บทที่1498 จัดการเตรียมงานหมั้นให้ได้แล้ว
เขาเดินลงจากรถแล้วเดินตรงเข้ามาข้างใน
เงาร่างเล็กยืนขวางหน้าประตู แล้วมองเขาด้วยสีหน้าไม่พอใจ ก่อนจะพูดขัดขึ้นมาซะก่อน
“แด๊ดดี๊ ทำไมแด๊ดดี๊ถึงทำตัวเหมือนแมลงวันเลยล่ะครับ ทั้งๆที่มีประชุม แต่กลับไม่ตั้งใจนั่งประชุม ดื้อจะตามมาด้วยอีก”
คนที่พูดไม่ใช่คนอื่นไกล แต่คือเสี่ยวหมี่โต้วนั่นเอง
ถึงแม้เขาจะสูงขึ้นบ้างแล้ว แต่พอเทียบกับเย่โม่เซินแล้ว เขายังเตี้ยกว่าเยอะมาก ตรงจุดนี้เสี่ยวหมี่โต้วไม่ยอม เขาจะต้องกินข้าวเยอะๆ ออกกำลังกาย โตมาจะได้ตัวสูงกว่าเย่โม่เซิน
พอได้ยินแบบนี้ เย่โม่เซินก็แสยะยิ้ม ก่อนจะเดินมาหยุดลงตรงหน้าเด็กน้อย แล้ววางมือลงตรงศีรษะของคนตรงหน้า
เสี่ยวหมี่โต้วไม่ยอมแพ้ เขาพยายามดิ้นให้หลุดจากมือของเย่โม่เซิน แต่เรี่ยวแรงของเด็กจะไปสู้กับผู้ใหญ่ได้ยังไงกัน
ดังนั้นเสี่ยวหมี่โต้วจึงได้แต่ถูกเย่โม่เซินกดไว้
พอเห็นลูกชายพยายามดิ้นรนออกจากการจับของเขาแล้วไม่หลุด เย่โม่เซินก็รู้สึกตลกมาก จึงพูดล้อลูกชาย “ขนาดแค่ฝ่ามือเดียวยังดิ้นไม่หลุด ยังจะกล้าพูดแบบนี้กับพ่อของตัวเองอีกเหรอ”
โธ่ น่าโมโหที่สุดเลย
เสี่ยวหมี่โต้วถลึงตาใส่เย่โม่เซินอย่างโมโห ก่อนจะตะโกนเรียกผู้ช่วย “หม่ามี๊ครับ ช่วยด้วยครับ แด๊ดดี๊รังแกผมครับ”พอได้ยินลูกชายตะโกนเรียกหม่ามี๊ เย่โม่เซินก็รีบปล่อยมิย่างรวดเร็ว ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นเหมือนเดิม เหมือนคนที่รังแกลูกชายก่อนหน้านี้ไม่ใช่ตัวเขา
ส่วนเสี่ยวหมี่โต้ว ถือโอกาสตอนที่เย่โม่เซินปล่อยมือ จึงรีบหันหลังแล้ววิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว
เย่โม่เซินยืมมอง พอไม่เห็นเงาของหานมู่จื่อ แต่เจ้าตัวเล็กกลับวิ่งหนีไปก่อนแล้ว
หึ เจ้าเล่ห์จริงๆ
นี่ก็คือลูกชายของเขาเย่โม่เซินผู้นี้จริงๆเหรอ นอกจากหน้าตาที่เหมือนเขาแล้ว ย่างอื่นไม่มีอะไรเหมือนเลย อายุแค่นี้ก็เริ่มเจ้าเล่ห์ คิดจะแย่งผู้หญิงของพ่อซะแล้ว
ดูท่า เขาควรจะเลือกคู่ดูตัวให้ลูกชายตัวเองได้แล้ว ให้เขาพุ่งความสนใจไปที่เรื่องของตัวเอง จะได้ไม่มีเวลามาแย่งผู้หญิงของพ่ออีก
หลังจากเห็นเย่โม่เซินปรากฏตัว เสี่ยวเหยียนก็โล่งใจที่เชื่อคำพูดของแม่ ไม่อย่างนั้นข้าวกลางวันคงไม่พอแน่ๆ
แต่เธอแปลกใจมาก ไหนมู่จื่อบอกว่าเขามีประชุมไง แต่สุดท้ายกลับตามมาจนได้ สมกับฉายาติดเมียจริงๆ
ติดเพื่อนเธอมาก
พอเห็นบุคคลยิ่งใหญ่แบบนี้มาอยู่ในบ้านของตัวเอง อีกอย่างเธอเองก็ได้แต่งงานกับหานชิง แล้วก็มีลูกฝาแฝดด้วยกัน
ทุกอย่างดูงดงามและเป็นจริง
เพราะเธอเองก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมีโอกาสมาอยู่ด้วยกันได้ แล้วยังได้เป็นครอบครัวเดียวกันอีก
หลังจากเสี่ยวหมี่โต้วเข้าไป เขาก็นั่งชิดหานมู่จื่อแล้วกอดแขนของเธอไว้แน่น ก่อนจะตีสีหน้าเศร้า แล้วเย่โม่เซินก็เดินตามเข้ามา ยังไม่ทันที่เสี่ยวหมี่โต้วจะฟ้องจนจบ เขาก็ถูกดึงตัวขึ้นมาซะก่อน แล้วถูกวางไปอีกด้าน
หลังจากนั้น เย่โม่เซินก็นั่งลงแทนที่เสี่ยวหมี่โต้ว
พอเห็นฉากนี้ เสี่ยวเหยียนก็ไม่รู้ว่าควรจะทำสีหน้ายังไง
พร้อมกับนิ่งคิด ถ้าในอนาคตลูกชายทั้งสองคนของเธอโตขึ้น หานชิงจะทำเหมือนเย่โม่เซินหรือเปล่าแต่พอมาคิดดูดีๆ น่าจะไม่ใช่ นิสัยของหานชิงเป็นคนเงียบ ถึงแม้ทั้งสองคนจะเปลี่ยนไปเยอะมาก แต่นิสัยของคนเปลี่ยนไม่ได้
ถึงแม้จะเปลี่ยนไป ก็คงไม่มากจนเกินไป
ดังนั้นหานชิงคงไม่น่าจะเป็นอย่างนี้
หลังจากที่เสี่ยวหมี่โต้วถูกดึงออกไป เขาก็กอดอกแก้มป่องอย่างไม่พอใจ รอคืนนี้เขาจะต้องคิดแผนการปกแค้นแด๊ดดี๊ให้ได้เลย
ส่วนหานมู่จือกลับดูเคยชินกับสงครามระหว่างสองพ่อลูกแล้ว เพราะมันเกิดขึ้นมานานแล้ว เย่โม่เซินกับเสี่ยวหมี่โต้วชอบเอาชนะกันอยู่แล้ว ดังนั้นเห็นการกระทำของเย่โม่เซิน เธอก็ทำเหมือนมองไม่เห็น ไม่รู้อะไรทั้งนั้น
ยังไงหานมู่จื่อก็รู้ดี ว่าอีกไม่นาน เสี่ยวหมี่โต้วจะต้องแก้เผ็ดคืนแน่นอน แล้วสองพ่อลูกก็จะคิดแผนแก้แค้นกันไปมา
ฉลาดเกินไป ก็ไม่ใช่เรื่องดี
หานมู่จื่อนั่งกอดเสี่ยวโต้วหยาเงียบๆ แล้วเริ่มรู้สึกว่าลูกสาวที่ไร้เดียงสาก็น่ารักไปอีกแบบ
รอจนหานชิงกลับมาถึง แล้วเห็นกลุ่มคนที่นั่งอยู่ในบ้าน กำลังคุยกันอย่างสนุกสนาน มีภรรยาของเขากับลูกๆของเขา มีน้องสาวของเขา น้องเขยและหลานๆของเขาอยู่ด้วยกัน
“พี่คะ กลับมาแล้วเหรอคะ”
“คุณลุงครับ/คะ”เสี่ยวหมี่โต้วกับเสี่ยวโต้วหยาทักทายขึ้นมาพร้อมกัน
สายตาที่เย็นชาของเขาเริ่มมีประกายอบอุ่นขึ้นมาทันที ก่อนจะตอบรับสั้นๆ เย่โม่เซินกับหานชิงแค่มองหน้ากันเล็กน้อย
การทักทายระหว่างผู้ชายด้วยกันเรียบง่าย ไม่เหมือนผู้หญิง รวมถึงนิสัยของทั้งสองคนที่ค่อนข้างเย็นชาด้วย ถ้าหากเป็นคนอื่นเย่โม่เซินแทบจะไม่สนใจเลยด้วยซ้ำ แต่คนตรงหน้าเป็นพี่ชายของภรรยา เขาจึงต้องกล่าวทักทายตามมารยาท
หานชิงถอดเสื้อคลุม แล้วเข้าไปล้างมือแล้วเดินมานั่งลงข้างๆเสี่ยวเหยียน
“แม่ล่ะครับ”
เพราะไม่เห็นหลัวหุ้ยเหม่ย หานชิงก็เลยรู้สึกแปลกใจ เพราะตอนที่โทรศัพท์คุยกันเขาเหมือนจะได้ยินเสียงของหลัวหุ้ยเหม่ยอยู่ในสายด้วย
เสี่ยวเหยียนลุกขึ้นไปตักข้าวให้ แต่หานชิงกลับรับชามมาจากมือของเสี่ยวเหยียน แล้วตัวเองทำการไปตักข้าวเอง พอเขากลับมานั่ง เสี่ยวเหยียนก็พูดอธิบาย “เมื่อตะกี้ที่ร้านโทรมา บอกว่าที่ร้านเกิดปัญหาขึ้นค่ะ แม่ไม่สบายใจก็เลยกลับไปจัดการเองค่ะ แม่ส่งข้อความมาบอกว่าจะกินข้าวเที่ยงที่ร้านเลยค่ะ”
“อืม”หานชิงพยักหน้าเข้าใจ แล้วมองไปทางหานมู่จื่อที่นั่งอยู่ตรงข้าม เห็นว่าใบหน้าของเธออมชมพูเห็นได้ชัดว่าถูกดูแลอย่างดี จึงเพิ่มคะแนนพึงพอใจให้เย่โม่เซินในใจ
“น้องเขยดูแลน้องสาวดีมากเลยนี่นา น้องสาวผมดูอิ่มเอิบมาก”
พอได้ยินแบบนี้ เย่โม่เซินก็ยักคิ้ว แล้วดึงหานมู่จื่อเข้ามาในอ้อมกอด ก่อนจะกระซิบที่ข้างหูเธอ “ได้ยินไหมที่รัก พี่ชายคุณบอกว่าผมเลี้ยงดูคุณได้ดี”
หานมู่จื่อคิดไม่ถึงว่าเย่โม่เซินจะดึงเธอเข้ามากอดต่อหน้าเพื่อนและครอบครัวของเธอกะทันหันแบบนี้ ถึงแม้ทุกคนจะรู้ว่าพวกเธอรักกัน แต่จะทำแบบนี้ต่อหน้าแบบนี้ไม่ได้นะ มันน่าอายจะตาย
พอนึกถึงตรงนี้ หานมู่จื่อก็รีบผลักเขาออกไป แล้วพูดเตือน “อย่าทำแบบนี้ค่ะ เราอยู่ข้างนอก”
เย่โม่เซินขยับเข้าไปหาอีกครั้ง ก่อนจะจุมพิตที่แก้มของเธอ “ได้ครับ งั้นคืนนี้กลับไปผมค่อยกอดก็ได้”
พอได้ยินแบบนี้ หานมู่จื่อก็ริมฝีปากกระตุก คนคนนี้ทำไมหน้าด้านแบบนี้
ส่วนหานชิงกลับไม่รู้สึกเขินอาย แต่กลับรู้สึกพึงพอใจในตัวเย่โม่เซินมากขึ้น
น้องเขยของเขาควรจะเป็นแบบนี้ ไม่ต้องกลัวสายตาคนอื่น ถ้าหากอะไรก็กลัว ต้องกังวล คนที่ต้องเสียใจจะต้องเป็นน้องสาวของเขาแน่นอน
เขาทำแบบนี้ ดีกว่ามาก
หลังจากกินข้าวเสร็จ หานมู่จื่อยังคงเล่นกับสองแฝดสักพัก แต่กลับถูกเย่โม่เซินดึงกลับไป ทิ้งเสี่ยวหมี่โต้วไว้ที่บ้านพี่ชาย
ระหว่างทางกลับ เย่โม่เซินก็หันไปพูดกับหานมู่จื่อ
“คุณไม่คิดบ้างเหรอ ว่าลูกชายของเราโตแล้ว”
“อืม ปีนี้ตัวสูงขึ้นเยอะอยู่เหมือนกันค่ะ”
“เตรียมหาคู่หมั้นให้ลูกได้แล้ว”
หานมู่จื่อ “???”