บทที่1499 ห้ามแย่งผู้หญิงของฉัน
“คุณพูดว่าอะไรนะคะ” หานมู่จื่อนึกว่าตัวเองฟังผิดหรือเปล่า เสี่ยวหมี่โต้วอายุแค่เท่าไหร่เอง ถึงคิดจะจัดการหาคู่หมั้นหมายให้ลูก เขาคงไม่ได้กำลังคิดจะจัดงานดูตัวให้ลูกชายใช่ไหม
หานมู่จื่อคิดว่าเขาจะพูดเล่น แต่เย่โม่เซินกลับเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ก่อนจะเอ่ยพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“หลายวันก่อนผมเห็นลูกสาวของบริษัทตระกูลถาง หน้าตาน่ารัก น่าจะเหมาะสมกับเสี่ยวหมี่โต้วมาก”
“อะไรนะคะ”
เย่โม่เซินกระแอม ที่จริงแล้วเขารู้สึกผิดเล็กน้อย เพราะเขาแทบไม่ทันได้สังเกตเลยว่าลูกสาวของบริษัทตระกูลถางหน้าตาเป็นยังไง ได้ข่าวมาว่าลูกสาวของบริษัทตระกูลถางอายุน้อยกว่าเสี่ยวหมี่โต้วหนึ่งหรือสองปี เขาถึงได้จำเรื่องนี้ได้
ส่วนเรื่องที่ว่าหน้าตาเป็นยังไงมันไม่ใช่เรื่องสำคัญ ที่สำคัญคือจัดการหมั้นหมายให้เสี่ยวหมี่โต้ว ลูกชายของเขาจะได้ไม่ทำตัวติดกับภรรยาของเขาเกินไป
“ผม ผมนัดเวลาคุยกับอีกฝ่ายดูก่อน แล้วค่อยให้เด็กทั้งสองคนมาเจอกัน”
หานมู่จื่อ “?”
ตั้งแต่เมื่อตะกี้มาจนถึงตอนนี้ เธอยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เธอไม่เข้าใจเรื่องราวเลย อยากจะถามให้แน่ใจ
แต่เย่โม่เซินกลับยังคิดจะดำเนินการเรื่องนี้ต่อ พอได้ยินเขากำลังวางแผนให้ลูกชายกับเด็กสาวเจอหน้ากัน ในที่สุดเธอก็ไม่ไหวอีกต่อไป
“เสี่ยวหมี่โต้วอายุแค่นี้เองนะคะ คุณพูดอะไรของคุณอยู่กันแน่ จริงจังเหรอคะ”
เย่โม่เซินกุมมือของเธอไว้ แล้วมองหน้าเธอนิ่ง
“ใช่ครับ เสี่ยวหมี่โต้วอายุไม่เด็กแล้ว เด็กๆ จะต้องให้รู้จักกันตั้งแต่เด็ก ค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์กันช้าๆ หลังจากเรียนจบก็ให้แต่งงานกันเลย”
หานมู่จื่อเม้มปาก เธอรู้สึกว่าเย่โม่เซินมีความคิดแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ดังนั้นเธอจึงเอ่ยถาม
“คุณคงไม่ได้คิดจะหาคู่หมั้นให้ลูกชาย เพราะฉันหรอกใช่ไหมคะ”
“แล้วจะยังไงล่ะครับ”
คิดไม่ถึงเลยว่าเย่โม่เซินจะยอมรับออกมาตรงๆ แบบนี้ “เขาแย่งคุณทุกวัน คุณเป็นผู้หญิงของผม ดังนั้นต้องหาให้เขาสักคน ให้เขาไปอยู่กับผู้หญิงของเขาแทน”
หานมู่จื่อหมดคำพูด ทำไมถึงได้หึงหวงได้ถึงขนาดนี้นะ
“คุณเย่โม่เซิน ฉันรู้ว่าคุณขี้หึง แต่ก็ต้องมีระดับบ้าง อย่าให้มันมากเกินไป เสี่ยวหมี่โต้วอายุยังน้อย คุณคิดจะหาคู่ให้ลูก มันเกินไปแล้วจริงๆ ไม่มีพ่อแม่คนไหนทำแบบนี้หรอกนะคะ”
“ไม่มีได้ยังไงกัน ในอดีตไงครับ ที่การแต่งงานต้องผ่านการดูตัวไม่ใช่เหรอครับ มีบางคนยังไม่คลอดก็หมั้นหมายกันแล้ว อีกอย่างพวกเราแค่แนะนําให้ทั้งสองคนรู้จักกันเท่านั้นเอง ไม่ได้บอกว่าจะให้เขาแต่งงานกันเลย ให้พวกเขารู้จักกันเป็นเพื่อนกัน ไม่แน่ว่าอาจจะสำเร็จก็ได้นี่ครับ”
ที่เขาพูดมาก็มีเหตุผล หานมู่จื่อโต้เถียงไม่ได้
“ฉันคิดว่าไม่ไหวค่ะ เรื่องนี้มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้”
“งั้นก็ให้พวกเขามาเจอกัน เป็นเพื่อนเล่นกัน ไม่พูดถึงเรื่องหมั้นหมายโอเคไหมครับ”
เพราะถูกหานมู่จื่อปฏิเสธ ดังนั้นเย่โม่เซินจึงต้องรีบเปลี่ยนการพูดใหม่ หานมู่จื่อมองไปทางเย่โม่เซิน แล้วเห็นแววตาที่ตั้งมั่น ดูเหมือนเขาจะไม่ยอมจริงๆ
ถ้าเป็นเพื่อนเล่น เหมือนจะน่ายอมรับมากกว่าคู่หมั้น
“ตอนที่ลูกไปเรียนหนังสือ เพื่อนร่วมโต๊ะเรียนก็เป็นผู้หญิงไม่ใช่เหรอ รู้จักเพื่อนใหม่เพิ่มอีกคน ที่รักคิดว่าไม่ดีเหรอครับ”
ผู้เป็นแม่ ที่จริงแล้วหานมู่จื่อไม่เคยคิดถึงเรื่องพวกนี้เลย ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่คิด แต่มันยังไม่ถึงเวลา เพราะมันน้าจะอีกสิบกว่าปีถึงจะต้องคิดเรื่องนี้ ดังนั้นหานมู่จื่อไม่คิดเลย
พอมาถูกเย่โม่เซินถามตอนนี้ เธอจึงไม่รู้ว่าจะตอบกลับยังไง
คงจะเป็นเพราะว่ามองออกถึงความสับสนใจของเธอ เย่โม่เซินจึงกุมมือของเธอไว้ แล้วค่อยพยายามพูดเกลี้ยกล่อม
“ผมเองก็เป็นพ่อของเขา ถึงแม้จะหึง แต่ผมคงไม่ทำถึงขั้นทำร้ายลูก แค่ให้เขาได้มีเวลาเที่ยวเล่นตามประสาเด็ก อีกอย่างเขาเอาแต่ตัวติดกับคุณทุกวันแบบนี้ก็ไม่ดี คุณต้องแบ่งเวลามาให้ผม แล้วคุณยังต้องแบ่งเวลาให้เสี่ยวหมี่โต้ว กับเสี่ยวโต้วหยา แบบนี้คุณจะเหนื่อยเอาได้ ถ้าลูกมีเพื่อนเล่น คุณจะได้มีเวลาดูแลเสี่ยวโต้วหยามากขึ้นไงครับ”
หานมู่จื่อเริ่มไขว้เขวกับคำพูดเกลี้ยกล่อมของเย่โม่เซิน
เสี่ยวหมี่โต้วตัวติดกับเธอมาก แต่เธอรู้สึกว่ามันโอเค แต่เธอคิดว่าเสี่ยวหมี่โต้วน่าจะลองหาเพื่อนเล่นใหม่ๆ ดู
“เสี่ยวหมี่โต้วมีเพื่อนเพิ่มขึ้นได้ค่ะ เสี่ยวโต้วหยาก็ยังเล็ก ต้องใช้เวลาในการเลี้ยงดูและสั่งสอน แบบนี้ก็ถือเป็นได้กำไรทั้งสองฝ่าย
เย่โม่เซินพูดด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง เหมือนกำลังทำหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพ่อ พยายามปิดความคิดของเขาไม่ให้หานมู่จื่อมองออก
เขานึกว่าหานมู่จื่อไม่รู้
สุดท้ายหานมู่จื่อจึงถลึงตาใส่เย่โม่เซิน ก่อนจะกัดฟันพูด “พูดซะน่าฟัง สุดท้ายคุณก็ทำเพื่อตัวเอง คนที่หึงแม้กระทั่งลูกชายของตัวเอง ฉันเพิ่งเห็นคุณเป็นคนแรก”
แต่ข้อคิดเห็นของเขาถือว่าดี ให้ลูกได้รู้จักเพื่อนใหม่มากขึ้น
ดังนั้นถึงแม้หานมู่จื่อจะไม่ชอบข้อเสนอของเย่โม่เซินมากแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องยอมอยู่ดี
พอเห็นเธอรับปาก เย่โม่เซินก็ดีใจมาก แต่เขาไม่แสดงออกทางสีหน้า
ตอนที่กลับไปช่วงบ่าย การประชุมเขาก็ไม่เรียกกลับมาประชุมต่อ แต่กลับสั่งให้เลขาติดต่อทางฝั่งบริษัทตระกูลถางทันที
ตอนช่วงเย็นเขาก็เดินจูงมือเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกลับบ้านพร้อมกับเขา
หานมู่จื่อเห็นแล้ว สะดุ้งตกใจอย่างแรง
เพราะเด็กผู้หญิงที่เย่โม่เซินมากลับมาด้วย ถึงแม้จะเป็นเด็กผู้หญิง แต่เป็นเด็กผู้หญิงหุ่นจ้ำม่ำ ตากลมๆ หน้ากลมๆ ตัวกลมๆ
ดูไปแล้วเหมือนฟุตบอล
หานมู่จื่อพูดอะไรไม่ออก “คุณแน่ใจใช่ไหมว่าคุณเป็นพ่อแท้ๆ ของเสี่ยวหมี่โต้ว”
ไม่ใช่ว่าเธอดูแคลนคนอ้วน แค่เด็กสาวคนนี้กลมมากจริงๆ เธอแค่รู้สึกว่าในช่วงเที่ยงที่เขาพูดกับที่เธอเห็นในตอนนี้มันแตกต่างกันมากเกินไป
จึงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
เย่โม่เซินเองก็ติดไม่ถึงว่าลูกสาวของอีกฝ่ายจะ…
เขายกกำปั้นมาใกล้ริมฝีปาก ก่อนจะกระแอมออกมา แล้วพูดอย่างดื้อดึง “ยังไงก็แค่ให้เด็กๆ เป็นเพื่อน ถ้าเสี่ยวหมี่โต้วกล้าล้อเลียน ผมจะจัดการสั่งสอนให้”
ตอนที่เสี่ยวหมี่โต้วกลับมาในช่วงเย็นแล้วเห็นว่าบนโต๊ะอาหารมีเด็กสาวตัวอ้วนนั่งอยู่ จึงแสดงสีหน้าแปลกใจ
หานมู่จื่อเห็นลูกชายกลับมาแล้ว จึงรีบกวักมือเรียก
“เสี่ยวหมี่โต้ว กลับมาแล้วเหรอลูก”
เสี่ยวหมี่โต้วมองด้วยสีหน้าสงสัย “หม่ามี๊ครับ เธอเป็นใครครับ”
เด็กสาวกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะอาหาร แล้วกำลังนั่งกินข้าวอย่างมีความสุข เธอกินด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย เสี่ยวหมี่โต้วมองไปดูว่าเธอกำลังกินอะไรอยู่ พอเห็นว่าเป็นแค่บัวลอย
ของพวกนี้เป็นของที่ปกติแล้วเขาจะไม่กิน เพราะมันเลี่ยนเกินไป
แต่ยัยเด็กคนนี้กลับกินอย่างเอร็ดอร่อยและยังกินหมดอย่างรวดเร็วเลยด้วย
หลังจากกินหมดไปหนึ่งชามก็ขอเพิ่มอีกหนึ่งชาม
ความสามารถในการกินของเธอช่างน่าตกใจเสียจริงๆ
“นี่คือลูกสาวของบริษัทตระกูลถาง ชื่อว่าถางหยวนหยวน มารู้จักกันไว้สิ”
ถางหยวนหยวนอย่างนั้นเหรอ
เสี่ยวหมี่โต้วพึมพำชื่อนี้ ติดต่อกันไปมา ชื่อนี้ตั้งได้เข้ากับเธอมาก