ไว้ใจยังงั้นเหรอ? ”
“ถ้ายังงั้นก็ได้ เมื่อก่อนลูกอยากให้น้าเสี่ยวเหยียนเป็นน้าสะใภ้ของลูกมากเลยไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ความฝันนั้นเป็นจริงแล้ว ดีใจไหม? ”
เสี่ยวหมี่โต้วกระแอมเบาๆ พอน้าเสี่ยวเหยียนมีคุณน้าแล้ว ก็ไม่สนใจเสี่ยวหมี่โต้วแล้ว”
ความหมายโดยนัยก็คือไม่ได้ดีใจขนาดนั้น หานมู่จื่อยื่นมือไปตีหัวเขาเบาๆ อย่างรู้สึกตลก “น้าเสี่ยวเหยียนของลูกต้องเตรียมงานแต่งงาน ยุ่งจะตาย ลูกเนี่ยนะ รอให้ต่อไปน้าเสี่ยวเหยียนตั้งท้องและมีลูก ก็จะยิ่งไม่มีเวลาสนใจลูกมากกว่านี้อีก ตอนนี้ลูกอย่าพึ่งท้อถอยไป เพราะต่อไปหลังจากนี้ยังมีช่วงเวลาให้ท้อถอยกว่านี้อีกเยอะ”
เสี่ยวหมี่โต้ว:“หม่ามี๊ มีคนที่โจมตีลูกชายตัวเองแบบหม่ามี๊อีกไหมเนี่ย? ”
“อ้อ ถ้าเกิดว่าลูกไปพูดกับป่าปี๊แบบนี้ล่ะก็ เขาจะต้องโจมตีลูกโหดกว่านี้อย่างแน่นอน”
เสี่ยวหมี่โต้ว:“……”
ช่างเถอะ ยังไงก็เป็นพ่อแม่ที่ให้กำเนิดเขาออกมา เขาไม่ไปถือสาก็ได้
“หม่ามี๊ ตอนงานแต่งงานจะพาเสี่ยวโต้วหยาไปด้วยไหม? ”
“ก็ต้องอยู่แล้วสิ นี่เป็นงานแต่งงานของคุณน้าของลูกนะ แน่นอนว่าเสี่ยวโต้วหยาต้องไปด้วยอยู่แล้ว”
“อ้อ”
ประตูห้องถูกเปิดออก เย่โม่เซินเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบเฉย พอเห็นว่าเสี่ยวหมี่โต้วอยู่ในห้องด้วย ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาก็เผยให้เห็นความไม่พอใจทันที
“ลูกมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? ”
เสี่ยวหมี่โต้วพบว่าพอป่าปี๊ของตัวเองเห็นหน้าเขาแล้วนั้นสีหน้าก็ดูเมินเฉย เขาดูไม่ค่อยดีในทันที เมื่อกี้ที่หม่ามี๊โจมตีเขาน่ะช่างเถอะ แต่ว่าที่ป่าปี๊เห็นหน้าเขาแล้วสีหน้าดูเมินเฉยขนาดนี้มันเรื่องอะไรกัน? แน่นอนว่าต้องโทษที่เขาไปแย่งหม่ามี๊อีกแล้วแน่เลย!
เสี่ยวหมี่โต้วทำเสียงหึในลำคอ “หม่ามี๊เรียกผมมา! ”
“อืม ฉันเรียกเขามาถามเกี่ยวกับเรื่องที่จะไปร่วมงานแต่งอีกสองวันข้างหน้า”
“ถามเสร็จรึยัง? ” เย่โม่เซินเหลือบมองเสี่ยวหมี่โต้ว หลังจากนั้นก็พูดว่า “ถามเสร็จแล้วก็กลับไปอ่านหนังสือที่ห้องได้แล้ว”
เสี่ยวหมี่โต้วไม่ได้สนใจเขา ได้แต่หันกลับมาแล้วกอดแขนของหานมู่จื่อไว้ “หม่ามี๊ คืนนี้เสี่ยวหมี่โต้วอยากนอนกับหม่ามี๊”
พอได้ยินดังนั้น หานมู่จื่อก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “หา เป็นอะไรไปเหรอ? ”
“เสี่ยวหมี่โต้วนอนคนเดียวรู้สึกกลัวนิดหน่อย คืนนี้หม่ามี๊พาเสี่ยวโต้วหยาไปนอนที่ห้องผมด้วยได้ไหม? ”
หลังจากพูดจบเสี่ยวหมี่โต้วก็เขย่าแขนหานมู่จื่อ ออดอ้อนทุกวิถีทาง หานมู่จื่อกลับรู้สึกแปลกใจ แล้วก็ถามเขา “ลูกเป็นอะไรกัน? เมื่อก่อนลูกก็นอนคนเดียวตลอดเลยไม่ใช่เหรอ? แล้วก็ไม่เคยบอกว่ากลัวเลยนิ? ”
หานมู่จื่อไม่ได้สังเกตเห็นคลื่นใต้น้ำระหว่างพ่อลูกคู่นี้ แค่รู้สึกว่าพฤติกรรมนี้ของเสี่ยวหมี่โต้วนั้นแปลกมาก ยังไงก่อนที่จะเลี้ยงเขาให้โตขนาดนี้เขายังไม่เคยพูดว่าเขากลัวเลยนะ หรือว่าช่วงนี้เขาไปเจอเรื่องอะไรเข้า?
ตอนที่เธอกำลังจะถามให้ชัดเจน คำพูดที่ไร้ปรานีของเย่โม่เซินก็ฟาดเข้ามาอย่างเยือกเย็น
“ลูกผู้ชายอกสามศอก ไม่ละอายใจที่จะพูดว่ากลัวยังงั้นเหรอ? ต่อไปเดินออกไปไหนต่อไหนอย่าไปบอกใครเขานะว่าเป็นลูกชายของเย่โม่เซิน”
พอได้ยินดังนั้น เสี่ยวหมี่โต้วก็มีสีหน้าอันตรายและน่ากลัว และตอบกลับเขาไปในทันที “นี่ป่าปี๊กำลังจะสวมเขาให้ตัวเองยังงั้นเหรอ? เสี่ยวหมี่โต้วไม่พูดว่าเป็นลูกของป่าปี๊ แล้วจะให้พูดว่าเป็นลูกของคนอื่นยังงั้นเหรอ? ”
สายตาของเย่โม่เซินทุ้มลึกขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับหรี่ตาอย่างอันตรายและจ้องมองมาที่เขา
“และก็ไม่ต้องบอกว่าเป็นลูกชายของหม่ามี๊”
“หม่ามี๊ก็ไม่บอกว่าผมจะพูดไม่ได้ ใช่ไหมหม่ามี๊? ”
หานมู่จื่อคิดในใจว่า ผีที่ไร้เดียงสาสองตัวนี้ ที่จริงแล้วที่บอกว่ากลัวที่จะนอนคนเดียวนั้นเป็นเรื่องโกหก สองคนนี้จะเริ่มอีกแล้วใช่ไหม?
เธอถอนหายใจออกมาอย่างไม่มีทางเลี่ยง หลังจากนั้นก็มองไปที่เสี่ยวโต้วหยาที่กำลังนอนอยู่ข้างๆ
ไม่รู้ว่าเสี่ยวโต้วหยาตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ มองตาเธอด้วยดวงตาสีเข้มคู่หนึ่ง ดวงตาของเสี่ยวโต้วหยานั้นสวยงามมาก เหมือนกับดวงดาวบนท้องฟ้าหลังฝนตก สว่างไสวผิดปกติ
และก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ จู่ๆ ก็ยิ้มให้หานมู่จื่อ
ไม่ยิ้มก็ยังดี พอยิ้มใบหน้าเล็กๆ นั้นก็กลายเป็นดูเซ่อขึ้นมาทันที
เฮ้อ หานมู่จื่อเห็นเสี่ยวโต้วหยาเป็นแบบนี้ก็รู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก ลูกสาวที่รักของเธอ อย่าเป็นคนเซ่อเด็ดขาดเลยนะ เธอกังวลจะตายอยู่แล้ว
*
ก่อนวันแต่งงาน เสี่ยวเหยียนย้ายออกจากคฤหาสน์ เพราะว่าจากคำบอกเล่าของท้องถิ่นของพวกเขาบอกว่าพวกเขาห้ามเจอกันก่อนวันแต่งงานวันหนึ่ง ดังนั้นหลัวหุ้ยเหม่ยก็เลยพาเสี่ยวเหยียนกลับ
เพราะว่าลูกสาวของเธอจะแต่งงาน ดังนั้นคืนนั้นหลัวหุ้ยเหม่ยก็เลยทิ้งสามีของตัวเองไป แล้วก็ไปนอนกับเสี่ยวเหยียน
บนเตียงเล็กๆ สองแม่ลูกนอนเบียดกัน เพราะว่าเสี่ยวเหยียนตื่นเต้นมาก ดังนั้นก็เลยนอนไม่หลับเลย ก็เลยเอาแต่กระซิบคุยกับหลัวหุ้ยเหม่ย
แต่ว่าหลัวหุ้ยเหม่ยเป็นคนใหญ่ ถึงแม้ว่าพรุ่งนี้ลูกสาวจะแต่งงานแล้ว แต่ว่าเธอก็ยังคงง่วงอย่างมาก คุยกับเสี่ยวเหยียนไม่ถึงสองประโยคก็เริ่มง่วงแล้ว หลังจากนั้นก็หลับไป เสี่ยวเหยียนก็พูดกับเธออีกครั้ง แต่เห็นว่าเธอไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ ก็เลยเริ่มผลักเธอเบาๆ
“แม่ แม่? ”
“หืม? เมื่อกี้ลูกพูดว่าอะไรนะ? ”
พอเสี่ยวเหยียนได้ยินเสียงเธอก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นอีกครั้ง แล้วก็พูดกับเธอมากมาย แต่พอพูดจบหลัวหุ้ยเหม่ยก็ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบอะไรอีกแล้ว เสี่ยวเหยียนก็สังเกตอยู่พักหนึ่งก็พบว่าหลัวหุ้ยเหม่ยกลับไปแล้ว เธอไม่อยากจะไปรบกวนเธอ แต่ว่าเธอกลับตาอยู่นานก็พบว่าตัวเองนอนไม่หลับเลย ก็เลยอดไม่ได้ที่จะสะกิดแขนของหลัวหุ้ยเหม่ยอีกครั้ง
“แม่”
ตอนแรกหลัวหุ้ยเหม่ยก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบอะไร แต่พอสะกิดไปสะกิดมา หลัวหุ้ยเหม่ยก็ตื่นขึ้นมา เธอมองไปที่ลูกสาวของเธอที่อยู่ข้างๆ ด้วยสายตาที่ง่วงนอน
“ว่าไง? ”
“แม่ อย่าพึ่งนอน อยู่คุยเป็นเพื่อนหนูก่อน”
พอเห็นท่าทีที่น่าสงสารของเสี่ยวเหยียน หลัวหุ้ยเหม่ยก็ยิ่งรู้สึกว่า ไม่ว่าจะยังไงก็เป็นลูกสาวของตัวเอง พรุ่งนี้เธอจะแต่งงานแล้ว เธอต้องส่งลูกหมูน้อยที่เลี้ยงมานานออกไปแล้ว ก็อยู่คุยเป็นเพื่อนเธออีกหน่อยแล้วกัน
“เหยียนเหยียน พรุ่งนี้ก็จะจัดงานแต่งแล้ว ถ้าเกิดว่าคืนนี้ลูกไม่นอนให้เต็มอิ่ม แล้วพรุ่งนี้สีหน้าจะดูดีได้ยังไง? ถึงแม้ว่าแม้อยากจะคุยกับลูกมากๆ แต่ว่าพรุ่งนี้พวกเราต้องตื่นแต่เช้านะ เรารีบนอนเยอะๆ ดีกว่าไหม? ”
พอได้ยินดังนั้น เสี่ยวเหยียนก็ส่ายหน้าอย่างแรง “แต่ว่าหนูนอนไม่หลับ”
“ลูกคิดมากเกินไปแล้ว เมื่อก่อนตอนที่แม่แต่งงานยังไม่ได้ตื่นเต้นเท่าลูกเลย มีอาการนอนไม่หลับที่ไหนกัน? ลูกต้องคิดว่า ถ้าเกิดว่าคืนนี้ลูกไม่นอนให้เต็มอิ่ม สีหน้าดูไม่ดี จนถึงเวลาพรุ่งนี้แขกทุกคนในห้องโถงจะได้เห็นท่าทางของลูกที่ดูไม่ดี ลูกยังจะนอนไม่หลับอยู่ไหม? ”
ประโยคนี้ปนไปด้วยคำขู่ เสี่ยวเหยียนได้ยินดังนั้นก็เงียบไปพักหนึ่งแล้วก็พูดขึ้นมาว่า “แม่ หนูรู้สึกว่าหนูกลัวละยิ่งนอนไม่หลับกว่าเดิมอีก”
“ยัยเด็กนี่ จะไม่ปล่อยให้แม่นอนใช่ไหม? ”
“หนูตื่นเต้น หนูนอนไม่หลับ แม่ ทำไมหนูถึงรู้สึกว่าเรื่องนี้มันไม่เหมือนความจริงเลยล่ะ? หนูจะไปแต่งงานกับคนอื่นได้ยังไง? หนูจะได้ว่าหนูพึ่งจะกลับมาประเทศนี้ได้ไม่นานเท่าไหร่เองนะ? ” เสี่ยวเหยียนพูดไปด้วยพร้อมกับขยี้ตาของตัวเองไปได้ พร้อมกับมองไปที่หลัวหุ้ยเหม่ยด้วยสายตาที่ยุ่งเหยิง
หลัวหุ้ยเหม่ยเห็นท่าทางของเธอ ทันใดนั้นก็นึกถึงเสี่ยวเหยียนตัวน้อยในความทรงจำของเธอ ตอนนั้นเธอแค่ไม่กี่ขวบเท่านั้น นอนอยู่ข้างๆ เธอ ขยี้ตาพร้อมกับมองเธอแบบนี้ “แม่ ฟ้าสว่างแล้วเหรอ? ”
ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง หลัวหุ้ยเหม่ยยื่นมือออกไปเหมือนกับในความทรงจำของเธอ แล้วก็ลูบหัวของลูกสาวตัวเองเบาๆ “เด็กโง่ ไม่ต้องคิดมากแล้ว”