บทที่1497 จอมปีศาจเอาใจภรรยา
หานชิงไม่คิดว่ามารดาของตัวเองทำผิดต่อบิดาของตนเอง
แต่กลับรู้สึกผิดมาก เพราะถ้าไม่ใช่เขา บิดาของเขาก็อาจจะไม่ต้องตายก็ได้
แต่เรื่องราวที่มันผ่านไปแล้ว จะพูดยังไงมันก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้
ดังนั้นเขาจึงต้องพยายามตามหาน้องสาวให้เจอ หลังจากหาเจอแล้ว เขาจะต้องทำดีกับเธอให้มากๆ ให้สมกับที่เขาเป็นพี่ชาย ทุ่มเทความรักที่พี่ชายอย่างเขามีให้น้องสาว กับความรักของบิดาที่มีต่อน้องสาว ความรักของมารดาที่มีต่อน้องสาว มอบให้เธอทั้งหมด
พอได้ยินถึงตรงนี้ ภายในใจของเสี่ยวเหยียนนอกจากตกตะลึงแล้วก็มีแต่ความปวดใจ เธอคิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องราวมันจะเศร้าถึงขนาดนี้
และสิ่งที่ทำให้เธอเสียใจมากที่สุดก็คือ ความรู้สึกที่มันควบคุมไม่ได้ คุณนายหานเริ่มรักชายหนุ่มที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กๆ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกผิดต่อสามีที่เสียไปแล้ว ส่วนบิดาของมู่จื่อที่ทุ่มเทใจให้ทั้งหมด กลับต้องจากไปโดยที่ยังไม่ทันจะได้รู้ว่าอีกฝ่ายเริ่มรักตนเองไปแล้ว
แน่นอนว่าคนที่น่าสงสารที่สุดก็คือหานชิง
เขาต้องสูญเสียคนในครอบครัวในเวลาติดๆ กันถึงสามคน อีกทั้งยังเป็นครอบครัวที่สำคัญของเขาด้วย สำหรับเขาแล้ว คงจะเป็นความเจ็บปวดที่หนักหนาสาหัสน่าดู
ยิ่งคิด ขอบตาของเสี่ยวเหยียนก็เริ่มมีน้ำตาคลอ เธอยื่นมือออกไปกอดหานชิงไว้แน่น
“เป็นอะไรไปคนเก่ง” หานชิงถามยิ้มๆ
“จากนี้ไปฉันจะทำให้คุณรู้สึกอุ่นใจเองค่ะ ฉันกับลูกจะอยู่เคียงข้างคุณตลอดไป จะแก่ไปพร้อมกับคุณ”
หานชิงคิดไม่ถึงเลยว่าตนเองเล่าเรื่องราวของตนเองออกไป จะทำให้เธอพูดสารภาพรักออกมาได้ลึกซึ้งถึงขนาดนี้ ทำให้หัวใจของเขารู้สึกอบอุ่นใจมาก
ที่จริงแล้วหลังจากที่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับเธอ หานชิงก็ไม่ได้รู้สึกหนาวใจอีกเลย
เมื่อก่อนนอกจากอยู่ต่อหน้าน้องสาวเขาถึงได้มีสีหน้าอบอุ่นอ่อนโยน ถ้าเป็นช่วงอื่นเขาจะดูเยือกเย็นไร้ความรู้สึก
แต่ตอนนี้กลับเริ่มมีความอบอุ่นมากยิ่งขึ้นแล้ว
“คุณพูดเองนะ ห้ามผิดสัญญาเด็ดขาด ไม่อย่างนั้น…” หานชิงหยุดพูดไปสักพัก ก่อนจะใช้เสียงทุ้มกระซิบที่ข้างหูของเสี่ยวเหยียน “ถึงจะต้องตามไปถึงยมโลกผมก็จะไม่ปล่อยคุณไปแน่ๆ”
เพราะลูกทั้งสองคนยังแบเบาะ เสี่ยวเหยียนอยู่บ้านคนเดียวก็เบื่อ ดังนั้นหานมู่จื่อจึงพาเสี่ยวโต้วหยามาเล่นด้วยบ่อยๆ เวลาผ่านไปแปดเดือน เสี่ยวโต้วหยาดูน่ารักมากขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาคู่นั้นเหมือนดวงตาของหานมู่จื่อมาก อีกทั้งเธอยังเรียกคุณป้าได้แล้ว แต่ฟังดูไม่ค่อยจะชัดเจน นี่เป็นผลลัพธ์ที่เสี่ยวเหยียนอุตส่าห์ฝึกฝนมาหลายรอบ
เด็กน้อยดูท่าทางจะฉลาดมาก ดวงตาเป็นประกาย เหมือนจะสื่อความหมายออกมาได้ แต่อย่าให้อีกฝ่ายยิ้มเชียว พอยิ้มทุกอย่างก็จบ
เพราะรอยยิ้มของเธอดูซื่อบื้อมาก แต่เธอกลับชอบยิ้มมาก
พอเห็นมู่จื่อ เสี่ยวเหยียนก็นึกถึงเรื่องที่หานชิงเล่าให้ฟัง พอคิดว่ามู่จื่อกับหานชิงเป็นพี่น้องคนละพ่อขึ้นมา
ถึงแม้จะคิดถึงเรื่องนี้ แต่เธอก็ไม่ปากพล่อยแน่นอน
“คุณป้าครับ ผมกับหม่ามี๊แล้วก็เสี่ยวโต้วหยามาอยู่เป็นเพื่อนครับ”
เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เสี่ยวหมี่โต้วสูงขึ้นเยอะมาก ดูโตเป็นเด็กหนุ่มแล้ว ส่วนสูงมันก็สูงอยู่หรอก แต่ทำไมถึงได้ผอมลงถึงขนาดนี้ แทบไม่มีแก้มให้หยิกเลย
เสี่ยวเหยียนโค้งตัวลง แล้วยื่นมือไปหยิกแก้มของเขา
“เสี่ยวหมี่โต้ว ทำไมเราสูงขึ้น แต่ไม่มีเนื้อเลยล่ะ”
พอได้ยินแบบนี้ เสี่ยวหมี่โต้วก็บ่นพึมพำ “ก็เพราะน้าเสี่ยวเหยียนกลายเป็นคุณป้าแล้ว ไม่มีเวลามาสนใจเสี่ยวหมี่โต้วไงครับ”
เมื่อก่อนเสี่ยวเหยียนเอาอกเอาใจเสี่ยวหมี่โต้วมาก อีกทั้งเสี่ยวหมี่โต้วยังชอบอาหารฝีมือเสี่ยวเหยียนมากด้วย แต่หลังจากที่เธอตั้งท้อง เสี่ยวหมี่โต้วก็ไม่กินอาหารฝีมือเสี่ยวเหยียนอีกเลย
เดิมทีคิดว่าเป็นคุณป้าสะใภ้แล้วเขาจะได้เจอเธอทุกวัน ได้กินอาหารฝีมือของเธอทุกวัน แต่ใครจะคิดว่ามันไม่เหมือนกับที่เขาคิดเอาไว้เลยแม้แต่นิดเดียว
หม่ามี๊ถูกแด๊ดดี๊ครอบครองไว้ แด๊ดดี๊บ้าจริงๆ เลย ทำเหมือนหม่ามี๊เป็นของเขาแค่คนเดียวอย่างนั้นแหละ ถ้าไม่ใช่แด๊ดดี๊ก็เป็นเสี่ยวโต้วหยา แต่เสี่ยวโต้วหยาเป็นน้องสาวของเขา ดังนั้นเขาจึงยอมอ่อนให้
เสี่ยวหมี่โต้วทำสีหน้าไม่ยอมแพ้ให้กับเย่โม่เซิน
“โถโถโถ” เสี่ยวเหยียนขยี้เส้นผมของเสี่ยวหมี่โต้วอย่างมันเขี้ยว จนทรงผมของเสี่ยวหมี่โต้วเสียทรงไปจนหมด “ทำไมขี้งอนจังเรา งั้นคุณนี้ป้าสะใภ้ทำอะไรอร่อยๆ ให้กินเอาไหมจ๊ะ”
เสี่ยวหมี่โต้วหันหลังด้วยท่าทางงอนๆ
“เอาล่ะ อย่าโกรธป้าสะใภ้เลยนะ ก่อนหน้านี้ป้าสะใภ้อุ้มท้องอยู่ก็เลยไม่ทันได้สนใจหลาน แต่ป้าสะใภ้ไม่เคยลืมเสี่ยวหมี่โต้วเลยนะ ป้าสะใภ้คิดถึงเสี่ยวหมี่โต้วทุกวันเลย ตอนนี้ป้าสะใภ้ไม่ยุ่งแล้ว จากนี้ไปหลานอยากจะมาหาป้าสะใภ้เมื่อไหร่ก็ได้ หรือว่าจะย้ายมาอยู่กับป้าเลยก็ได้นะ”
“เอาล่ะ” หลินมู่จื่อมาหยุดยืนข้างหลังเสี่ยวหมี่โต้ว แล้วจิ้มหลังของเด็กน้อย “ลูกกี่ขวบแล้ว เอาแต่ตัวติดกับป้าสะใภ้ ไม่รู้หรือไงว่าคนท้องลำบากมากแค่ไหน ตอนที่หม่ามี๊ท้องลูกหม่ามี๊ก็เหนื่อยมากเหมือนกันนะ”
พอได้ยินแบบนี้ เสี่ยวหมี่โต้วจึงรีบกอดขาหานมู่จื่อไว้แล้วเงยหน้าพูด “ลำบากหม่ามี๊แล้วครับ เสี่ยวหมี่โต้วแค่อยากจะแกล้งป้าสะใภ้เท่านั้นเองครับ”
วันนี้เสี่ยวเหยียนรับหน้าที่ทำอาหาร เธอกดโทรไปหาหานชิง บอกกับเขาว่าเสี่ยวหมี่โต้วกับหานมู่จื่อมาที่บ้าน หานชิงจึงตอบกลับมาว่าตอนกลางวันจะกลับมากินข้าวด้วย
เสี่ยวเหยียนทำการนับคน ก่อนจะเตรียมทำกับข้าวปริมาณที่เพียงพอสำหรับหกคน
เธอ มู่จื่อ แม่ของเธอ หานชิง เสี่ยวหมี่โต้วและเสี่ยวโต้วหยา
หลัวหุ้ยเหม่ยเห็นเธอตักข้าวสารจึงอดที่จะถามออกมาไม่ได้ “ลูกจะเตรียมอาหารสำหรับกี่คน”
“หกคนค่ะ”
“แค่หกคน ไม่มีแล้วเหรอ”
หลังจากที่เสี่ยวเหยียนนับคนเสร็จ หลัวหุ้ยเหม่ยก็เดินเข้ามาหาเธอ “เด็กคนนี้ เป็นแม่คนแล้วนะ ทำไมถึงยังไม่รู้อะไรอีก พวกเรามีกันหกคน งั้นลูกจะต้องเตรียมอาหารประมาณเจ็ดคน เผื่อจะมีคนกระเพาะอาหารใหญ่ หรือเผื่อจะมีแขกมาเพิ่ม”
พอได้ยินคำสั่งสอนของมารดา เสี่ยวเหยียนรู้สึกว่ามีเหตุผล จึงเพิ่มปริมาณข้าวสาร
“อีกอย่างนะลูก สามีของหนูมู่จื่อวันนี้ไม่มาด้วยเหรอลูก แม่ว่าลูกหุงข้าวเพิ่มอีกหน่อยเถอะ แม่คิดว่าเขาคงจะตามมาทีหลังแน่นอน”
“ไม่เป็นไรค่ะ มู่จื่อบอกกับหนูแล้ว สามีของเธอมีประชุมตอนช่วงกลางวัน ไม่มีเวลามาที่นี่หรอกค่ะ”
ไม่อย่างนั้นเธอคงจะเตรียมอาหารให้พอสำหรับเจ็ดคนแล้ว
“ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ใครจะไปรู้ว่าการประชุมจะถูกยกเลิกกลางคันหรือเปล่าถ้าเขามาจริงๆ แล้วไม่มีข้าวกินขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ”
“จริงด้วยค่ะ” เสี่ยวเหยียนเกาท้ายทอย “งั้นหนูทำเพิ่มเผื่อไว้ดีกว่าค่ะ”
“ลูกนี่คะ เรื่องพวกนี้ลูกต้องเรียนรู้ไว้บ้าง ปกติถ้ามีพวกลูกแค่ของคนก็ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ แต่ถ้ามีแขกมาที่บ้าน ต้องระวังไว้บ้าง จะได้ไม่เกิดสถานการณ์อึดอัดขึ้นมาได้”
“อืม”
หลัวหุ้ยเหม่ยเห็นว่าลูกสาวของตัวเองมีท่าทางเก้ๆ กังๆ เธอผู้เป็นมารดาที่ผ่านประสบการณ์มาโชกโชนจึงร้อนใจแทน เธอดีดหน้าผากลูกสาวเบาๆ “จากนี้ไปเรียนรู้ไว้บ้างล่ะเราน่ะ”
เป็นไปตามที่คาด ยังไม่ถึงช่วงเที่ยง รถของเย่โม่เซินก็มาจอดตรงหน้าประตูบ้าน หลังจากที่ประตูรถถูกเปิดออก รูปร่างสูงยาวก็เดินลงมาจากรถ
เย่โม่เซินยังคงหล่อเหลาไม่เปลี่ยน ไหล่กว้าง ขายาว ออร่ารอบตัวดูน่าเกรงขามมาก คงไม่มีใครคิดถึงว่าเขาจะพะเน้าพะนอภรรยาเสียขนาดนั้น