บทที่1468เอาความจริงใจของเธอออกมา
หมอดูได้ยินแล้วมองเหลียงหย่าเหอทีนึง แล้วยื่นวันเดือนเกิดสองใบมา
“คุณผู้หญิงทั้งสองคอนเฟิร์มหน่อย วันเดือนเกิดนี้ถูกหรือเปล่าครับ”
เหลียงหย่าเหอกับตู้เซียวหยู่รับกระดาษมา ทั้งสองต่างก็คอนเฟิร์มวันเดือนเกิดของลูกตัวเอง หลังจากคอนเฟิร์มว่าไม่ผิดต่างก็เงียบไม่พูดจา
“หมอดูคะ นี่เป็นวันเดือนปีเกิดของลูกพวกเราจริงค่ะ แต่ฉันดูความสัมพันธ์ของเด็กสองคนนี้ดีมาก ทำไมถึง……แยกจากกันหรือไม่ก็ตายจากกันได้ล่ะคะ?”
เหลียงหย่าเหอไม่พอใจกับผลลัพธ์นี้มาก เธอชอบเสี่ยวไป๋มากๆ อยากให้เสี่ยวไป๋เป็นลูกสะใภ้ตัวเอง ถ้าเพราะดูดวงนี้แล้วเสียลูกสะใภ้ไป ถ้ารู้งี้เธอก็ไม่มาดูดวงแล้ว
แววตาขุ่นมัวของหมอดูมีความหนักใจ เขามองทั้งสองทีนึง ถอนหายใจและพูด:“ถ้าวันเดือนปีเกิดไม่ผิด ก็คือผลที่ผมดูนั่นแหละ ไม่ต้องถามอีกแล้ว”
ผู้ช่วยเริ่มเก็บเงิน ทั้งสองได้แต่ให้เงินไป จากนั้นก็ถือกระดาษที่จดวันเดือนปีเกิดจากไป
ตอนที่ออกมา ตู้เซียวหยู่ถือว่ารู้สักทีทำไมก่อนหน้านี้ถึงมีลางสังหรณ์ไม่ดี คิดไม่ถึงว่าสัมผัสที่หกของเธอจะแม่นยำขนาดนี้
ทั้งสองเดินออกมาจากซอยลึกๆอย่างเงียบๆ จู่ๆเหลียงหย่าเหอหันหน้ามาพูดกับตู้เซียวหยู่ที่สีหน้าเคร่งขรึม“คุณตู้เซียวหยู่คะ ตะแก่คนเมื่อกี๊ต้องดูไม่แม่นแน่ๆ พวกเราอย่าไปเชื่อเขาเชียวนะ”
พอฟังแล้ว ถึงแม้ตู้เซียวหยู่หนักใจ แต่ก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองตามเธอ“ใช่ค่ะ ฉันก็รู้สึกว่าไม่แม่นค่ะ ที่จริงพวกเราไม่ควรงมงายขนาดนี้นะคะ ตอนนี้มันสมัยไหนแล้ว เรายังมาดูดวงอีก”
“ใช่ค่ะๆ ฉันก็รู้สึกพวกเรางมงายเกินไปแล้ว บ้านญาติฉันแต่งงานก็ไม่ดูวันเดือนปีเกิดเลย ตอนนี้คนอื่นก็อยู่กันอย่างมีความสุขจะตายไป”
ตู้เซียวหยู่ก็พูดคล้อยตามกัน:“ก็ใช่น่ะสิคะ ที่สำคัญคือเด็กๆรักกันถึงจะสำคัญที่สุด”
ทั้งสองพูดปลอบใจฝ่ายตรงข้ามและปลอบใจตัวเองอย่างไม่หยุด ภายนอกดูไม่มีอะไรแล้ว แต่คำว่า‘ไม่ใช่แยกจากกันก็ตายจากกัน’ของหมอดูสุดท้ายก็เหมือนก้อนหินใหญ่ทับอยู่บนอก ยังไงก็ยกออกไปไม่ได้ ทั้งสองเดินออกมาจากในซอยลึกๆ กลับมาถึงถนนที่เจริญรุ่งเรืองและคึกคัก
ทั้งสองเดินไปข้างหน้าด้วยฝีเท้าที่พร้อมเพรียงกัน จู่ๆก็ได้หยุดลงมาพร้อมกัน แล้วมองฝ่ายตรงข้ามทีนึง
เหลียงหย่าเหอค่อนข้างร้อนตัว เธอได้ถามเสียงเบา:“หรือไม่ เราเปลี่ยนไปดูอีกที่มั้ยคะ?”
ตู้เซียวหยู่ถอนหายใจ คิดไม่ถึงว่าเธอจะคิดไปในทางเดียวกันกับตัวเอง ดังนั้นจึงได้พยักหน้าอย่างเห็นด้วย:“โอเคค่ะ ฉันก็รู้สึกเปลี่ยนไปดูอีกที่ หมอดูคนนั้นคาดว่าคงจะดูไม่แม่นหรอกค่ะ”
“อืม เขาฝีมือไม่ถึงขั้นแน่ๆ เราเปลี่ยนไปดูอีกที่ดีกว่าค่ะ”
เพราะฉะนั้นทั้งสองก็เลยเปลี่ยนไปดูอีกที่นึง ปรากฏผลที่ดูออกมาก็ไม่ดีเหมือนเดิม ครั้งที่สองเหลียงหย่าเหอเห็นผลที่ไม่ดีอันนี้ สีหน้าแย่จนอยากจะอัดคนแล้ว
ตอนที่ทั้งสองได้กลับมาบนถนนที่เจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง ก็ใกล้เที่ยงแล้ว
“นี่ก็ไม่เช้าแล้ว พวกเราไปหาอะไรทานหน่อยดีกว่าค่ะ?”
“โอเคค่ะ”
ทั้งสองจึงได้ไปร้านอาหารที่อยู่ระแวกนี้ เตรียมนั่งลงมาทานอะไรสักหน่อย ใครจะไปรู้ตอนที่พนักงานมาถามทั้งสองว่าจะสั่งอะไร ทั้งสองต่างก็พูดไม่ออก สุดท้ายแค่พูด:“อะไรก็ได้ เสิร์ฟมาเถอะ”
พนักงานจึงได้สั่งอาหารซิกเนเจอร์ของร้านให้พวกเธอ
แต่หลังจากกับข้าวมาเสิร์ฟ ทั้งสองจับตะเกียบขึ้นมา และกินอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทั้งสองต่างก็ไม่อยากอาหาร แค่ฝืนทานรองท้องนิดหน่อย
ตู้เซียวหยู่หยิบทิชชูเช็ดมุมปาก และเงยหน้ามองไปที่เหลียงหย่าเหอ“หรือไม่วันนี้เรากลับกันก่อนมั้ยคะ?”
เพราะดูดวงของเมื่อกี๊ ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายอึดอัดจะแย่ เหลียงหย่าเหอก็ไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆ ได้แต่พยักหน้า
“โอเคค่ะ กลับไปก่อนดีกว่า”
“อืม เรื่องของวันนี้อย่าเพิ่งบอกกับเด็กสองคนเลยค่ะ”
เหลียงหย่าเหอพยักหน้าอย่างเห็นด้วย:“ฉันก็รู้สึกยังบอกกับพวกเขาไม่ได้ ความสัมพันธ์ของเด็กสองคนนี้ดีมาก ที่จริงสมัยนี้เชื่อสิ่งนี้ไม่ได้แล้ว ต่างก็เป็นคนหนุ่มสาวสมัยใหม่แล้ว ถ้ารู้ว่าพวกเราไปดูดวงให้พวกเขา ยังไม่แน่ว่าจะต่อว่าพวกเรายังไงเลยค่ะ?”
“ใช่ๆๆ กลับกันก่อนดีกว่าค่ะ”
หลังจากทั้งสองมีความคิดเป็นหนึ่งเดียว ก็ได้ต่างฝ่ายต่างกลับบ้าน
ส่วนเจียงเสี่ยวไป๋กับเซียวซู่ไม่รู้ว่าแม่ของพวกเราได้ปิดบังตัวเองไปดูดวง อีกทั้งผลที่ดูออกมาก็ไม่ใช่ผลที่ดีด้วย
。
ส่วนอีกด้านนึงสวี่เย็นหวั่นอยากคืนบริษัทให้หานชิง เพราะตอนนี้เธอรู้สึกตัวเองไม่มีหน้ารับเงินทุนของหานชิงมาพลิกฟื้นตระกูลสวี่แล้ว
แต่หลังจากรู้เรื่องหลินสวี่เจิ้งได้มาหาเธอ ให้เธออย่าทำงานด้วยอารมณ์
เพราะเมื่อก่อนมิตรภาพของบริษัทตระกูลสวี่กับบริษัทตระกูลหานไม่เลว ครั้งนี้หานชิงก็เพราะเห็นแก่ตระกูลสวี่ถึงทำเรื่องนี้ ส่วนสวี่เย็นหวั่นเป็นลูกสาวคนเดียวของตระกูลสวี่ ย่อมต้องให้เธอมาดำเนินการอยู่แล้ว
ตอนแรกสวี่เย็นหวั่นยังคิดไม่ปลง หลินสวี่เจิ้งจึงได้พูดตรงๆเลย
“เธอมีอะไรคิดต้องไม่ปลงด้วย? หรือว่าเธออยากให้ตระกูลสวี่ตกต่ำจริงๆ? หรืออยากเหมือนบริษัทตระกูลเห้อสูญหายไปจากสายตาผู้คน? ผลที่ทำงานด้วยอารมณ์ เป็นผลที่เธออยากได้จริงเหรอ?”
จากนั้น สวี่เย็นหวั่นก็ถูกหลินสวี่เจิ้งหว่านล้อม
“เรื่องที่เห้อเหลียนจิ่งทำ ถึงแม้ภายนอกดูเกี่ยวข้องกับเธอ ทำเพื่อเธอ แต่ถ้าไม่ใช่เขานิสัยร้ายกาจโหดเหี้ยม.เขาไม่ทำเรื่องน่ากลัวแบบนี้ออกมาหรอก ริษยา โกรธ ล้วนเป็นอารมณ์ที่มนุษย์ต่างก็มี ใครก็หนีไม่พ้น แต่แค่สิ่งที่อิจฉาริษยาไม่เหมือนกัน แต่ที่พวกเราต้องทำ ก็คือถ้าเกิดอารมณ์พวกนี้จริงๆ ก็ต้องควบคุมตัวเองดีๆ อย่าไปทำพฤติกรรมที่ทำร้ายคนอื่นและทำร้ายตัวเอง นี่เป็นหน้าที่ของพวกเรา”
หลินสวี่เจิ้งพูดเหตุผลกับสวี่เย็นหวั่นด้วยคำพูดและคำชี้แนะสั่งสอนที่จริงใจเหมือนพี่ชายคนนึง สวี่เย็นหวั่นมองหลินสวี่เจิ้งที่เป็นแบบนี้ แล้วคิดฉากที่ตอนนี้เขาโดดเดี่ยวเดียวดาย จู่ๆส่งเสียงพูด:“พี่หลิน”
น้ำเสียงของเธอไม่ค่อยเหมือนเดิม ทำให้หลินสวี่เจิ้งหยุดท่าทางที่พูดจาลงมา จากนั้นได้หันมามองเธอ
“เป็นอะไร?”
“ขอบคุณพี่มากค่ะ”
สวี่เย็นหวั่นกล่าวขอบคุณกับเขาอย่างจริงจัง คิดไม่ถึงเวลานี้ยังมีคนยอมพูดพวกนี้กับเธอ ในใจเธอเหมือนมีก้อนหินทับไว้ติดต่อกันหลายวัน ยังไงก็บรรเทาไม่ได้ หลังจากได้ฟังคำพูดเหล่านี้ของหลินสวี่เจิ้ง เธอรู้สึกในที่สุดตัวเองก็สามารถหายใจได้แล้ว
หลินสวี่เจิ้งกลับมองเธออย่างจริงจังทีนึง
“ขอบคุณพี่ทำไม? เธอควรจะขอบคุณตัวเองมากกว่า ที่ไม่ได้ทำเรื่องที่ทำให้เธอเสียใจแต่ก็สายเกินไป แต่เธอถือว่าเป็นคนที่พี่เห็นมาแต่เล็กจนโต หลังจากเสี่ยวเหยียนออกจากโรงพยาบาล เธอเคยไปเยี่ยมหรือยัง?”
สวี่เย็นหวั่นฟังแล้วอึ้งไปครู่นึง จากนั้นได้ส่ายหัว:“ไม่ได้ไปค่ะ”
“มีโอกาสก็ไปเยี่ยมหน่อยเถอะ คุณหนูของตระกูลสวี่ควรจะปล่อยวางได้ เธอกับเสี่ยวเหยียนก็ควรจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แต่ไม่ใช่เป็นเหมือนตอนนี้”
เพื่อนที่ดีต่อกัน?
สวี่เย็นหวั่นค่อนข้างลังเล เธอกับเสี่ยวเหยียนสามารถกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเหรอ?
จู่ๆ สวี่เย็นหวั่นนึกถึงคำพูดที่ทั้งสองคุยกันในร้านกาแฟก่อนหน้านี้ ตอนนั้นท่าทีที่เสี่ยวเหยียนมีต่อเธอคือความหวังดี
“ถ้าเธอมีใจอยากขอโทษจริงๆ ควรจะแสดงความจริงใจเธอออกมานะ”